เกร็ดรักรอยหงส์ ตอนที่ 6

คุณกล้า กินยาเถิดค่ะ เสียงเรียกจากภรรยาทำให้กล้าหยุดความคิดคำนึงถึงเรื่องราวในอดีต และหันมารับยามากินพร้อมดื่มน้ำตามก่อนที่จะยิ้มให้นานิต

“ขอบใจ กินข้าวอิ่มแล้วซินะ”

“ค่ะคุณ..กำลังคิดถึงอะไรหรือคะ เห็นมองเหม่อไปทางโน้น คิดถึงเรื่องขายรีสอร์ทใช่ไหมคะ”

“เปล่า ผมคิดไปถึงเรื่องสมัยเด็กๆ ของผม คิดถึงพ่อ..” เขาอึ้งไปนิดหนึ่งเมื่อเอ่ยถึงพ่อ

“เรื่องเกี่ยวกับอะไรตอนสมัยเด็กๆ หรือคะ” นานิตทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ เขา

“ก็..ตอนฉันต้องจากพ่อไปเรียนต่อกรุงเทพฯ แม้ว่าฉันจะได้กลับมาบ้านเกือบทุกปี แต่ฉันก็ไม่ได้อยู่นานพอที่จะรับรู้ว่าพ่อคิดอย่างไรกับฉัน ฉันคิดแต่ว่าพ่อสนใจน้องสาวสามคนของฉันที่เป็นลูกแม่เจียมมากกว่า”

กล้ากลับมาหาพ่อในช่วงสั้นๆ ยามปิดเทอมเพียงไม่กี่ปี เมื่อเขาเรียนจบชั้นมัธยมเข้ามหาวิทยาลัยเขาก็ไม่ได้กลับมาอีก เนื่องจากเขาเห็นทีท่าที่ไม่สู่จะเป็นมิตรจากแม่เจียมละอองเท่าไร เขาไม่เคารพแม่เจียมละออง และไม่ยกย่องโดยการเรียกชื่อ “แม่เจียม” เฉยๆ ประหนึ่งนางคือคนในบ้านธรรมดา น้องสาวสามคนของเขาถูกเลี้ยงดูแบบชาวบ้าน ผิดกับเขาซึ่งคุณแม่แววตาเลี้ยงเขาอย่างดีประหนึ่งผู้ดีมีสกุล เขาจึงทนกริยาของน้องๆ ทั้งสามไม่ค่อยได้ และไม่ค่อยอยากกลับมาเยี่ยมบ้านเท่าไร

นานิตอี้งไปนิดหนึ่งเมื่อได้ยินกล้าคิดว่าพ่อกำนันไม่รักเขา

“ถ้าคุณพ่อท่านไม่รักคุณ ท่านจะยกที่ดินและทรัพย์สินอีกมากมายให้คุณคนเดียวหรือคะ อย่าคิดมากซิคะ”

“คุณนิต คุณก็รู้ คุณแม่แววไม่ยอมให้ผมรับทรัพย์สินใดๆ ของพ่อเลย เพราะ..เพราะ..” เขาหยุดไปนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “..เพราะท่านยังโกรธพ่อและไม่เคยยอมอภัยให้พ่อ” กล้าจำต้องโกหกภรรยา

“อ้าว ไม่ให้รับทรัพย์สิน แต่ให้รับที่ดิน ทำไมละคะ”

ปกติแล้วนานิตจะไม่ซักไซ้เรื่องราวในอดีตของสามีมากนัก เธอให้เกียรติเขาและคิดเสียว่าเรื่องใดที่เขาไม่เล่าให้ฟังเธอจะไม่ซักถามเขา

“ก็..ก็..ท่านคงเห็นว่าจะเข้ากันกับธุรกิจของบ้านคุณแม่แววตากระมัง เธอก็รู้ครอบครัวของคุณแม่แววตาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก”

กล้าไม่เคยเล่าและไม่คิดจะเล่าให้ภรรยาฟังว่าคุณแววตาไม่ยอมให้เขารับทรัพย์สินของพ่อ เพราะเกรงว่าจะมาจากการทุจริต แต่ให้เขารับไว้แต่ที่ดิน โดยคุณแม่แววตาให้เหตุผลกับเขาว่า

“ที่ดินนี้แม่เชื่อว่าพ่อเขาคงจะได้มาจากที่ชาวบ้านนำมาให้เพื่อเป็นการถ่ายหนี้ กล้ารับไว้ได้เพราะกล้าจะเป็นนักธุรกิจต่อไปในอนาคต ที่ดินนี้จะมีประโยชน์ต่อกล้าภายหลัง”

คำถามของนานิตทำให้กล้ารำลึกไปถึงอดีตอีก ....ช่วงหลังจากเขาออกไปจากบ้านกำนันเลื่อน....


_____________________________

คุณแม่แววตาสนับสนุนให้เขาเรียนบริหารธุรกิจตั้งแต่เขาเรียนจบมัธยม โดยเข้าวิทยาลัยเอกชนที่สอนธุรกิจเป็นภาษาอังกฤษ และเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงรวมทั้งมีค่าเล่าเรียนที่แพงลิบลิ่ว

“คุณพ่อของแม่ไม่มีลูกชายที่จะช่วยสานต่อธุรกิจ แม่เองก็ไปเป็นครูบาอาจารย์ คุณป้าแก้วตาก็แต่งงานกับนายทหารตั้งแต่สาวๆ ท่านยินดีที่กล้าจะมาช่วยสานต่อให้ ตั้งใจเรียนให้ดีก็แล้วกัน รับรองกล้าจะได้ทำธุรกิจของครอบครัวแม่แน่นอน”

กล้าไม่ค่อยมีโอกาสพบคุณป้าแก้วตาพี่สาวของคุณแม่แววตาบ่อยนัก หนึ่งเพราะท่านออกเรียนไปอยู่บ้านสามี สอง เพราะท่านต้องติดตามสามี คือพลตรีประการ ทูตทหารอากาศไปตามประเทศต่างๆ แต่ถึงแม้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศแต่พลตรีประการก็มีส่วนช่วยบริหารธุรกิจด้านซื้อขายที่ดินให้กับครอบครัวภรรยาเนื่องจากท่านเป็นนายทหารที่มีพรรคพวกอยู่มาก

แต่จะเป็นเพราะลูกสาวของบ้านนี้จะมีบุตรยากหรือจะเพราะเหตุใดก็ตาม คุณป้าแก้วตาไม่มีบุตรสืบตระกูล ซึ่งแน่นอนว่านายทหารยศใหญ่โตอย่างนายพลประการก็ย่อมต้องแสวงหาบุตร เขามีบุตรชายกับหญิงที่ทำงานกลางคืนคนหนึ่ง

คุณป้าแก้วตาไม่ได้เป็นคนใจดีเช่นน้องสาว เธอจึงมิยอมรับบุตรของสามีมามีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจของครอบครัว ดังนั้นกล้าจึงดูจะเป็นคนโชคดีที่ทั้งแม่แววตาและคุณป้าที่ยอมรับเขามากกว่าลูกเลี้ยง ซึ่งเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้นกล้าจึงรู้ว่าไม่ใช่เพราะคุณป้ารักเขาหรอกแต่เพราะไม่ต้องการให้ลูกของสามีกับผู้หญิงอื่นเข้ามามีส่วนได้ส่วนเสียกับธุรกิจครอบครัวมากกว่า

กล้าเรียนบริหารธุรกิจจบภายในสามปี ก็ได้เข้าไปฝึกงานที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่แม้จะไม่ได้เป็นบริษัทที่ใหญ่โตแต่ก็มีระดับเงินหมุนเวียนหลายสิบล้าน คุณพ่อของคุณแววตา ที่เขาเรียกท่านว่า “คุณตาท่าน” คุณตาท่านเป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่มีความฉลาดเฉลียวและเป็นคนดีเหมือนกับที่คุณแววตาเป็น ส่วน “คุณยายท่าน” นั้นก็เป็นผู้หญิงขยัน ฉลาดพูด ฉลาดคบคน รู้จักชนชั้นสูงหลากหลาย ท่านมีความสามารถในการซื้อขายที่ดินและค่อนข้างดุ เป็นกำลังสำคัญที่ดูแลเรื่องเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดิน

ทุกอย่างในชีวิตของกล้าน่าจะไปได้ดีโดยเฉพาะในปีของการฝึกงานปีแรก และในเรื่องความรักกล้ามีเพื่อนสาวที่สนิทเสมือนคู่รักอยู่คนหนึ่ง รัชนีเรียนวิทยาลัยธุรกิจเดียวกับเขา แต่ทุกสิ่งย่อมไม่ได้มีแต่สุขสมบูรณ์อย่างเดียว ในช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ธุรกิจซื้อขายเริ่มมีปัญหาจนในที่สุดถึงกับล่มสลายจากการปั่นราคาที่ ที่ไม่เป็นจริง บริษัทของคุณตาท่านเป็นหนี้จนท่านเครียดป่วยหนักและเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยขึ้น ซ้ำร้ายครึ่งปีต่อมากำนันเลื่อนเสียชีวิต พ่อกำนันของเขาโดนคนร้ายยิงระหว่างออกไปปฏิบัติงาน

“กล้า..ทำใจดีๆ นะ มีคนมาส่งข่าว พ่อ..พ่อกำนันของกล้าโดนคนร้ายยิงเสียชีวิตเมื่อสองวันที่แล้ว”

คุณแม่แววเป็นคนเรียกเขาไปแจ้งข่าว และเขาก็ได้เห็นมารดาเลี้ยงเขาร้องไห้ นั่นเองทำให้เขาตระหนักถึงความรักที่เธอมีต่อกำนันเลื่อนไม่เสื่อมคลายแม้ว่าเธอจะทำใจแข็ง เขาเคยได้ยินคนเก่าแก่ในบ้านคุณแม่แววตาเปรยๆ ให้เขาฟังว่า

“คุณแววเธอรักพ่อกำนันจากบ้านนอก ขนาดที่ว่าไม่ยอมอยู่กรุงเทพฯ ออกไปสอนหนังสือถึงต่างจังหวัด ดีว่าคุณท่านทั้งสองเป็นคนรักลูกไม่กีดกัน เจ้ากำนันพ่อเธอน่ะ โชคดีที่สุด”

แม้ว่ากล้าจะขัดหูกับคำว่า “กำนันจากบ้านนอก” แต่เขาก็เฉยเสียด้วยเหตุว่าคนพูดเองก็ให้ความเอ็นดูเขาไม่ต่างกับทุกคนในบ้าน

เขากล้าพูดได้ว่าไม่มีครอบครัวใดรักใคร่ห่วงใยกันและกันเท่าคนตระกูลของคุณแม่แววตา แม้ว่าพ่อเขาจะเป็นฝ่ายผิดและดูเลวแสนเลวเพียงใดที่ทิ้ง “ยอดนารี” อย่างคุณแม่แวว ทว่าคนในบ้านก็ไม่มีใครเคยพูดให้คุณแม่เขาช้ำใจแม้แต่น้อย

แม่พาเขากลับไปตำบลเที่ยงด้น อ.สังขละฯ เพื่อไปช่วยกันจัดงานศพกำนันเลื่อน แม่ไม่ได้กลับไปบ้านนั้นตั้งแต่พาเขาไปอยู่กรุงเทพฯ แม่เจียมละอองทำอะไรไม่ถูก นางขาดที่พึ่งแถมทำงานอะไรก็ไม่เป็นจึงได้แต่ทำตามคำสั่งของคุณแม่แววตาทุกเรื่อง

น้องสาวเขาสามคนล้วนแต่ยังอยู่ในวัยเรียนก็ได้แต่ร้องไห้ และขอตามเข้าไปอยู่กับเขาในกรุงเทพฯ ด้วย

“พี่กล้าจ๋า เราสามคนไม่มีที่พึ่งแล้ว ขอเราไปอยู่ด้วยได้ไหมพี่”

“พี่อาศัยบ้านคุณแม่แววอยู่พวกเธอก็รู้นี่ ดรุณ ดารา ดุษา”

“พ่อบอกเราว่าพ่อจะส่งให้พวกเราเข้าเรียนที่กรุงเทพฯ ทุกคน นี่หนูก็จะเรียนจบมัธยมแล้ว ให้หนูไปอยู่ก่อนคนเดียวก็ได้ หนูจะขอคุณแม่แววเอง” ดรุณน้องสาวคนโตกล่าวอย่างมุ่งมั่น

“ไม่ได้พี่ดรุณ พี่จะทิ้งพวกเราไปได้อย่างไร แม่บอกเรามีศัตรู เราต้องไปด้วยกัน” ดารา น้องคนที่สองเอ่ยด้วยเสียงเครือๆ

“ใช่พี่กล้า หนูกลัวจังเลย ..แม่เขาก็กลัว” คราวนี้ดุษาน้องสาวคนเล็กอายุเพียงสิบสามเริ่มร้องไห้

กล้าออกจะเห็นด้วยเรื่องที่น้องๆ เกิดความกลัว แน่ล่ะพ่อกำนันเขาต้องมีศัตรูแน่นอนจึงได้โดนฆาตกรรมเช่นนี้ เขาออกจะเป็นห่วงน้องๆ ขึ้นมาเสียแล้ว คิดได้เช่นนี้เขาจึงนำความไปปรึกษาคุณแม่แววตาหลังจากพิธีสวดอภิธรรมคืนสุดท้ายของกำนันเลื่อนสิ้นสุด

“ขอแม่คิดดูก่อนนะ แล้วจะตอบทุกคนหลังงานเผาพ่อกำนันเขา”

คุณแม่แววตาทำตามที่บอกเขาไว้ หลังจากพิธีฌาปณกิจกำนันเลื่อน เธอก็เรียกเขาและน้องทั้งสามเข้าไปพบที่ห้องโถงของบ้านใหญ่ซึ่งเป็นบ้านที่คุณแม่แววตาเคยอยู่และมีส่วนเป็นเจ้าของ....

สามสาวพี่น้องนั่งพับเพียบรอฟังคำตอบคุณแววตาด้วยใจระทึก ....


โปรดติดตามอ่านต่อโอกาสหน้า