เกร็ดรักรอยหงส์ ตอนที่ 10

ก่อนเข้านอนคืนนั้นออนลาพยายามโทรศัพท์ไปคุยกับแสงพล เพื่อที่จะซักไซ้เรื่องราวต่างๆ ที่ค้างคาใจหลังจากประชุมช่วงเช้า แต่ตามตัวเขาไม่ได้ จนรุ่งเช้าแสงพลจึงโทรกลับมาหา

“พี่ออน..ขอโทษด้วยที่โทรมาแต่เช้า และขอโทษที่เมื่อคืนผมไม่ได้รับสายพี่ ผมติดสายกับลูกค้าที่มณีปุระน่ะครับ”

“อ้าวเหรอ พลติดต่อเขาไปหรือ” ออนลาอดนึกชมไม่ได้ว่าน้องชายเธอทำงานรวดเร็วเสมอ

“ครับพี่ออน เดี๋ยวค่อยเล่าเรื่องของลูกค้าแล้วกัน พี่มีอะไรด่วนหรือเปล่าถึงโทรถึงผมตอนดึกๆ”

“ก็พี่เพิ่งเสร็จงาน กะว่าก่อนนอนจะโทรถึง ก็เรื่องที่พี่ไปท้ายไร่กับคุณพ่อท่านเมื่อบ่ายวานนี้น่ะ..คุณพ่อท่านเรียกครูป๊ายมาแจ้งเรื่องที่เราต้องคืนที่หลวงในเร็ววันนี้ ท่านเพียงแต่บอกว่าที่นี้เป็นที่หลวงถึงเวลาเวรคืน”

ออนลาเล่าว่าทุกคนตกใจและบางคนก็ร้องไห้เนื่องจากทราบมาก่อนหน้านี้ว่าคุณกล้าจะขายรีสอร์ทแต่ไม่มีใครคาดคิดว่าที่ตรงนั้นเป็นที่ที่จะต้องคืนหลวง

“คุณพ่อท่านปลอบทุกคนว่าจะไม่ทิ้งทุกคน เจ้าของใหม่เขาจะทำธุรกิจต่อและหมู่บ้านศิลปวัฒนธรรมก็ยังจะมีต่อไป เพียงแต่ต้องไปสร้างใหม่ในเนื้อที่เดิมของรีสอร์ท”

“ท่านบอกคนงานว่าอย่างไรพี่ออนเรื่องที่ต้องคืนที่ให้หลวง”

“ท่านไม่ได้บอกละเอียด บอกแต่ว่าเป็นที่หลวงที่จะโดนเวรคืนเมื่อไรก็ได้ และท่านพยายามทำท่าให้ทุกคนเห็นว่าเป็นเรื่องเล็ก รื้อแล้วสร้างใหม่ได้ ท่านบอกดีเสียอีกจะได้ที่อยู่ใหม่ทันสมัยขึ้น”

ออนลาเล่าต่อว่าทุกคนมีกำลังใจดีขึ้นเมื่อคุณกล้ารับรองแข็งขัน แถมยังใช้เวลาอยู่กับคนงานและบ้านฟ้อนรำจนถึงเย็น

“พี่ตัดสินใจเล่าเรื่อง..เอ้อ..เรื่องความลับของเราให้ท่านฟังด้วยนะพล เพราะพี่ต้องการพาท่านไปดูที่ๆ เราเก็บของไว้ด้วย”

“เรื่องของของอิหน่ายใช่ไหมพี่...” แสงพลอุทาน เขาลืมเรื่องนี้ไปสนิท เรื่องของอิหน่ายหรือป้าของเขา แม่ต๊อยของออนลา

“จริงซิ นี่ผมลืมนึกไปเลยนะ ไม่เคยนึกฝันว่าที่ที่เราเก็บของไว้จะต้องโดนรื้อถอน”

“แล้วคุณพ่อท่านว่าอย่างไรบ้างพี่ออน”

“ดูท่านไม่ค่อยจะเห็นเป็นเรื่องใหญ่ ท่านแนะนำว่าก็ให้ขุดกรุเอาไปฝากที่วัดไว้ก่อน แล้วพอหมู่บ้านใหม่สร้างเสร็จค่อยไปรับมา”

“ผมว่าพี่ออนเอาไปเก็บในตู้เซฟธนาคารไม่ดีกว่าหรือฮะ”

“พี่ไม่กล้าเอาไปไว้ที่อื่นไกลตัวนะ เดี๋ยวจะฝันร้ายอีก ...เออ เมื่อวันก่อนพี่ฝันถึงอาเม๊ะต๊อยอีกแล้ว ว่าจะโทรเล่าให้พลฟัง ก็บังเอิญมีเรื่องด่วนของรีฟช็องเสียก่อน”

ออนลาเล่าถึงเรื่องที่เธอฝันถึงแม่กับคำสั่งของแม่ต๊อยว่ามาแจ้งเธอว่าจะมีคนมาช่วยเรา ให้อยู่ที่นี่ต่อไปจะได้พบผู้หญิงคนหนึ่งมีเชื้อสายเรา

“อาแม๊ะต๊อยบอกว่าเขาจะพาเราไปพบของสำคัญชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นของเก่าแก่มีค่าของพวกเรา เป็นของที่อาเม๊ะต๊อยควรจะเอามา แต่เขาไม่ให้เอามา และให้ต้อนรับชาวต่างชาติที่จะมาให้ดีที่สุด”

ออนลาเล่าไปก็รู้สึกหนาวตัวขึ้นมาทันที

“พี่จำได้ดีที่สุดคือคำสุดท้าย อาแม๊ะบอก ของของนี้มีคนดูแลอยู่”

“ฮ้า..เหมือนกับที่ผมฝันตอนก่อนเราเอาหีบที่มี เอ้อ..มีสร้อยเพอริโดไปเก็บเลย”

“นั่นซิ พี่จำได้ที่พลเล่าน่ะ แต่ของพลนั้นพลเห็นเป็นของเลยนี่ ของพี่แค่แม๊ะต๊อยมาเตือนเท่านั้นให้ต้อนรับชาวต่างชาติ..เอ่อ พลคิดอย่างพี่ไหม มันเป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรแน่ เรากำลังจะมีคนต่างชาติมาทำธุรกิจที่นี่ต่อ”

แสงพลอึ้งไปเมื่อได้ยินคำถามนี้

“เอ้อ..ไม่ทันนึกครับ คงบังเอิญกระมังพี่ออน ผมไม่..เอ้อ..พยายามไม่เชื่อเรื่องอะไรที่มันอยู่เหนือปรากฏการณ์ธรรมชาติ”

“พี่เข้าใจพล มาคุยเรื่องเมื่อวานดีกว่า คุณพ่อท่านแนะนำให้เราเอาหีบของมีค่าของครอบครัวเราไปฝากไว้ที่หลวงลุงของคุณแม่ก่อน จนกว่าเราจะมีบ้านใหม่ พี่เห็นด้วยกับท่าน..พลว่าไง”

“ผมเห็นด้วยครับ พี่ออน อีกไม่นานนี้ผมจะซื้อบ้านของผมด้วยเงินผมเอง แล้วเราสองคนพี่น้องจะได้มีบ้านของเราเอง..เราจะไปอยู่ด้วยกันนะครับ”

“โถ พล ขอบใจนะ แต่พี่มีหน้าที่ที่จะรับใช้คุณท่านไปจนวันตาย ท่านขอให้พี่ช่วยดูแลรีสอร์ทต่อไป พี่ก็จะทำตาม จนกว่าเจ้าของใหม่เขาจะไม่ให้อยู่...อีกอย่างหนึ่งนะ...” ออนลาทำเสียงล้อเลียนน้องชาย

“พลเองก็จะต้องมีครอบครัวของตัวเอง อย่าคิดเอาพี่ไปอยู่ด้วยเลย..มัคคุเทศก์สาวคนนั้น ความสัมพันธ์จะลงเอยไงเนี่ย เห็นคบกันมาสามปีแล้วนะ”

“ผมถือเขาเป็นเพื่อนที่ดี แต่ขั้นจะลงเอย คงไม่ใช่นะพี่ออน พ่อแม่น้องเขาออกรวย ผมไม่อยากให้เขามาใช้ชีวิตกับพวกเราที่ยังมีหนี้บุญคุณอยู่อย่างนี้ ผมถือว่า คุณพ่อคุณแม่ท่าน พี่ออน สำคัญกว่าใคร พี่ออนยังไม่แต่งงานผมก็ไม่แต่ง”

“โอ้ย พล..เนื้อคู่พี่ยังไม่เกิด พลซิ เกิดแล้ว” ออนลาอดขำไม่ได้

“เอาล่ะ เรื่องสำคัญตอนนี้คือ ก่อนที่จะมีการรื้อถอนหมู่บ้านดนตรี เราต้องไปเอาสมบัติของแม่ต๊อยไปฝากหลวงลุงของคุณแม่ท่านก่อน พลจะว่างมาจัดการเรื่องนี้เมื่อไรดี”

“ขอเวลาสองสามอาทิตย์นะครับ ผมต้องเจรจาให้แน่ใจก่อนว่าทางฝ่ายมณีปุระจะสามารถมาซื้อรีสอร์ทได้จริง”

“พลบอกเพิ่งคุยกับทางโน้น ล่าสุดเขาว่าอย่างไรล่ะ”

“เขาบอกว่าเขาจะส่งคนจากนันทาภิราจ มาพบผมในเร็วๆ นี้ ซึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องดีเพราะแสดงว่าเขาสนใจ และสามารถดำเนินขั้นตอนได้ทันทีที่เราถามไป แล้วผมจะส่งข่าวนะพี่ออน ตอนนี้ผมต้องเข้าที่ทำงานแล้ว”

ออนลาสบายใจขึ้น แม้ว่าลึกๆ จะมีความรู้สึกวูบๆ เมื่อได้ยินคำว่า นันทาภิราจ..ชื่อนี้ทำไมดูคุ้นหูเสียกระไร...เธอตอบน้องชายด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

“จ้ะ พล..แล้วส่งข่าวพี่ก็แล้วกัน สวัสดีจ้ะ”

“อ้าวพี่ออน..ทำใมทำเสียงเศร้าๆ ยังงั้นล่ะ เสียใจเหรอที่เนื้อคู่ยังไม่เกิด”

ประโยคล้อเลียนนั้นทำให้ออนลาหัวเราะออกมาได้ นี่แหละคือแสงพลที่สามารถเดาใจเธอได้เสมอ และก็สามารถทำให้เธอสบายใจได้เกือบทุกเรื่อง

“หนอย..ทำมารู้ใจ ไปเถอะไปทำงานซะ ขับรถดีๆ นะ “

ออนลาวางหูโทรศัพท์จากแสงพลเสร็จเธอก็ออกจากห้องพักตรงไปยังห้องอาหาร เพื่อไปดูแลนักท่องเที่ยวที่คงจะลงมารับประทานอาหารเช้ากันบ้างแล้วว่ามีสิ่งใดบกพร่องหรือไม่ หญิงสาวดูแลและช่วยจัดอาหารที่โต๊ะบุฟเฟ่อยู่สักพัก เห็นว่าทุกอย่างเป็นปกตินักท่องเที่ยวไม่มากนักและไม่มีปัญหาใดๆ เธอจึงเดินย้อนกลับมาที่อาคารต้อนรับ

เมื่อเห็นออนลาเดินเข้ามาถึงเคาน์เตอร์ต้อนรับ พนักงานรายงานเธอว่า

“มีคนจากวัดเที่ยงต้นมารอคุณออนอยู่ตั้งแต่เช้ามืดแล้วค่ะ โน่นค่ะ เด็กออกไปยืนรอที่สนาม ไม่ยอมเข้ามานั่งค่ะ”

พนักงานชี้ไปยังประตูทางเข้า ออนลาพยักหน้ารับทราบ เธอเดินตรงไปหาเด็กชายอายุประมาณสิบสามขวบที่นั่งรอเธออยู่ที่เก้าอี้สนามหน้าทางเข้าประตู

“สวัสดีจ้ะ หนูมาหาฉันหรือ”

เด็กชายยกมือไหว้ “คุณออนล่าใช่ไหมฮะ ..หลวงตาให้มารับคุณไปพบท่านตามคำสั่งคุณกล้าท่านฮะ” สำเนียงพูดทำให้ออนลารู้ได้ทันทีว่าเด็กชายมิใช่เด็กที่เกิดที่เมืองไทย

ออนลาขมวดคิ้ว ออกจะแปลกใจที่คุณกล้าสั่งให้เด็กมารับเธอโดยไม่ได้บอกให้เธอรู้ก่อน หรือว่าจะเป็นเรื่องที่คุณกล้าแนะนำเธอไว้เมื่อวาน ที่ให้เธอนำสมบัติของครอบครัวเธอไปฝากไว้กับหลวงลุง ...ถ้าใช่ แสดงว่าคุณกล้าคงจะใส่ใจในเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย ถึงได้จัดการเรื่องนี้ทันทีทันใด

“อ้อ..เหรอ..หนูรอฉันสักครู่นะ ขอเวลาสั่งงานก่อน นี่หนูกินอะไรมารึยังเช้านี้”

เด็กชายกลืนน้่ำลายพลางส่ายหน้า “ยังจ้ะคุณนาย เดี๋ยวกลับไปกินที่วัด”

“อ้าว..ถ้าอย่างนั้นตามฉันมา ไปกินข้าวกันก่อน ดีเหมือนกันเราไปโรงครัวกัน ฉันจะได้เตรียมของไปถวายเพลด้วย”

เด็กชายออกอาการดีใจที่จะได้กินข้าว เขาเดินตามออนลาไปยังเรือนครัวซึ่งอยู่ด้านหลังของอาคารรับรอง

“ป้ากระแตขา ขอข้าวร้อนๆ กินหน่อยจ้า..ขอสองจานนะ วันนี้มีอะไรอร่อยๆ ให้กินบ้าง”

“วันนี้ลงมาเองเลยเหรอหนูออน อยากกินอะไรล่ะ ข้าวผัดแฮมก็มีนะ ซุปข้าวโพดร้อนๆ ก็มี เอาอะไรดี”

“ทั้งสองอย่างเลยจ้ะ เผื่อเจ้าตัวน้อยนี้ด้วย และขอข้าวผัดใส่ปิ่นโตสองเถานะ ถ้าวันนี้มีกาละแมก็ขอด้วย จะไปวัดเที่ยงต้นจ้ะ” และหันไปสั่งเด็กชายว่า

“หนูกินไปก่อนนะ ฉันจะไปเอากระเป๋าและกลับมากินด้วย แล้วเราค่อยไปวัดกัน”

สองชั่วโมงหลังจากนั้นออนลาก็พร้อมที่จะเดินทางไปวัดเที่ยงต้นกับเด็กชายที่มารับ

“นี่หนูมาอย่างไรน่ะ”

“หลวงตาให้มอเตอร์ไซค์มาส่ง แต่รถไปแล้ว” เด็กตอบสั้นๆ

ออนลาจึงพาเด็กชายไปขึ้นรถส่วนตัวของเธอ ซึ่งเป็นรถที่คุณกล้าซื้อไว้ให้ใช้งานของรีสอร์ท

สี่สิบนาทีจากนั้นออนลาก็นำรถเข้ามาจอดในบริเวณวัดเที่ยงต้นทันเวลาถวายเพล เด็กจากวัดที่ตอนนั่งรถมาออนลาได้ซักถามประวัติจึงรู้ว่าชื่อวะด่อง เป็นเด็กกำพร้าพ่อ แม่พามาฝากไว้กับเจ้าอาวาสวัดและเข้าไปทำงานที่สมุทสาคร โดยที่สัญญาว่าจะมารับไปอยู่ด้วย แต่ก็หายไปตั้งแต่วะด่องอายุเพียงแปดขวบ วะด่องก็เลยเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูจากเจ้าอาวาส

ออนลาฟังเรื่องของวะด่องแล้วก็ให้สงสารมากๆ อยากจะช่วยเหลือแต่ก็จนใจที่ตัวเธอเองก็ยังจะเอาตัวไม่รอด เด็กอยู่กับวัดน่าจะดีแล้ว มีที่พักมีอาหาร อยู่ใกล้พระคงได้เรียนแต่สิ่งดีๆ ดีกว่าสังคมนอกวัดเป็นไหนๆ

เมื่อพระฉันเสร็จแล้ว ออนลาจึงมีโอกาสได้เข้าไปหาหลวงลุงของคุณพ่อกล้านิตที่เธอและแสงพลเรียกท่านว่า “หลวงพ่อ”

“กราบนมัสการหลวงพ่อค่ะ ท่านมีอะไรให้หนูรับใช้หรือคะ ให้เด็กไปตาม”

“กล้าเขาโทรศัพท์มาบอกหลวงพ่อว่า โยมออนมีของสมบัติสำคัญของตระกูลโยม เอามาจากมะละแหม่ง อยากจะเอามาฝากที่วัดนี้ ก็เลยให้เจ้าวะด่องไปตาม เล่ารายละเอียดมาซิ ของอะไร ทำไมต้องมาเก็บไว้ที่วัด”

“เจ้าค่ะ เป็นของที่แม่ของหนูเขานำติดตัวมาด้วย ตอนพวกเรายังเด็กๆ อยู่เขาก็ไม่ได้เล่าประวัติอะไรให้หนูฟัง เพียงแต่สั่งเราว่าเราต้องเก็บสมบัติของเราไว้ให้ดี ถ้าเรายังไม่มีที่จะเก็บให้ปลอดภัยก็ให้เราใส่กรุฝังดินไว้”

ออนลานิ่งไปสักครู่ก่อนตัดสินใจเล่าต่อว่า

“หนูกับน้องชายไม่เคยรู้เรื่องราวเบื้องหลังของหีบสมบัติหีบนี้จากปากแม่หนูเลย แต่ทั้งหนูและน้องชายกับรู้เรื่องนี้ผ่านความฝัน...เราฝันถึงเรื่องราวเหล่านี้คล้ายๆ กันมาก..เป็นเรื่องแปลกจริงๆ ค่ะหลวงพ่อ...”

“แปลกอย่างไรโยม...เล่ามาเถอะ”

“เจ้าค่ะ หนูกับพลไม่เคยเล่าให้ใครฟัง เกรงว่าคนจะคิดว่าเราเพ้อฝัน..อีกอย่างน้องชายหนูเขาไม่ค่อยเชื่อเรื่องแบบนี้ หากหลวงพ่อมีเวลารับฟัง หนูอยากจะเล่าให้ฟัง”

หลวงพ่อพยักหน้าช้าๆ ใบหน้าท่านแสดงอาการสนใจพร้อมที่จะฟัง

“เริ่มเลยโยมออน จะได้ตัดสินใจว่าจะรับฝากไว้ที่นี่หรือไม่นะ”

ออนลาปล่อยลมหายใจยาว...ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเล่าเรื่องราวที่ทั้งเธอและพลเก็บไว้เพียงสองคนเป็นเวลานาน

“เรื่องเป็นดังนี้ค่ะหลวงพ่อ....”


โปรดติดตามอ่านต่อโอกาสหน้า