เบญจวรรณ ภูมิแสน

เบญจวรรณ ภูมิแสน เป็นล่ามและนักเขียนมืออาชีพที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา มีภูมิลำเนาเดิมอยู่จังหวัดยโสธร หลังจากที่ได้เป็นล่ามภาษาไทยและภาษาลาวหลายพันคดีเป็นเวลากว่า 20 ปี ผู้เขียนได้เห็นคนจำนวนไม่น้อยที่ชอบแหกกฎ ใช้ช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือถึงขั้นเพิกเฉยต่อกฎหมายบ้านเมือง แต่ในทางกลับกัน ก็ได้ตระหนักว่าหลังจากที่เวลาผ่านไป ไม่ช้าก็เร็ว ไม่มีใครสักคนที่จะหลีกเลี่ยงกฎแห่งกรรมไปได้ ผู้เขียนได้เล่าเรื่องจากมุมมองของล่ามถึงชีวิตของตัวละครจำนวนหนึ่งที่ได้ผ่านความบอบช้ำทั้งทางร่างกายและจิตใจในระหว่างที่วนเวียนอยู่ในวงล้อแห่งกรรมโดยใช้ระบบศาลยุติธรรมของสหรัฐอเมริกาเป็นฉากละคร

Benjawan Poomsan is a professional interpreter and writer living in the U.S. She is originally from Yasothon Province, Thailand. After working on thousands of legal cases as a Thai and Lao interpreter for over 20 years, she came to realize that people are able to bend, and even ignore, the laws of the society for their own benefits. On the other hand, she also realized, after some time, that it is never possible to avoid the law of karma. She tells a number of stories from the perspective of an interpreter, which features characters living through physical and emotional traumas along their journey, on the wheel of karma, using the U.S. court system as a background.


หนังสือนวนิยายเล่มนี้เขียนขึ้นสำหรับผู้อ่านที่สนใจเรื่องต่อไปนี้โดยเฉพาะ

- ชีวิตของชาวไทยที่อพยพมาอาศัยอยู่ในอเมริกา

- ความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยและชาวตะวันตก

- กฎแห่งกรรม

- การทำงานของล่ามกฎหมายและระบบกฎหมายของสหรัฐ

- การเดินทางข้ามเวลา ชาติก่อนและโลกคู่ขนาน

- หนังสือที่มีสาระ อุทาหรณ์สอนใจที่อ่านแล้ววางไม่ลง


This book of fiction is written especially for readers who are interested in

- The life of Thai immigrants in the U.S.

- Thai-Western relationships

- The law of karma

- The work of legal interpreters and the U.S. legal system

- Time travel, past lives and parallel worlds

- An informative, didactic and compelling book


INTRODUCTION

บทนำ

Due to my work as an interpreter in thousands of court cases, I have come to realize that people are able to bend and even ignore the laws of society for their own benefit. I have also come to realize that it is never possible to avoid the law of karma. This book is the result of my years of working as an interpreter in legal cases, and my renewed interest in Buddhist dharma – the teachings of Lord Buddha.

ผู้เขียนได้ทำงานเป็นล่ามที่แปลในศาลมาหลายพันคดี ทำให้ได้เห็นว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ชอบที่จะแหกกฎ ใช้ช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือถึงขั้นเพิกเฉยต่อกฎหมายบ้านเมือง แต่ในทางกลับกัน ก็ได้ตระหนักว่าหลังจากที่เวลาผ่านไป ไม่ช้าก็เร็ว มันเป็นไปไม่ได้ที่ใครสักคนจะสามารถหลีกเลี่ยงกฎแห่งกรรมไปได้ หนังสือเล่มนี้เป็นผลจากการทำงานเป็นล่ามในศาลหลายปีและจากการที่ผู้เขียนได้หันกลับมาสนใจในคำสอนของพระศาสดาอีกครั้ง

These short stories feature people who live through physical and emotional trauma along their life journey on the wheel of karma. With the U.S. court system as the background, we follow the current, past, and alternate lives of interesting characters. We find out how the choices they have made affect their current “observable universe,” and how these choices create “parallel universes.”

ฉันได้แต่งเรื่องสั้นเกี่ยวกับชีวิตของตัวละครจำนวนหนึ่งที่ได้ผ่านความบอบช้ำทั้งทางร่างกายและจิตใจในระหว่างที่วนเวียนอยู่ในวงล้อแห่งกรรมโดยใช้ระบบศาลยุติธรรมของสหรัฐอเมริกาเป็นฉากละคร เราจะติดตามตัวละครที่น่าสนใจเหล่านี้ไปดูชีวิตของพวกเขาทั้งในปัจจุบันและอดีตชาติ รวมทั้งชีวิตทางเลือกที่อาจเกิดกับพวกเขา เราจะเห็นว่าการตัดสินใจที่จะทำอะไรสักอย่างจะมีผลต่อชีวิตใน “โลกหรือจักรวาลที่เราสามารถสัมผัสได้” และจะเห็นความแตกต่างเมื่อตัวละครตัดสินใจที่จะทำอีกอย่างหนึ่งซึ่งจะทำให้เกิด “โลกหรือจักรวาลคู่ขนาน” ขึ้น

We travel, using supernatural powers, with our special guide, Kanjana, to explore multiple dimensions, reincarnations, and past-life revelations. Along the way, we see how the American legal system operates, in cases of defamation, exploitation of restaurant workers, domestic abuse, marriage fraud, prenuptial agreements, juvenile detention, murder, sexual harassment and other situations, seen firsthand by this Thai interpreter.

พวกเราเดินทางไปยังหลายๆ มิติกับกาญจนาซึ่งเป็นไกด์พิเศษของเราที่มีอำนาจอภินิหารที่จะพาพวกเราไปดูการกลับชาติมาเกิดและชีวิตในอดีตภพของตัวละครในหนังสือเล่มนี้ ในระหว่างเส้นทาง ผู้อ่านก็จะได้เห็นการทำงานของกระบวนการกฎหมายของสหรัฐในคดีต่างๆ เช่น คดีหมิ่นประมาท การแสวงหาประโยชน์จากพนักงานของผู้ประกอบการร้านอาหาร การข่มเหงกันในครัวเรือน การแต่งงานเท็จ ข้อตกลงก่อนการสมรส การกักกันเยาวชน การฆาตกรรม การคุกคามทางเพศ และในสถานการณ์อื่นๆ ที่ล่ามภาษาไทยที่เป็นผู้เขียนได้ประสบด้วยตนเอง

Although the supernatural experiences described in this book are fictional, and the characters are each an amalgamation of a number of people, the legal settings and procedures described, including the work of an interpreter, are the same as they would be in real life. This book will provide insight into the lives of Thai people in America, the situations they find themselves in, and the difficult decisions they need to make.

ถึงแม้ว่าเรื่องราวอภินิหารและมหัศจรรย์ที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้จะเป็นเชิงนวนิยาย และตัวละครแต่ละตัวก็เป็นการผสมผสานจากชีวิตจริงของหลายๆ คนมารวมกัน แต่ฉากในท้องเรื่องและกระบวนการกฎหมายที่กล่าวถึงและการทำงานของล่ามเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง หนังสือเล่มนี้จะให้ผู้อ่านได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงชีวิตของคนไทยในอเมริกา รวมทั้งสถานการณ์ต่างๆ ที่คนไทยได้เผชิญและการตัดสินใจที่ยากลำบาก


I’m ethnic Laotian Thai, born in Bangkok and raised in the northeast of Thailand near the border with Laos. I am trilingual, able to communicate proficiently in Lao, Thai, and English.

ฉันเป็นคนไทยเชื้อสายลาว เกิดที่กรุงเทพฯ และไปเติบโตที่ภาคอีสานใกล้กับชายแดนประเทศลาว ฉันสามารถสื่อสารสามภาษาคือภาษาลาว ภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้อย่างชำนาญ

My love of the English language was so intense that it became my college major, and I received my bachelor’s degree from Khon Kaen University, Thailand. I could read, write, and speak English well when I moved to the U.S. in 1994 to marry my American husband.

ภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่ฉันรักมาก พอมาเรียนในมหาวิทยาลัยก็ได้เลือกภาษาอังกฤษเป็นวิชาเอกในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ฉันสามารถฟัง พูด อ่าน เขียนภาษาอังกฤษได้ดีตอนที่ย้ายมาอยู่ในอเมริกาในปี 1994 (พ.ศ. 2537) เพื่อที่จะมาแต่งงานกับสามีชาวอเมริกัน

Along with millions of other immigrants, I moved to the U.S. to seek a better life, and to pursue the American dream.

เช่นเดียวกับผู้อพยพหลายล้านคนที่ย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากที่สหรัฐ ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ต้องการที่จะมีชีวิตที่ดีกว่าเพื่อที่จะเติมเต็มความฝันของตนแบบที่เรียกกันว่า American Dream

I love living in the U.S. because of its freedom of expression, equal opportunities for people to advance, the right to vote, to run for office, and non-discrimination when applying for jobs. People are also free to marry, regardless of their sexual orientation. The laws are applied more strictly than in Thailand, and I like the concept that no one is above the law.

ฉันชอบอยู่ที่อเมริกาเพราะว่าประเทศนี้ให้เสรีภาพในการแสดงออก ให้โอกาสเท่าเทียมกันกับผู้คนในการก้าวหน้าในชีวิตการงาน ในการออกคะแนนเสียง ในการสมัครรับเลือกตั้ง การเลือกที่รักมักที่ชังในที่ทำงานที่มีน้อยกว่าประเทศอื่น นอกจากนี้ยังมีสิทธิและเสรีภาพอย่างอื่นที่ไม่มีในประเทศไทย เช่น การสมรสของเพศเดียวกัน กฎหมายก็เข้มงวดกว่าที่ประเทศไทยมาก และฉันชอบแนวความคิดที่ว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย

When I first came to the U.S., I believed that all Americans were intelligent and happy, and that they were rich and enjoyed a comfortable lifestyle. I quickly realized that I was wearing “rose-colored glasses.” Many Americans I met were just as unhappy as many of the Thai people back home, even though they lived in the “land of plenty.”

ตอนที่มาอเมริกาใหม่ๆ ฉันเคยคิดว่าคนอเมริกาทุกคนคงฉลาดและมีความสุขมาก และก็คงจะร่ำรวยและมีไลฟ์สไตล์ที่แสนสะดวกสบาย แต่พอมาอยู่ได้ไม่นานก็ได้รู้ว่าตัวเองมองโลกในแง่ดีเกินไป เหมือนกับภาษาอังกฤษที่ใช้สำนวนว่า “ใส่แว่นที่เห็นโลกเป็นสีชมพู to wear rose colored glasses” ในความเป็นจริง คนอเมริกันหลายๆ คนที่นี่ก็ทุกข์เหมือนๆ กันกับคนไทยหลายๆ คนที่ประเทศไทยนั่นแหละ ถึงแม้ว่าคนของเขาจะอยู่ในประเทศที่มั่งมีก็ตาม

After only one year living in the U.S., I passed a vigorous exam and became a registered interpreter with the Judicial Council of California, in both the Thai and Lao languages. I have worked extensively as a legal and medical interpreter for the last 24 years. Because there are few, if any, Thai and Lao language interpreters in many of the counties in California, or the neighboring states, I have the opportunity to travel and interpret in a variety of cases, in both civil and criminal matters. I also interpret in conferences and take assignments from governmental agencies.

หลังจากที่อยู่อเมริกาได้เพียงหนึ่งปี ฉันก็สอบผ่านการสอบที่หินมากเพื่อที่จะได้เป็นล่ามภาษาไทยและภาษาลาวที่ขึ้นทะเบียนกับสภาตุลาการแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฉันก็ได้ทำงานเป็นล่ามกฎหมายและล่ามทางการแพทย์อย่างต่อเนื่องในช่วงเวลา 24 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากในหลายๆ เคาน์ตีของรัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐที่ใกล้เคียงอื่นๆ ยังขาดล่ามภาษาไทยและภาษาลาวอยู่ ฉันจึงมีโอกาสได้แปลในคดีที่หลากหลายทั้งคดีแพ่งและอาญา นอกจากนั้นแล้ว ฉันก็ยังให้บริการเป็นล่ามในการประชุมแบบคอนเฟอเรนซ์และเป็นล่ามให้กับหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลอเมริกา

In law offices, jails, clinics, and hospitals, I have seen how people, both rich and poor, suffer because of their problems, and I have seen faces filled with worry, anger, and sorrow. My work often involves people who are afflicted with physical and mental illnesses.

เนื่องจากงานล่ามส่วนใหญ่เป็นงานในศาล สำนักงานทนายความ คุก คลินิกและโรงพยาบาล ฉันจึงได้สัมผัสถึงความทุกข์ทรมานที่เกิดจากปัญหาของคนจำนวนมาก ไม่ว่าจะรวยหรือจน และฉันได้เห็นสีหน้าของพวกเขาที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล ความโกรธแค้นและความเสียใจ จากหลายๆ งานที่ทำ ฉันก็ได้พบกับผู้คนที่เจ็บป่วยทั้งร่างกายและจิตใจอยู่เนืองๆ

As a result of these endless contacts with my clients and their feelings of desperation and hopelessness, I gradually absorbed the pain and distress they experienced, as “vicarious trauma.” I also realized that my personal life was being negatively affected because of my career choice, even though I love being an interpreter. This, along with other issues in my personal life, caused me to have feelings of hopelessness and depression. I realized that I would have to do something about it.

ผลของการที่ต้องได้สัมผัสกับผู้ใช้บริการงานล่ามที่เข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง ฉันก็ค่อยๆ ได้ดูดซับความรู้สึกที่สิ้นหวัง ความเจ็บปวด ความกังวลใจที่พวกเขาได้ประสบมา ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่า “vicarious trauma” ซึ่งหมายถึงความบอบช้ำทางจิตใจที่ได้รับทอดมาจากผู้อื่น ฉันก็ได้เริ่มรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองเริ่มได้รับผลกระทบในเชิงลบจากอาชีพของตนถึงแม้ว่าฉันจะรักงานล่ามมากเพียงใดก็ตาม ความเจ็บปวดรวดร้าวอันนี้ กอปรกับปัญหาต่างๆ ในชีวิตของตัวเอง ทำให้ฉันเริ่มมีความรู้สึกที่สิ้นหวังและหดหู่ตามไปด้วย จึงได้บอกกับตัวเองว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างเสียแล้ว

During my own struggles with this negativity, I noticed that many of my American friends and my fellow Thai immigrants were not truly happy. Many Thai people come to the U.S. with dreams of becoming wealthy from their restaurant businesses, not understanding that wealth does not equal happiness. Some Thai women marry rich American men, but end up being abused and forced to live according to the whims and desires of their husbands.

ในขณะที่ฉันต้องต่อสู้กับสภาวะที่เป็นลบที่ตนเองประสบอยู่ ฉันก็ได้สังเกตเห็นว่าเพื่อนๆ ชาวอเมริกันและเพื่อนๆ คนไทยที่อพยพมาอยู่ในอเมริกาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีความสุขอย่างแท้จริง คนไทยหลายคนมาอเมริกาพร้อมกับความฝันที่จะร่ำรวยเงินทางจากการทำธุรกิจต่างๆ เช่น ธุรกิจร้านอาหาร โดยที่ไม่เข้าใจว่าความร่ำรวยกับความสุขไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ผู้หญิงไทยหลายคนแต่งงานกับชาวอเมริกันที่มีอันจะกิน แต่ก็ต้องตกอยู่ในสภาพที่ถูกข่มเหงและถูกบังคับให้ใช้ชีวิตตามอำเภอใจ เงื่อนไขและความต้องการของสามี

I began a quest for real happiness in my life, and to heal myself physically, mentally, and spiritually. I sought numerous ways to find the answers, such as talking to a fortune teller and a psychologist, attending the Thai temple, going to a church, hanging out with my Thai friends, and reading many books, but nothing seemed to help.

ฉันจึงเริ่มที่จะที่จะตามหาความสุขที่แท้จริงในชีวิตและหาวิธีที่จะรักษาตนเองทางด้านร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ ฉันได้ลองหลายวิธีเพื่อจะหาคำตอบนั้น ไม่ว่าจะเป็นไปหาหมอดู นักจิตวิทยา ไปวัด ไปโบสถ์หรือใช้เวลากับเพื่อนๆ และก็อ่านหนังสือจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

Three years ago, after numerous dead ends, I found the answers to my questions in the teachings of Lord Buddha, when I finally came to understood about dharma and karma. As my husband would say, I became a “born-again Buddhist.”

เมื่อสามปีที่ผ่านมา หลังจากที่เจอแต่ทางตัน ฉันก็ได้พบกับคำตอบที่ตนเองต้องการจากคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งในที่สุดฉันก็ได้เข้าใจถึงธรรมะและเรื่องกฎแห่งกรรม สามีฉันชอบบอกว่า ฉันเป็น “born again Buddhist” หรือ “ชาวพุทธที่เกิดใหม่”

Although more than 90 percent of the people in Thailand identify as belonging to the Theravada school of Buddhism, not all Thais understand and practice the teachings of Lord Buddha.

ถึงแม้ประชากรกว่า 90% ของไทยบอกว่าตนเองเป็นชาวพุทธนิกายเถรวาท แต่หลายๆ คนก็ยังไม่เข้าใจเรื่องของศาสนาพุทธและไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระตถาคต

When I was young, I avoided going to the temple because I was not fond of the ceremonies and rituals, and I didn’t understand the chanting, which was not in Thai. It wasn’t that I was against it; I just didn’t have a strong feeling for the ritual. I also was not fond of the fact that people would go to the temple to ask for wealth, good luck, and winning lottery numbers. Many Buddhist ceremonies and rituals are actually Brahman, and Thai Buddhism includes elements of animism, which was ingrained into Thai culture long before Buddhism arrived in Southeast Asia.

ตอนที่ฉันเป็นเด็ก ฉันจะหลีกเลี่ยงที่จะไปวัดเพราะว่าไม่ชอบพิธีกรรมต่างๆ และฉันก็ไม่เข้าใจบทที่พระสวดเป็นภาษาที่ฉันไม่เข้าใจ ฉันไม่ได้ต่อต้านหรืออะไรหรอกนะ เพียงแต่ไม่ชอบเรื่องพิธีกรรม และฉันก็รู้สึกไม่ชอบพอกับการที่คนไปวัดเพื่อขอพรจากพระเพื่อให้ตัวเองร่ำรวย เพื่อขอฤกษ์ขอยาม หรือแม้แต่ขอเลขขอหวย พิธีกรรมส่วนใหญ่แล้วเป็นของสมณะพราหมณ์ฮินดูและความเชื่อเรื่องผีสางเทวดาวิญญาณที่สิงสถิตย์อยู่ในวัตถุและธรรมชาติที่ฝังอยู่ในวัฒนธรรมของคนไทยมานานก่อนที่พุทธศาสนาจะเดินทางมาถึงเอเชียอาคเนย์

I saw the ritual, but did not understand the dharma and the teachings. There is a Thai saying, “You see suffering, you see dharma.” That’s absolutely true. When I experienced suffering, and saw people suffering around me, I decided to scrutinize the teachings of Lord Buddha.

ฉันได้เห็นพิธีกรรมต่างๆ มากมาย แต่ก็ไม่เคยเข้าใจธรรมะและคำสอนของพระศาสดาเลย มีคำกล่าวอันหนึ่งที่บอกว่า “เห็นทุกข์ก็จะเห็นธรรม” ซึ่งก็เป็นดังคำกล่าวนั้น เมื่อถึงเวลาที่ฉันได้ประสบกับความทุกข์และเห็นผู้คนรอบข้างของฉันประสบกับความทุกข์ ฉันเลยตัดสินใจที่จะหันมาศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างจริงจัง

In addition to tending to the spiritual needs of people, most Thai temples overseas serve many purposes. They are gathering places for social activities, teaching and learning, especially about Thai culture and the Thai language. I attend events and socialize at local temples here in the U.S., and I also do volunteer work. It was at these temples and monasteries that I met my gurus, who have provided me with guidance and enlightenment on the law of karma.

พูดถึงวัดแล้ว วัดก็มีสิ่งดีๆ มากมาย นอกจากจะช่วยสนองความต้องการของผู้คนทางด้านจิตใจแล้ว วัดไทยในต่างแดนส่วนใหญ่ก็เป็นศูนย์รวมของการทำกิจกรรมทางสังคมอื่นๆ และเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับการเรียนการสอนโดยเฉพาะวัฒนธรรมไทยและภาษาไทย ฉันก็มักจะไปร่วมกิจกรรมและพปปะสังสรรค์กับผู้คนที่วัดใกล้บ้านและที่อารามหรือวัดป่าที่ฉันได้พบกับพระอาจารย์ที่ได้ชี้หนทางสว่างให้กับฉันและได้สอนให้ฉันเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม

My inspiration for writing this book came from my study of dharma. Dharma can be summarized as two things: dukkha and the cessation of dukkha. The word dukkha can be translated as “suffering” – the suffering of the body and mind. But it also means a chronic sense of incompleteness of experience or, in other words, “a lack of true happiness.”

แรงบันดาลใจที่ช่วยให้ฉันเขียนหนังสือเล่มนี้มาจากการที่ตัวเองได้ศึกษาคำสอนของพระโคตมพุทธเจ้า ธรรมะของพระพุทธองค์สามารถสรุปสั้นๆ เป็นสองเรื่องด้วยกันคือ ทุกข์ และการดับทุกข์ คำว่าทุกข์หมายถึง ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ รวมถึงความรู้สึกว่าตนขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือพูดง่ายๆ ก็คือ การขาดความสุขที่แท้จริง

I found myself happier after I started to understand the Four Noble Truths and the law of karma. I started to practice makka, the path to the cessation of suffering. Now I understand that the law of karma is always fair, just, and does not discriminate.

ฉันรู้สึกว่าตนมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมหลังจากที่ฉันเริ่มเข้าใจอริยสัจสี่และกฎแห่งกรรม ฉันได้เริ่มปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปดซึ่งเป็นหนทางสู่ความดับทุกข์ ตอนนี้ฉันเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่ากฎแห่งกรรมนั้นยุติธรรมเสมอและไม่เลือกที่รักมักที่ชัง

Karma means “action” – an intention, or the moral dimension of the law of “cause and effect” – and is seen as bringing upon oneself inevitable results, good or bad, either in this life, or in the next life. These “actions” relate to anything we say, do, feel, and think. Karma also “influences” what we say, do, feel, and think. In short, good actions equate to good results, and bad actions equate to bad results.

คำว่ากรรม หมายถึงการกระทำ การมีเจตนาที่จะกระทำ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ มิติทางด้านศีลธรรมของกฎความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุและผลลัพธ์ซึ่งจะนำผลมาสู่ผู้กระทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือไม่ดี ไม่ว่าจะได้รับในชาตินี้หรือชาติหน้า การกระทำต่างๆ เหล่านี้เกี่ยวโยงกับสิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราทำ สิ่งที่เรารู้สึกนึกคิด สรุปง่ายๆ ก็คือ การกระทำดีก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดี การกระทำที่เลวก็จะได้ผลลัพธ์ที่เลว

The results of karma, whether good or bad, may or may not manifest right away. It may happen in the same lifetime, or in a future life. We may even receive both positive and negative reactions at the same time. I will explain and give many examples of the law of karma in the pages of this book.

ผลของกรรมไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีนั้นอาจจะแสดงให้เห็นทันทีหรือไม่ก็ได้ บางทีอาจจะเห็นในชาตินี้ หรือบางทีอาจจะเห็นในชาติหน้า เราอาจได้รับทั้งผลที่เป็นบวกและเป็นลบในเวลาเดียวกัน ผู้เขียนจะอธิบายและยกตัวอย่างต่างๆ ของกฎแห่งกรรมในหนังสือเล่มนี้


This is my favorite quote about the law of karma:

นี่คือคำกล่าวที่ผู้เขียนชอบที่สุดเกี่ยวกับกฎแห่งกรรม

“You harm yourself as dust thrown against the wind comes back to the thrower.” – Lord Buddha

“เราโยนสิ่งสกปรกขึ้นฟ้า ฟ้าจะไม่ต่ำลงมา แต่สิ่งสกปรกนั้นจะย้อนกลับมาหาเราเอง”

– สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

These are some quotes describing karma.

ตัวอย่างสุภาษิตและคำกล่าวต่างๆ ที่อธิบายความหมายของกรรม

“As you sow, so shall you reap.”

ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

“What goes around comes around.”

กงกรรมเกวียน หรือ กรรมตามสนอง

“Karma is the law of cause and effect.”

กรรมคือกฎของเหตุและผล

“The mind is programmed by karma; bad programming would lead to bad life experiences.”

จิตถูกโปรแกรมด้วยกรรม ใส่โปรแกรมที่เลวร้ายลงไป โปรแกรมนั้นก็จะพาเราไปสู่ประสบการณ์ที่เลวร้าย


The full title of this book is The Law of Society May Not Be Fair But, The Law of Karma Is Always Fair because, working as a legal interpreter, I have seen many injustices perpetrated under the laws of society. I have seen people being dishonest, and cheat by hook or by crook, under the laws of society – and get away with it. In this book, I will tell stories of karma from the perspective of a legal interpreter. I will also tell stories that people can relate to in their own personal experiences, and how the law of karma is always fair, even if you circumvent the laws of society.

หนังสือเล่มนี้มีชื่อเต็มว่า “กฎหมายอาจไม่ยุติธรรม แต่กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ” ที่ตั้งชื่อนี้ก็เพราว่า ฉันได้เห็นความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นภายใต้กฎหมายของสังคม และได้เห็นหลายๆ คนที่ไม่ซื่อสัตย์ ไม่ว่าจะเอาด้วยเล่ห์ก็จะเอาด้วยกลเพื่อให้หลุดพ้นจากการถูกลงโทษโดยกฎหมาย ในหนังสือเล่มนี้ ฉันได้เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับกรรมจากมุมมองของล่ามโดยใช้สถานการณ์ต่างๆ ทางกฎหมายเป็นสื่อ เรื่องเล่าต่างๆ นี้ ผู้อ่านจะสามารถนำมาเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของตนเองได้และก็จะเห็นได้ว่ากฎแห่งกรรมนั้นยุติธรรมเสมอไม่ว่าบุคคลใดจะพยายามหลีกเลี่ยงการลงโทษจากกฎหมายของบ้านเมืองก็ตาม

As I have noted previously, the supernatural experiences described in this book are fictional, and the characters are each an amalgamation of a number of people. None of the stories are directly from cases in which I have served as an interpreter. All of the names and settings are imaginary, and do not depict real people. Any similarity to a name, character, or history of any entity or person is entirely unintentional and coincidental. I chose the San Francisco Bay Area as the location of my stories, because I live here and it is the most familiar place to me in America.

ตามที่ฉันได้กล่าวไว้ข้างต้น เรื่องราวที่เป็นเรื่องอภินิหารที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น และตัวละครแต่ละตัวก็เป็นตัวที่สมมุติขึ้นมาจากชีวิตจริงของหลายๆ คนรวมกัน หากตัวละครใด หรือเหตุการณ์ใดที่มีชื่อเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกับใครสักคน ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ผู้เขียนสมมุติขึ้นมาทั้งหมด ไม่มีเจตนาที่จะเขียนพาดพิงถึงผู้ใดหรือเหตุการณ์ใด ส่วนฉากละคร ฉันเลือกเขตอ่าวซานฟรานซิสโกเป็นสถานที่สำหรับเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ก็เพราะเป็นเมืองที่ฉันอาศัยอยู่และคุ้นเคยที่สุดในอเมริกา

This book is written for entertainment but, ultimately, it is also meant to be educational and didactic. Although it is written for Thais living in America and Thailand who are interested in the subject matter, I hope others will find it interesting to learn about the life of Thai immigrants and the law of karma.

หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง แต่จุดประสงค์หลักจริงๆ แล้วก็คือ ต้องการให้ผู้อ่านได้ความรู้และคติเตือนใจ ถึงแม้ว่าจะเขียนขึ้นสำหรับผู้อ่านที่เป็นชาวไทยที่อาศัยอยู่ในอเมริกาและที่เมืองไทยที่สนใจก็ตาม ผู้อ่านที่เป็นชาวต่างชาติหรือชาวไทยที่อยู่ในประเทศอื่นก็จะสามารถได้รับความรู้ข่าวสารที่น่าสนใจเกี่ยวกับคนไทยที่อพยพไปอยู่ในต่างแดนและความรู้เกี่ยวกับกฎแห่งกรรมได้เช่นเดียวกัน

I hope you will enjoy reading the book as much as I enjoyed writing it.

ผู้เขียนหวังว่าผู้อ่านจะสนุกและเพลิดเพลินไปกับการอ่านเช่นเดียวกับที่ผู้เขียนสนุกและเพลิดเพลินไปกับการเขียนหนังสือเล่มนี้นะคะ


Benjawan Poomsan

เบญจวรรณ ภูมิแสน


CHAPTER 1
BEYOND OUR RADAR SCREEN


บทที่ 1
กบในกะลา

There is a saying in Thai that we are "a frog in a coconut shell" because we have a limited understanding of the possibilities in life. Even after working in thousands of legal cases, it took me a long time to get out of my coconut shell. I finally realized that my knowledge of the universe was minuscule. I learned that the universe has infinite possibilities and that everything is connected and, most of all, that the law of karma does exist.

มีสุภาษิตไทยอันหนึ่งกล่าวไว้ว่าพวกเราคือ กบในกะลา ก็เพราะว่าพวกเรามีความใจที่น้อยนิดเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในชีวิต ถึงแม้ว่าจะได้ทำงานเป็นล่ามกฎหมายมาหลายพันคดี ฉันก็ใช้เวลานานมาก กว่าจะออกมาจากกะลาได้ ซึ่งเป็นเวลาที่ฉันได้ตระหนักว่าความรู้ของตนเกี่ยวกับจักรวาลนั้นมีเพียงน้อยนิด ฉันได้เรียนรู้ว่าจักรวาลมีความเป็นไปได้อนันต์นับและทุกสิ่งทุกอย่างต่างเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ กฎแห่งกรรมนั้นมีจริง

*************

“That’s not fair to me! I’m going to fight the case.”

“You will hear from my lawyer soon. I’ll see you in court!”

“I will get back at you, no matter how much it costs me.”

“I hope that he will be damned and totally screwed.”

“It’s my mistake; I should not have married him.”


“มันไม่ยุติธรรมสำหรับผมเลย ผมไม่ยอม ผมจะสู้คดี”

“เดี๋ยวทนายฉันจะส่งหนังสือไป เจอกันในศาลก็แล้วกัน”

“ฉันจะเอาคืนแน่ เสียเท่าไหร่ก็ยอม”

“ขอให้มันฉิบหายวายวอด”

“ฉันผิดเอง ไม่น่าแต่งกับมันเลย”


No matter how many years have passed, I still hear the same statements over and over uttered by Thai people whom I interpret for in legal matters in the United States. People that end up in court are filled with emotional distress. Therefore, I’m constantly exposed to their pain and resentment, their desire for vengeance, their sadness, hatred, feelings of inferiority, and other negative emotions.

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ฉันยังคงได้ยินคำพูดเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากปากของคนไทยที่ฉันเป็นล่ามให้ในคดีความที่สหรัฐอเมริกา คนที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ล้วนแต่มีความคับแค้นและความกังวลใจ ฉันจึงได้สัมผัสถึงความรู้สึกที่เจ็บปวด โกรธแค้น อาฆาตพยาบาท โศกเศร้า เกลียดชัง ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจและความรู้สึกที่เป็นลบจากผู้ที่ฉันเป็นล่ามให้อยู่เสมอ

Virtually everyone who goes to court or experiences litigation, either civil or criminal, complains that either the judgment was unfair or the law is not fair, when the ruling did not go in their favor or according to their expectations.

แทบจะทุกคนที่ขึ้นศาลหรือมีเรื่องที่เป็นคดีความ ไม่ว่าจะทางแพ่งหรือทางอาญามักจะบ่นว่าการตัดสินนั้นไม่ยุติธรรม หรือกฎหมายไม่ยุติธรรมเวลาที่ผลการตัดสินไม่เข้าข้างฝ่ายตนหรือไม่เป็นไปตามที่ตนคาดหวังไว้

Their emotions are intense and even excessive, but they are genuine. I see, hear, and experience their emotions and what they want to convey, and over the years the accumulation of all this negative energy affected me dramatically. I started to suffer along with these people. Some cases were so intense that the emotions lingered in me for years.

อารมณ์ที่ว่านั้นมันรุนแรงจนถึงขั้นล้นหลามเลยก็ว่าได้ แต่มันเป็นความรู้สึกที่แท้จริง ฉันได้เห็น ได้ยินและได้ประสบกับความรู้สึกของพวกเขาในเวลาที่ฉันได้แปลสิ่งที่พวกเขาต้องการสื่อออกมา ดังนั้น เมื่อเวลาผ่านพ้นไปปีแล้วเล่า ฉันก็ได้สะสมพลังงานที่เป็นลบนี้ ซึ่งก็ได้มีผลกระทบต่อฉันมากมาย ฉันก็เริ่มรู้สึกทุกข์ไปกับพวกเขา บางเคสที่ฉันเป็นล่ามให้นั้นมันหนักหนาสาหัสมาก จนทำให้ความรู้สึกที่เป็นลบนั้นคาใจฉันนานนับหลายปี

I sometimes wondered why Thai people who have traveled halfway across the globe to the U.S. to make a living or to settle down with their families in the “land of plenty” had to face such difficulties. If they knew it was going to be that bad, they would have been better off not leaving home. Thailand is a great country where there is an abundance of food, and most people are able to live comfortably if they work diligently, are frugal, and do not live ostentatiously.

บางครั้งฉันถามตัวเองว่าทำไมคนไทยที่เดินทางมาครึ่งโลกเพื่อที่จะมาหาเงินหรือตั้งรกรากใหม่กับครอบครัวที่อเมริกาที่มีสมญานามว่า “ดินแดนแห่งความมั่งคั่ง” นั้นถึงต้องมาผจญกับความยากลำบากขนาดนี้ ถ้าพวกเขารู้ว่าชีวิตมันจะเลวร้ายเช่นนี้ พวกเขาคงไม่ทิ้งเมืองไทยมาลำบากแบบนี้แน่นอน เมืองไทยเป็นประเทศที่เพรียบพร้อม ถ้าขยันทำงาน ประหยัดและไม่ใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย ก็จะอยู่ได้อย่างสุขสบายเพราะเมืองไทยเป็นประเทศที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์

I realized that I was getting as depressed as my clients, just by interpreting for them. Consequently, I looked for ways to alleviate these stressful feelings. I wanted to know how I could totally rid myself of them.

ถึงแม้จะเป็นเพียงล่ามเท่านั้น ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองมีอาการหดหู่และซึมเศร้าไปกับลูกค้า ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงต้องหาวิธีที่จะบรรเทาความรู้สึกที่เป็นทุกข์นี้ ฉันอยากจะรู้วิธีที่จะกำจัดมันออกจากใจของฉันอย่างสิ้นเชิง

I read many books and consulted knowledgeable professionals, but did not get answers that were actually helpful to me. I found that the professionals I consulted were filled with their own troubles.

ฉันได้อ่านหนังสือหลายเล่มและได้ไปปรึกษากับผู้มีความรู้ที่เป็นมืออาชีพหลายคน แต่ก็ไม่ได้คำตอบที่ช่วยฉันได้จริง พอไปคุยกับผู้ที่ให้คำปรึกษาเหล่านี้ก็ได้พบว่าพวกเขาเองก็ยังเต็มไปด้วยปัญหามากมาย

Well, where there is a will, there is a way. Finally, I found two people who were able to help me eradicate the negative emotions and thoughts that had taken over my soul, and to have these emotions removed permanently. They taught me how to release the undesirable feelings that I absorbed as a result of my work. This knowledge eventually allowed me to escape out of the “coconut shell.”

แน่นอน ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น ในที่สุด ฉันก็ได้พบกับบุคคลสองท่านที่สามารถช่วยฉันให้ลบล้างอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เป็นลบนี้ออกจากจิตวิญญาณของฉันได้อย่างถาวร ท่านทั้งสองได้ชี้แนวทางการปลดปล่อยความรู้สึกที่ไม่พึงปรารถนาที่ฉันได้ดูดซับมาจากการทำงานเป็นล่ามนั้นออกไป สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ทำให้ฉันค่อยๆ หลุดออกจากกะลาได้ในที่สุด

My first guide took me through different dimensions and helped me understand the law of karma thoroughly, and instilled in me the will to not do any bad deeds anymore.

บุคคลแรกได้พาฉันท่องเที่ยวไปในหลายมิติและได้ช่วยให้ฉันเข้าใจถึงกฎแห่งกรรมอย่างถ่องแท้ที่ได้ฝังลึกลงไปในจิตใจของฉันจนฉันไม่กล้าที่จะทำชั่วอีกต่อไป

My first savior was Kanjana who, like me, is also a migrant from Thailand to the United States.

คนแรกที่เป็นผู้ที่ช่วยให้ฉันหลุดพ้นคือ กาญจนา เรามีอะไรที่เหมือนกันคือ เป็นผู้อพยพย้ายถิ่นจากไทยมาอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาเหมือนกัน

*************

One day, on Facebook, I saw a link, written in Thai, that a friend of mine had shared. “Are you sure you cannot go back in time and correct your mistakes? You can, if you stand out of time. I can take you there.”

วันหนึ่ง ในขณะที่ฉันเล่นเฟซบุ๊กอยู่นั้น ได้เห็นลิงก์อันหนึ่งที่เพื่อนได้แชร์มาพร้อมกับข้อความว่า “คุณแน่ใจหรือว่าคุณไม่สามารถที่จะย้อนเวลากลับได้เพื่อที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดของคุณ คุณทำได้นะ ถ้าคุณยืนอยู่นอกกาลเวลา ฉันจะพาคุณไปได้”

This instantly caught my attention, so I checked this person’s personal page to read her other posts.

ข้อความนี้สะดุดตาฉันโดยทันที ฉันก็เลยเข้าไปส่องดูเพจส่วนตัวของเธอเพื่อที่จะอ่านโพสต์อื่นๆ ที่เธอเขียนลง

“I can heal any wounds in your heart - the wound that you have now or any other lifetime.”

“Traveling through dimensions, with a high level of spirituality can be automatic, and for some people, can be done without meditation.”

“In a higher world, when you look down to see what happens on earth, you don’t judge. For you there is no right or wrong.”

“No experiences are bad. They are equally just as good because you will learn from them and keep learning until you get it.”

“ฉันสามารถรักษาทุกบาดแผลทางใจได้ ไม่ว่าจะเป็นบาดแผลที่คุณมีในตอนนี้ หรือบาดแผลที่ติดมาจากชาติอื่น”

“การเดินทางผ่านมิติสำหรับคนสูงด้านจิตวิญญาณสามารถทำได้โดยอัตโนมัติ และสำหรับบางคนสามารถทำได้โดยไม่ต้องทำสมาธิ”

“สำหรับผู้ที่อยู่ในโลกที่สูงกว่า เวลาที่เขามองลงมาดูสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ เขาจะไม่ตัดสิน จะไม่บอกว่าใครผิดใครถูก”

“ไม่มีประสบการณ์ไหนที่ไม่ดี ทุกประสบการณ์ดีเท่ากัน เพราะว่าคุณจะเรียนรู้จากประสบการณ์เหล่านั้นจนกว่าคุณจะเข้าใจ”


This person’s words were like medicine for my heart. I spent many more hours reading her posts and comments online. However, not everyone appreciated what she had written. Many people had “unfriended” or “unfollowed” her because they thought she was crazy. But many people had posted thanks to her for helping them to be free of their worries and pain – physical, emotional, and mental pain. I read that she performed all of her treatments remotely, free of charge, or for very little money.

คำพูดของคนผู้นี้เป็นดั่งยาสำหรับหัวใจฉัน ฉันได้ใช้เวลาอีกหลายชั่วโมงอ่านโพสต์และคอมเมนต์ต่างๆ ทางออนไลน์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะชอบพอกับสิ่งที่เธอเขียนลง หลายคนได้เลิกเป็นเพื่อนหรือเลิกตามเธอเพราะคิดว่าเธอมีสติฟั่นเฟือน แต่ก็มีเพื่อนๆ ของเธออีกหลายคนที่ได้โพสต์แสดงความขอบคุณที่เธอได้ช่วยให้พวกเขาพ้นจากความวิตกกังวลและความเจ็บปวด ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์และจิตใจ จากที่อ่าน ก็ได้พบว่าเธอได้เยียวยารักษาคนเหล่านั้นทางไกลโดยที่ไม่คิดค่ารักษาใดๆ หรือไม่ก็เพียงแต่น้อยนิด

Kanjana resides in Chicago, Illinois. She moved there from Thailand, five years ago, to marry her husband, who is a computer programmer. She is in her late 30s and has two children, both under the age of ten. Her friends consider her to be a spiritual healer, and a “lightworker.” Kanjana possesses many extraordinary psychic powers. She has the ability to know what other people are thinking, or feeling. She can deduce intuitively when people have the need to be healed.

กาญจนาอาศัยอยู่ที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ เธอย้ายจากเมืองไทยไปอยู่ที่นั่นเพื่อไปแต่งงานกับสามีชาวอเมริกันเมื่อห้าปีก่อน สามีเป็นโปรแกรมเมอร์ ตอนนี้เธออายุสามสิบปลายๆ และมีลูกสองคนที่ยังไม่ถึงสิบขวบทั้งสองคน เพื่อนๆ ของเธอยกให้เธอเป็นผู้เยียวยาทางด้านจิตวิญญาณ และเป็นผู้นำทางแห่งแสงสว่าง หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า lightworker กาญจนามีพลังจิตที่มนุษย์ทั่วไปไม่มี เธอสามารถหยั่งรู้ว่าใครกำลังคิดอะไรอยู่หรือกำลังรู้สึกเช่นไร เธอสามารถอนุมานโดยสัญชาตญาณว่าคนไหนบ้างที่มีความจำเป็นที่จะได้รับการเยียวยา

At a young age, Kanjana suffered a series of traumatic events, and went through some personal struggles. Her father ran away when her mother was pregnant with Kanjana. When she was only two years old, her mother committed suicide, leaving her in the care of her aunt. Even as a small child, she began to exhibit psychic powers.

ในวัยเด็ก กาญจนาได้รับความทุกข์ทรมานจากหลายเหตุการณ์ที่ส่งผลให้เธอได้รับความบอบช้ำทางจิตใจ พ่อของเธอหนีแม่ไปตอนที่กาญจนายังอยู่ในครรภ์ และตอนที่กาญจนาอายุได้เพียงสองปี แม่ของเธอก็ฆ่าตัวตาย ทิ้งเธอไว้ให้อยู่กับป้า กาญจนาเริ่มแสดงความสามารถทางพลังจิตของเธอตั้งแต่ยังเยาว์วัย

Because she was different, her cousins and other children found pleasure in bullying her. One Sunday afternoon, when she was about seven, playing in an amusement park swimming pool in Bangkok, her cousins held her under the water for a long time. She drowned, and her body sank to the bottom of the pool. Her soul left her body for a few minutes, and was able to see the lifeguard pulling her limp body out of the water to resuscitate her. She was revived, and returned to the world. But this death experience opened new worlds to her.

เนื่องจากว่าเธอเป็นเด็กที่ไม่เหมือนคนอื่น ลูกพี่ลูกน้องและเด็ก คนอื่นๆ ชอบที่จะกลั่นแกล้งระรานเธอ วันหนึ่งในตอนบ่ายวันอาทิตย์ ตอนนั้นเธอมีอายุได้เจ็ดขวบ เธอกำลังเล่นอยู่ที่สระน้ำในสวนสนุกแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ลูกพี่ลูกน้องของเธอได้กดเธอลงใต้น้ำเป็นเวลานาน เธอได้จมน้ำแล้วร่างก็ร่วงลงไปใต้สระ วิญญาณของเธอได้ออกจากร่างไป ในช่วงไม่กี่นาทีนั้น เธอก็ได้เห็นเจ้าหน้าที่คอยช่วยชีวิตคนตกน้ำดึงร่างที่ปวกเปียกของเธอออกจากสระแล้วช่วยให้เธอฟื้นคืนสติ เธอจึงรอดชีวิตและได้กลับคืนมายังโลกปัจจุบัน แต่การที่เธอได้ผ่านความตายมาแล้วนี้ได้เปิดโลกใหม่ๆ ให้กับเธอ

Growing up, her aunt was preoccupied with her work, and with raising her own children. Therefore, Kanjana was often left alone, but she was never really alone. She always had spirits around her. She could see, and occasionally, communicate with dead people. She knew that no one would believe her abilities, so she only confided in two monks, who taught her meditation techniques.

เธอโตมากับครอบครัวของป้า ป้าก็ยุ่งกับงานและเลี้ยงลูกของตัวเอง หลายครั้งที่กาญจนาถูกปล่อยทิ้งไว้ให้อยู่ตามลำพัง แต่จริงๆ แล้ว เธอไม่เคยอยู่คนเดียวเลย เธอถูกล้อมรอบด้วยภูติผีและวิญญาณอยู่เสมอ เธอสามารถมองเห็นคนที่ตายไปแล้วและบางครั้งสามารถติดต่อสื่อสารกับวิญญาณของผู้ที่ตายไปแล้วได้ กาญจนารู้ว่าคงไม่มีใครที่จะเชื่อว่าเธอมีความสามารถพิเศษนี้ เธอจึงบอกความลับนี้เฉพาะกับพระสองรูปที่เป็นผู้สอนเทคนิคการทำสมาธิให้กับเธอ

Even though she was just a child, Kanjana was highly intuitive, and had an innate wisdom about life. She was naturally spiritual and philosophical, and often perplexed people with the amount of knowledge she possessed, for such a young person. She realized that the other kids did not intentionally want to hurt her; rather, they were put there to awaken her spiritual powers.

ถึงแม้ว่ากาญจนาจะเป็นเด็ก แต่เธอก็มีความหยั่งรู้ในมากมายหลายสิ่งและรู้ได้ด้วยตนเองเกี่ยวกับการใช้ชีวิต เธอรู้เรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณและเป็นคนธรรมะธัมโม หลายครั้งคนมักจะฉงนกับความรู้ของเด็กตัวน้อยๆ คนนี้ เธอรู้ตัวว่าเด็กคนอื่นๆ นั้นไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายเธอ เด็กพวกนั้นเป็นเครื่องมือที่จะให้เธอตื่นรู้ถึงความสามารถพิเศษทางจิตวิญญาณที่เธอซุกซ่อนอยู่ภายใน

She strived and eventually completed a bachelor’s degree in psychology. Later, she met and married her American husband, Sam.

I followed Kanjana on Facebook for about two years before I decided to get in touch with her.

กาญจนาบากบั่นจนเธอเรียนจบปริญญาตรีด้านจิตวิทยา หลังจากนั้นเธอก็ได้พบและได้แต่งงานกับแซมซึ่งเป็นชาวอเมริกัน

ฉันได้ตามกาญจนาทางเฟซบุ๊กเป็นเวลาสองปีก่อนที่จะตัดสินใจทักเธอไป

When I contacted Kanjana, I confided in her about the “vicarious trauma” I was suffering as a result of the years of interpreting for victims of sexual assault, domestic violence, and other physical and psychological trauma.

ตอนที่ฉันติดต่อกาญจนาไป ฉันได้เผยความลับกับเธอว่าฉันมีความบอบช้ำทางจิตใจที่ได้รับทอดจากบุคคลที่ได้ประสบเหตุการณ์ที่ร้ายแรงนั้น ภาษาอังกฤษเรียกว่า vicarious trauma จากการที่ฉันเป็นล่ามหลายปีให้กับผู้เสียหายเรื่องการทำร้ายทางเพศ การใช้ความรุนแรงในครอบครัวและความบอบช้ำทางด้านร่างกายและจิตใจอื่นๆ

She understood everything I told her, and we became friends via Messenger app and video calling. She explained that with hypnotherapy I might achieve a higher level of enlightenment and revisit my past lives.

เธอเข้าใจทุกอย่างที่ฉันบอกกับเธอ เราได้เป็นเพื่อนกันผ่านแอปเมสเซนเจอร์และคุยกันผ่านวิดีโอ เธออธิบายว่าการสะกดจิตบำบัดอาจจะทำให้ฉันรู้แจ้งเห็นจริงมากขึ้นและฉันอาจจะเห็นชาติก่อนๆ ของตัวเองได้

Finally, I arranged to meet her in person, for a treatment weekend. She’s very busy, being a mom and working full-time, but she was willing to see me one weekend, and even let me stay at her house.

ในที่สุด ฉันก็ได้จัดตารางมาพบกับเธอตัวจริงเพื่อที่จะมารับการเยียวยาทางจิตใจในช่วงหยุดสุดสัปดาห์ กาญจนายุ่งตลอดเวลา ไหนจะเป็นแม่ ไหนจะเป็นงานนอกบ้านที่ต้องทำเต็มเวลา แต่เธอก็ยินดีที่จะพบกับฉันในช่วงหยุดสาร์-อาทิตย์ และแถมยังให้ฉันพักที่บ้านของเธออีกด้วย

When we met, I had a very strange feeling about Kanjana; strange in a positive way. We talked until late in the evening, that first night. I listened to her stories of the people she had healed. Then I told her my story.

ฉันมีความรู้สึกที่แปลกมากในตอนที่ได้พบกับกาญจนา เป็นความรู้สึกแปลกแต่ดี เราคุยกันจนถึงดึกในคืนวันแรก ฉันได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ของคนที่เธอได้ช่วยรักษา หลังจากนั้น ฉันก็ได้เล่าเรื่องของตนให้เธอฟัง

The primary reason I went to see her was to experience regression hypnosis. This treatment is effective only if done in person. But I also wanted to learn more about Kanjana because I knew that she had more talents and powers, beyond being a hypnotherapist.

เหตุผลหลักที่ฉันไปหากาญจนาในครั้งนี้ก็เพื่อจะรับการสะกดจิตย้อนอดีต การบำบัดโดยการสะกดจิตแบบนี้จะต้องมาด้วยตนเองจึงจะเห็นผล และฉันก็ต้องการที่จะรู้จักกับกาญจนามากขึ้นเพราะฉันรู้ว่าเธอมีความสามารถและพลังพิเศษมากมาย ไม่ใช่เป็นเพียงนักสะกดจิตบำบัดเท่านั้น

*************


“Are you ready?”

Those were the words I was longing to hear. In Kanjana’s meditation room, I prepared to be taken on a journey to my past lives, under hypnosis. I couldn’t wait.

“พร้อมรึยังคะ” กาญจนาเอ่ยกับฉันในห้องทำสมาธิ เป็นคำพูดที่ฉันรอมานาน ฉันได้เตรียมสติของตัวเองเพื่อที่จะเดินทางไปดูอดีตของตนโดยใช้วิธีการสะกดจิตแบบย้อนอดีต ฉันตื่นเต้นสุดๆ

“Do you remember the rules?” she asked. “Can you tell me what they are?”

“Yes. I must not be obsessed with it. I will use what I have learned to help others. I need not worry about my past lives, because they are the past, and I need not worry about my future, or next life, because my good acts in this life will provide my future spiritual evolution.” As I spoke the words, I concentrated on their meaning, and tried to etch them into my memory.

“จำกฎที่หนูบอกได้มั้ยคะ ลองทวนให้ฟังดูซิคะว่ามีอะไรบ้าง”

“ได้ค่ะ พี่จะต้องไม่หมกมุ่นกับมัน จะต้องใช้สิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นมาช่วยเหลือผู้อื่น พี่จะไม่คิดมากเกี่ยวกับอดีตชาติเพราะมันเป็นอดีตไปแล้ว และจะไม่ห่วงเรื่องอนาคตหรือชาติหน้า เพราะการทำดีของเราในชาตินี้จะส่งผลดีให้กับจิตวิญญาณของเราในชาติต่อๆ ไป” ในขณะที่ฉันกล่าวทวนนั้น ฉันก็โฟกัสไปที่ความหมายของสิ่งที่ตนได้พูดออกไป และพยายามที่จะสลักมันไว้ในความทรงจำ

The meditation room felt cozy, with the lights turned down to a soft and comfortable level. I was lying on a small bed, covered with a blanket, and completely at ease. Kanjana gently guided me in the proper method to breathe and meditate.

ห้องที่ใช้ทำสมาธินั้นรู้สึกอบอุ่นดี กาญจนาหรี่ไฟลงให้เหลือเพียงเบาๆ ให้พอสบายๆ ฉันนอนอยู่บนเตียงเล็กๆ มีผ้าห่มคลุมไว้ ฉันรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว ณ ตอนนี้ กาญจนาก็ค่อยๆ บอกวิธีที่ถูกต้องในการหายใจและการทำสมาธิ

“Count backwards from 100 to one. Close your eyes, and relax each part of your body. Bring your awareness to your left leg, and relax it. Bring your awareness to your right leg, and relax it. Repeat this for each part of your body. When you have completed recognizing each part, and relaxing it, then start again with your left leg. Let go, relax, and as you concentrate your mind on each body part and relax, you will fall into a deeper level of meditation.”

“ให้นับถอยหลังจาก 100 ถึง 1 นะคะ หลับตาแล้วทำตัวให้สบาย ให้อวัยวะทุกส่วนผ่อนคลาย ให้รับรู้ความรู้สึกที่ขาซ้าย แล้วให้ผ่อนคลายตรงนั้น ให้รับรู้ความรู้สึกที่ขาขวา แล้วให้ผ่อนคลายตรงนั้น ให้ทำแบบนี้ในทุกส่วนของร่างกาย พอทุกส่วนได้รับการรับรู้และผ่อนคลายแล้ว ให้มาเริ่มอีกครั้งตรงขาซ้าย ปล่อยตัวให้สบายแล้วเพ่งจิตไปที่อวัยวะส่วนต่างๆ แล้วก็ให้ผ่อนคลาย แล้วพี่ก็จะค่อยๆ เข้าไปในสมาธิที่ลึกขึ้นไป”

After some time, I lost contact with this “current world” and was transported to one of my past lives. Kanjana's words were guiding me to a place I had never been to before. My journey took on the form that she whispered to me, and I saw and felt everything she described.

“It feels as if you are inside white clouds, mist is flowing by, and the clouds are starting to dissipate.”

หลังจากนั้นไม่นาน จิตฉันก็หลุดออกจากโลกปัจจุบัน แล้วก็ได้ถูกส่งไปยังอดีตชาติหนึ่งของฉัน เสียงของกาญจนาเป็นตัวนำทางให้ฉันไปยังที่ที่ฉันไม่เคยไปมาก่อน ฉันเดินทางไปพร้อมกับเสียงกระซิบของกาญจนา ฉันได้เห็นและรู้สึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอได้บรรยาย

“พี่จะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองอยู่ในเมฆสีขาว มีหมอกลอยผ่าน แล้วเมฆนั้นก็จะค่อยๆ จางหายไป”

As the clouds dissolved, buildings and landscapes began to appear. I don’t know why, but it reminded me of Tokyo, probably because I have visited the capital of Japan many times. But it didn’t look completely like modern-day Tokyo. The high-rise buildings were gone, and there were no neon lights or commuter trains. Finally, the information came into my consciousness. This was Tokyo of the Meiji Era, from around 1868 to the early 1900s. I had gone back in time. The Meiji Era ushered in a rapid transformation of Japan from an isolated country of powerful families and warlords, to a modern industrialized nation, influenced by Western ideas in science, technology, and other fields. This had a significant effect on Japan’s social structure.

พอเมฆหมอกได้จางลง ฉันก็ได้เห็นตึกรามบ้านช่องและทิวทัศน์ ไม่รู้ว่าทำไม อยู่ๆ ก็ดูเหมือนกรุงโตเกียว อาจเป็นเพราะว่าฉันได้ไปเมืองนี้มาหลายครั้งตอนไปเที่ยวญี่ปุ่น แต่มันก็ดูแตกต่างจากจากเมืองโตเกียวในปัจจุบันที่ฉันรู้จัก ไม่มีตึกสูงๆ ไม่มีไฟแสงสี ไม่มีรถไฟที่เต็มไปด้วยผู้โดยสาร แต่ภายในช่วงเวลาไม่นาน ฉันก็รู้ด้วยตัวเองว่า ฉันได้เข้ามาอยู่ในเมืองโตเกียวสมัยยุคเมจิซึ่งเป็นยุคที่ญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากประเทศที่ปิดตัวเองที่ปกครองด้วยครอบครัวและขุนนางที่มีอำนาจ มาเป็นประเทศที่เจริญทางด้านอุตสาหกรรมจากการได้รับอิทธิพลแนวความคิดแนวตะวันตกทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสาขาวิชาอื่นๆ ซึ่งมีนัยสำคัญต่อโครงสร้างของสังคมญี่ปุ่น

As Kanjana guided me, I came upon a middle-aged man, in the living room of his home, working diligently on what appeared to be an important book. He wasn’t wearing Japanese-style clothing; rather, he was attired in a western outfit, of a style worn during the Victorian era. The man seemed familiar to me. It wasn’t as if I knew him, but more like he reminded me of myself. I listened in on the conversation between the man and his wife.

กาญจนาก็ได้นำทางฉันมาเรื่อยๆ แล้วฉันก็เห็นชายวัยกลางคนนั่งทำงานอย่างขยันขันแข็งในห้องนั่งเล่นในบ้านของเขา ดูเหมือนว่าเขากำลังเขียนหนังสือสำคัญเล่มหนึ่งอยู่ ชุดที่เขาใส่ออกไปแนวตะวันตก ไม่ได้เป็นสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสไตล์การแต่งตัวในยุควิกตอเรีย ฉันรู้สึกคุ้นกับผู้ชายคนนี้มาก ไม่ใช่แค่เพราะอาจจะเคยรู้จักเขาคนนี้เท่านั้น ฉันรู้สึกว่าฉันคือผู้ชายคนนี้ เราได้ยินการสนทนาระหว่างชายผู้นี้กับภรรยา

“I am going to translate this book just as it is, without changing the words or meanings. It will be the first book ever translated from English into Japanese without adapting or changing the content.” Because I speak Japanese, I understood everything he said. I even translated what I heard back into Thai, so Kanjana could understand.

“ฉันจะแปลหนังสือเล่มนี้โดยไม่เปลี่ยนคำในหนังสือหรือความหมายใดๆ จะเป็นหนังสือเล่มแรกที่แปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาญี่ปุ่นโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเนื้อหาใดๆ ทั้งสิ้น” ฉันได้ยินผู้ชายคนนี้พูดกับภรรยาเป็นภาษาญี่ปุ่น ฉันบังเอิญพูดภาษาญี่ปุ่นได้ เลยเข้าใจทุกอย่างที่เขาพูด ฉันยังได้แปลสิ่งที่ได้ยินให้กับกาญจนาฟังอีกด้วย

“You should rest now. You’ve been writing all day and night. Tomorrow morning you have a meeting at the office,” his wife reminded him.

“Oh, that’s right. I’ll have to interpret during the negotiations for the yarn contract with England. We plan to import their yarn and distribute it all over Japan.” He remembered what he had to do.

“Have your dinner while it’s still warm.” She brought his dinner on a tray. Chawan-mushi, tempura, miso soup, and rice. She was wearing a simple blue kimono and shimada hairstyle.

“ท่านพี่ควรพักผ่อนได้แล้วนะคะ ท่านพี่ได้เขียนมาทั้งวันทั้งคืนแล้ว พรุ่งนี้เช้าจะมีประชุมที่สำนักงานด้วย” ภรรยาของเขากล่าวเตือน

“โอ้ ใช่ๆ ฉันจะต้องไปเป็นล่ามในการเจรจาสัญญาการค้าเส้นด้ายกับประเทศอังกฤษ พวกเราอยากจะนำเส้นด้ายจากอังกฤษเข้ามาจำหน่ายทั่วญี่ปุ่น” เขาจำได้ว่าตนจะต้องทำอะไรในวันรุ่งขึ้น

“ท่านพี่ทานอาหารเย็นก่อนนะคะ ยังอุ่นๆ อยู่ตอนนี้” เธอยกถาดอาหารเย็นที่มีไข่ตุ๋น เทมปุระ ซุปมิโซะและข้าว เอใส่ชุดกิโมโนแบบง่ายๆ สีน้ำเงินและทำผมทรงชิมาดะ

“By the way, what’s the name of the book you are translating?” she asked.

“In French it’s called Le Tour du Monde en Quatre-Vingt Jours. In Japanese, I will name it Hachi Juu Nichi Kan Sekai Isshuu.”

“I know that book!” I exclaimed. “In English, the title is Around the World in 80 Days, by Jules Verne, which I read in the original French as a first-year student at Khon Kaen University, when I was 18 years old. When I read the book for the first time, I read it with ease, as if I had experienced reading it previously. I remembered that strange feeling I had; it was like déjà vu. And this Japanese man, why do I have such a strong connection to him?”

“แล้วท่านพี่จะตั้งชื่อหนังสือที่กำลังแปลอยู่ว่าอะไรคะ” ภรรยาของเขาถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“หนังสือเล่มนี้มีชื่อภาษาฝรั่งเศสว่า Le tour du monde en quatre-vingt jours ฉันจะตั้งชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า ฮาจิจู นิจิกัง เซไก อิชชู”

“รู้จักหนังสือเล่มนี้” ฉันอุทานด้วยความตื่นเต้น “เล่มนี้ภาษาอังกฤษมีชื่อว่า Around the World in 80 Days โดยจูลส์ เวิร์น ฉันได้อ่านต้นฉบับที่เป็นเวอร์ชั่นภาษาฝรั่งเศสตอนเป็นนักศึกษาปีหนึ่งที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ตอนนั้นอายุสิบแปด ตอนที่อ่านหนังสือเล่มนี้ครั้งแรก ก็อ่านได้อย่างฉลุยราวกับว่าได้เคยอ่านมาก่อน จำได้ว่าตอนที่อ่านรู้สึกว่าเป็นอะไรที่เคยได้ทำมาแล้ว และผู้ชายญี่ปุ่นคนนี้ ทำไมรู้สุกผูกพันธ์กับเขามากเลย”

Kanjana whispered to me, “Think about what you love to do. What connection to this man could you have had, in this past life? Open your mind to the possibilities.”

The revelation was so strong, it woke me from my deep meditation. I was back in Kanjana’s meditation room. As I opened my eyes, she was looking down at me, with a smile on her face.

กาญจนากระซิบที่หูของฉัน “พี่ลองคิดดูซิคะว่าชอบทำอะไร พี่จะเกี่ยวพันธ์กับผู้ชายคนนี้ได้อย่างไรบ้างในอดีตชาติ ลองเปิดใจดูถึงความเป็นไปได้”

วิวรณ์ที่กาญจนาเปิดเผยออกมานั้นแรงพอที่จะทำให้ฉันตื่นออกจากภวังค์ จิตของฉันได้ถูกดึงกลับมาที่ห้องทำสมาธิของกาญจนาอีกครั้ง พอฉันลืมตาขึ้น ก็เห็นกาญจนาจ้องหน้าฉันอยู่พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

It was me! I was that man! It all came to me as I put all the pieces together. I have always loved words, writing, and translating. Just like the man I saw. I speak Japanese, French, and English, just like him. I realize that in one of my past lives I was Chunosuke Kawashima, the translator of the famous Jules Verne book. I’d studied very hard, and was already proficient in language skills, in my past life in Japan.

“Thank you so much for this insight. It makes so much sense that I was a translator in a previous life. Can you take me back to see some of my other past lives? Can we go to specific life experiences?” I was eager to know more.

นั่นมันฉันเองนี่นา พอเอาชิ้นส่วนของจิ๊กซอมาประกอบกันแล้ว ฉันคือผู้ชายคนนั้นเอง ฉันรักภาษา ชอบเขียน ชอบแปล เหมือนกับผู้ชายที่เพิ่งเห็นนั้น ฉันพูดภาษาญี่ปุ่น ฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษได้เหมือนกับผู้ชายคนนั้น ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าหนึ่งในอดีตชาติของฉันเป็นคนญี่ปุ่นที่มีชื่อว่าชุโนซึเกะ คาวาชิมา ผู้แปลหนังสือชื่อของจูลส์ เวิร์นซึ่งเป็นนักเขียนชื่อดัง ฉันเคยเรียนภาษาอย่างหนักหน่วงมาก่อนแล้วและก็เก่งภาษามาตั้งแต่ชาติก่อนตอนอยู่ที่ญี่ปุ่นแล้ว

“ขอบคุณมากเลยนะที่ทำให้พี่ตาสว่าง ไม่น่าแปลกใจที่ชาติก่อนพี่ก็เคยเป็นนักแปล ช่วยพาพี่ไปดูชาติอื่นๆ ก่อนหน้านี้ได้มั้ย เราสามารถไปดูชาติที่เราอยากเห็นชาติใดชาติหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจงได้มั้ย” ฉันกระหายที่จะรู้เพิ่มเติม

Kanjana put it into perspective for me. “Your subconscious will lead you to what you are curious about. This one trip was just the tip of the iceberg of your past lives, and only in this dimension. You have many past lives in other dimensions, too.”

กาญจนาตอบแบบให้ฉันเห็นภาพว่า “จิตใต้สำนึกของพี่จะพาพี่ไปที่ที่อยากรู้อยากเห็น ที่พี่เห็นเมื่อตะกี้นี้เป็นแค่เพียงไม่ถึงเศษเสี้ยวของชาติก่อนของพี่เท่านั้น และที่เห็นนั่นก็แค่อยู่ในมิตินี้เท่านั้น ยังมีชาติอื่นๆ ในมิติอื่นด้วยนะคะ” ขณะที่กาญจนาพูดอยู่นั้น เธอก็คงเห็นว่าฉันทำหน้างงๆ แต่เธอก็อธิบายต่อไป

“There are other dimensions for this observable or current world, and there are parallel worlds as well. Nobody knows exactly how many dimensions there are. Some physicists say there are eleven dimensions, but there are actually many more than that. The vastness of our universe is beyond what the human mind can conceive of or imagine. We are like the old Thai saying about the frog in the coconut shell. We have only a tiny bit of knowledge and intelligence about our world, but we think we are superior to all other beings in the universe.”

“มีมิติอื่นๆ ของโลกที่เรารู้จักหรือโลกที่เราสัมผัสได้ และก็ยังมีอีกโลกหนึ่งซึ่งเรียกว่าโลกคู่ขนานด้วยค่ะ ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ แล้วในจักรวาลมีกี่มิติ นักฟิสิกส์บางคนบอกว่ามี 11 มิติ แต่ความจริงมีมากกว่านั้นมาก จักรวาลของเรากว้างใหญ่ไพศาลกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจหรือจินตนาการได้ พวกเราก็เหมือนกับสุภาษิตไทยที่ว่าเราเป็นกบในกะลา เรามีความรู้และสติปัญญาเพียงน้อยนิดเกี่ยวกับโลกของเรา แต่พวกเราคิดว่าตัวเองเก่งและดีกว่าอมนุษย์อื่นๆ ในจักรวาล”

“Okay, but what do you mean when you say, other beings?” She had got my attention with that one.

“There are many types of beings in the universe, like ghosts, demons, souls of dead human beings that are wandering about; gods, goddesses, angels, divine beings; other beings that are similar to humans, but from other planets, which we refer to as aliens. Some human beings have experienced these beings, and shared their knowledge with other people. But some humans have experienced more, but choose not to share their knowledge.”

“โอเคค่ะ แล้วที่ว่าอมนุษย์อื่นๆ กาญหมายถึงอะไรคะ” คำนี้ทำให้ฉันสะดุดและอยากรู้ว่าเธอหมายถึงอะไร

“มีผู้ที่ไม่ใช่มนุษย์อื่นๆ อยู่ในจักรวาลของเราด้วย เช่น ผี ปีศาจ วิญญาณของมนุษย์ที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด เทวดา นางฟ้า เทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์และสิ่งที่ดำรงอยู่อื่นๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์แต่ก็เป็นเหมือนมนุษย์ที่มาจากดาวเคราะห์อื่นๆ ที่พวกเราเรียกกันว่ามนุษย์ต่างดาว มนุษย์เราบางคนได้สัมผัสกับพวกอมนุษย์เหล่านี้และได้เล่าประสบการณ์ของตัวเองให้คนอื่นฟัง แต่ก็มีมนุษย์เราบางคนที่ได้สัมผัสกับเหล่าอมนุษย์อย่างใกล้ชิด แต่ก็เลือกที่จะไม่แบ่งปันประสบการณ์ของตนให้กับใคร”

“Do ghosts really exist?” Every Thai person, including me, wants to know the answer to that question.

“Of course, they do. They are in other dimensions. They can manifest and communicate with some of us. They can be contacted by people that have had a near-death experience, or those who have actually died and then been revived, because these people’s souls have traveled to the other side. There are also individuals who have trained their minds intensely, such as monks, yogis, or priests. Some have reported having contact with ghosts, and the dead. Some of us have experiences with ghosts, while we are sleeping. When we sleep, our mind opens a channel for ghosts to contact us.”

“แล้วผีมีจริงมั้ยคะ” คนไทยทุกคน รวมทั้งตัวฉันเองด้วย อยากจะรู้คำตอบสำหรับคำถามนี้

“มีจริงสิค่ะ ผีทั้งหลายอยู่อีกมิติหนึ่ง แต่สามารถแผงฤทธิ์และสื่อสารกับมนุษย์บางคนได้ โดยเฉพาะกับคนที่เคยมีประสบการณ์เฉียดตาย หรือคนที่ตายไปแล้วและฟื้นขึ้นมาใหม่ เพราะว่าวิญญาณของคนที่เฉียดตายหรือที่ตายไปแล้วได้เดินทางไปอีกโลกหนึ่งมาแล้ว แต่ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ฝึกจิตของตนอย่างจริงจัง เช่น พระ โยคี หรือนักบวชอื่นๆ คนกลุ่มนี้บางคนก็ได้บอกว่าตนสามารถติดต่อสื่อสารกับภูติผีและกับผู้ที่ตายไปแล้วได้ ส่วนพวกเราบางคน จะเจอผีตอนเรานอน เพราะตอนที่เราหลับ จิตของเรานิ่งแล้วจะเปิดทางให้กับภูติผีให้สื่อสารกับพวกเราได้”

“I assume you have seen and talked to ghosts. Could you tell me more about them?”

“Sure. I interact with them from time to time. There are many respected monks and individuals that have had contact with ghosts. They are not lying. Why would so many people lie about their ghost encounters? As you know, countless numbers of people have reported that their houses, or hotel rooms, are haunted. The majority of people in the world haven’t seen ghosts; so, they refuse to believe in them, as they say there is no tangible or scientific proof. But, there are many simple things that science can’t explain. For example, why there are more right-handed people than left-handed; why people have premonitions; or why we dream.”

“พี่ทายว่ากาญคงเคยเห็นแล้วเคยคุยกับผีมาแล้วใช่มั้ย ช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับผีให้พี่ฟังด้วยค่ะ”

“ได้เลยค่ะ หนูเจอผีบ่อยเหมือนกันนะคะ มีพระเกจิอาจารย์หลายรูปและบุคคลที่น่าเชื่อถือหลายคนบอกว่าเคยสื่อสารกับผีมาก่อน พวกเขาไม่ได้โกหก จะโกหกไปทำไมว่าเคยเห็นผี คนนับไม่ถ้วนก็ได้บอกว่าบ้านตัวเองหรือห้องในโรงแรมมีผีสิง คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ไม่เคยเห็นผี เลยไม่ยอมเชื่อว่าผีมีจริง เพราะว่าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนหรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จะนำมาพิสูจน์ แต่ความจริงแล้ว มีเรื่องง่ายๆ หลายๆ อย่างที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ เช่น ทำไมมีคนถนัดขวามากกว่าถนัดซ้าย ทำไมเราถึงมีลางสังหรณ์ หรือทำไมเราถึงฝัน”

“Well, there are many theories about why we dream. What is your explanation about this?”

“Scientists like, oneirologists and neuropsychologists consider dreams to be subconscious desires, banished thoughts, trauma, or unsolved problems. Other scholars believe that dreams are random images and brain waves. Actually, they aren’t random at all. They are cosmic messages that are trying to reach you, to tell you something, but they can only do so when you’re asleep.

“ใช่ๆ มีหลายทฤษฎีเลยที่พูดถึงเรื่องความฝัน แล้วกาญจะอธิบายเรื่องความฝันในนิยามของตัวเองว่ายังไง”

“นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องความฝันหรือนักประสาทจิตวิทยาถือว่าความฝันเป็นความต้องการของจิตใต้สำนึกของผู้ที่ฝัน หรืออาจจะเป็นความคิดที่ไม่อยากจะนึกถึง ความบอบช้ำทางจิตใจหรือปัญหาที่ยังไม่ได้สะสาง ส่วนนักวิชาการอื่นๆ เชื่อว่าความฝันเป็นภาพหรือคลื่นสมองที่เกิดขึ้นแบบสุ่มหรือแบบไม่ได้ตั้งใจ แต่จริงๆ แล้ว ความฝันไม่ใช่เป็นการสุ่มหรือการบังเอิญแต่อย่างใด ความฝันเป็นข้อความบางอย่างที่จักรวาลอยากจะบอกให้เราทราบ แต่จะทำได้ก็ในตอนที่เรานอนหลับเท่านั้น”

“One of my clients had a recurring dream of being hung by her neck. It was a nightmare that haunted her almost every night. With my guidance, she traveled back through many past lives until she arrived in Roman times, in the age of gladiators. She had been hung, and left to suffocate and die, from a rope slung over the limb of a tree. Once she was able to understand the root cause of her karma, she was able to finally let those feelings go, and was able to get restful sleep.

“มีลูกค้าผู้หญิงของหนูคนนึงที่ฝันแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าตัวเองถูกแขวนคอ เป็นฝันร้ายที่มาเยือนแทบทุกคืน หนูสะกดจิตพาเธอย้อนอดีตไปหลายชาติมาก จนมาถึงชาติหนึ่งซึ่งเป็นยุคของจักรวรรดิโรมันสมัยที่มีนักสู้แกลดิเอเตอร์ ในชาตินั้น เขาถูกแขวนคอแล้วถูกทิ้งไว้ให้หายใจไม่ออกจนตายด้วยเชือกที่ผูกไว้กับกิ่งไม้ หลังจากที่เขาเข้าใจและรู้ที่มาของอาการและกรรมของตัวเองแล้ว เขาก็ปล่อยความรู้สึกนั้นไปได้ ตอนนี้หลับสบายและไม่ฝันถึงเรื่องถูกแขวนคออีกเลย

“Many people are able to travel to their past or future lives in their dreams, without knowing it. What they later see as a déjà vu experience, while they’re awake, is what they’ve actually seen in their dreams.”

A huge awakening of my consciousness was happening, with each explanation Kanjana gave. “Wow. There are so many mysteries in the universe. But you’re still so young. How do you know all these things? It looks like you’ve climbed out of the coconut shell.”

“หลายคนสามารถเดินทางย้อนอดีตและข้ามไปยังอนาคตได้ในฝันของตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว ตอนหลังมาเห็นในสิ่งที่ตนเองเคยเห็นมาก่อนในตอนที่ตัวเองตื่น ทั้งๆ ที่ไม่เคยไปที่นั่นหรือไม่เคยทำสิ่งนั้นมาก่อน เขาเรียกว่า ‘เดชาวู’ สิ่งเหล่านี้บางครั้ง ก็เป็นสิ่งที่เห็นมาก่อนในความฝัน”

ตอนนี้ฉันรู้สึกตื่นรู้อย่างมากจากการฟังคำอธิบายแต่ละเรื่องจากกาญจนา “โอ้โห ในจักรวาลมีเรื่องที่ลึกลับมากๆ เลยนะคะ กาญยังอายุน้อยอยู่ รู้เรื่องเหล่านี้ได้ยังไงคะ ดูเหมือนว่ากาญเป็นกบที่ออกจากกะลาแล้ว”

“I can see all of this while I’m in the state of dhyana, which is a condition of serenity, attained by meditation. When I reach a certain point, I can leave my body and go to different worlds and dimensions. This way of traveling is called the golden way; a way for the mind to receive images from other dimensions, and to travel through time.”

“หนูเห็นทุกอย่างที่ว่ามาเวลาหนูเข้าฌานค่ะพี่ เป็นช่วงเวลาที่สงบเงียบที่เกิดจากการทำสมาธิ พอถึงจุดนึง หนูจะออกจากร่างได้ แล้วสามารถเดินทางไปโลกอื่นและมิติอื่นได้ การเดินทางแบบนี้เรียกว่า ‘การเดินทางบนเส้นทางสีทอง’ ซึ่งเป็นเส้นทางที่จิตของเราสามารถมองเห็นภาพจากมิติอื่นและสามารถเดินทางข้ามกาลเวลาได้”

“Is that the only way we can travel through time?” I was dying to know.

“There is one other way. We can travel through the wormhole, or stargate, which connects extremely great distances, such as a billion light years, different universes, or different points in time. No human beings have gone that route. However, many human beings, with certain psychic powers, have gone through dhyana.”

“นั่นเป็นวิธีเดียวที่เราสามารถเดินทางข้ามกาลเวลาได้หรือเปล่า” ฉันอยากจะรู้คำตอบเสียจริงๆ

“มีอีกทางหนึ่งค่ะ เราสามารถเดินทางผ่านรูหนอน หรือ ประตูทางออกของจักรวาลที่เชื่อมต่อระยะทางที่ไกลๆ มากๆ ไม่ว่าจะกี่พันล้านปีแสง ไม่ว่าจะอยู่ต่างจักรวาล หรือไม่ว่าจะอยู่ ณ เวลาใดได้ด้วย แต่ยังไม่มีมนุษย์คนใดในโลกนี้ได้เดินทางผ่านเส้นทางนี้ แต่มีมนุษย์หลายคนที่ได้เดินทางข้ามกาลเวลาและข้ามมิติจากการเข้าฌาน”

“Does it result from intense training of the mind?” I asked. I was hoping to be able to get out of the coconut shell, too.

“No, not always. Most ascetics, or monks, achieved this power from very advanced mind training. A handful of people are gifted, or born with the power, so they’re able to harness the experience, without having to undergo mind training. There are many levels of dhyana. Some people reach high levels, but still cannot see the other dimensions. They just reach a higher level of serenity that makes them feel blissful.”

“นี่เป็นผลของการฝึกจิตอย่างจริงจังใช่มั้ยคะ” ฉันถามคำถามนี้เผื่อว่าฉันจะสามารถออกมาจากกะลาได้เช่นกัน

“ไม่เสมอไป นักบวชหรือพระส่วนใหญ่ที่มีพลังจิตในระดับนี้ได้มาจากการฝึกจิตในระดับสูง แต่ก็มีคนเพียงจำนวนหยิบมือหนึ่งที่มีพรสวรรค์หรือเกิดมาพร้อมพลังจิตนี้ และสามารถเข้าไปยังมิติต่างๆ ได้โดยที่ไม่ต้องฝึกจิตให้อยู่ในระดับสูง ส่วนเรื่องฌานก็มีหลายระดับนะคะ มีหลายคนที่เข้าฌานได้ในระดับสูง แต่ก็ยังเข้าไม่ถึงมิติอื่น แต่จะสามารถเข้าถึงความเงียบสงบขั้นสูงสุขที่จะทำให้รู้สึกถึงความปิติยินดี”

I had to ask the question: “So, are you one of the gifted ones?”

“I’m a combination of both. I noticed that I had special powers when I was about seven years old. I started training my mind through various forms of meditation by myself and with the help of some monks in Thailand. But my ability to travel through time, and other dimensions, is still very limited. I can only go to the fifth dimension.”

ฉันจึงต้องถามต่อไปว่า “แล้วกาญเป็นหนึ่งในผู้ที่มีพรสวรรค์ใช่มั้ยคะ”

“หนูเป็นทั้งสองอย่างรวมกันค่ะ หนูสังเกตว่าตัวเองมีอำนาจพิเศษตั้งแต่ตอนอายุเจ็ดขวบ ต่อจากนั้นหนูก็เริ่มฝึกจิตของตัวเองโดยการทำสมาธิหลากหลายวิธี ทั้งด้วยตัวเองและด้วยความช่วยเหลือจากพระจำนวนหนึ่งที่เมืองไทย แต่ความสามารถที่จะเดินทางข้ามกาลเวลาและข้ามมิติของหนูนั้นยังจำกัดอยู่มาก หนูสามารถไปได้ถึงมิติที่ห้าเท่านั้น”

“Would you train me?” I made this request as a novice would to a senior practitioner.

“I can show you what training you need to do. It requires much practice and self-discipline. Don’t have any expectations because after years of indoctrination and practice, you still may never enter any level of dhyana.”

“ช่วยสอนพี่หน่อยได้มั้ย” ฉันขอร้องกาญจนาเหมือนกับมือใหม่ที่กำลังขอร้องผู้เชี่ยวชาญให้ช่วยสอนวิชาให้

“หนูบอกพี่ได้ว่าจะต้องฝึกอะไรบ้าง จำเป็นจะต้องฝึกและมีวินัยในตนเองอย่างมาก แล้วอย่าไปคาดหวังอะไรเพราะว่าถึงแม้จะฝึกเป็นเวลาหลายปีตามวิธีและแนวปฏิบัติที่หนูสอนพี่ไป พี่ก็อาจจะไม่เข้าถึงฌานระดับใดเลยก็ได้”

After spending two days with Kanjana, she revealed to me that I had made a wise decision to come see her. She explained that we had been good friends in one of our past lives, and she told me that I was a lightworker, the same as she is.

หลังจากที่ได้ใช้เวลากับกาญจนาสองวัน เธอก็ได้บอกฉันแบบเปิดอกว่าฉันตัดสินใจถูกแล้วที่เดินทางมาพบเธอ กาญจนาได้บอกว่าเราเคยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันในชาติหนึ่งและได้บอกว่าฉันก็เป็น “ผู้นำทางแห่งแสงสว่าง” เช่นเดียวกับเธอ

“Lightworker. Wow! I’m not sure what that is.” I was intrigued to find out more.

“ผู้นำทางแห่งแสงสว่าง โอ้โห! คงไม่ขนาดนั้นมังคะ” ฉันทึ่งกับคำๆ นั้น แล้วอยากที่จะรู้ว่า “ผู้นำทางแห่งแสงสว่าง” คืออะไรกันแน่

“You were attracted to come here to see me, and you grasp the concepts immediately when I explain them. You were able to go back in time, and see your past life in just the first session. You are naturally creative. You are good at languages and writing, and use this to help yourself and to help others. I can tell that you are different from your family and friends. You’re here to see me because you’ve struggled to find someone who is like you.

“I feel that you have the ability to go even deeper into the awareness about your life, if you choose to. While you’re on this journey, you’re able to emit happiness, making people around you, or the people who read your books, feel better. That’s what a lightworker does.”

“พี่อุตส่าห์เดินทางมาหาหนูที่นี่และพี่เข้าใจสิ่งที่หนูอธิบายให้พี่ฟังโดยทันที สามารถเห็นชาติก่อนของตัวเองได้จากการได้รับการสะกดจิตเพียงครั้งแรก พี่เป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ เก่งเรื่องภาษาและการเขียน และได้นำความรู้นั้นมาช่วยตัวเองและผู้อื่น หนูบอกได้เลยว่าพี่แตกต่างจากครอบครัวและเพื่อนๆ พี่มาที่นี่เพื่อมาเจอหนูเพราะพี่พยายามทตามหาใครสักคนที่เหมือนกับพี่

“หนูรู้สึกว่าพี่มีความสามารถที่จะหยั่งรู้ชีวิตของพี่เองได้ลึกกว่านี้ถ้าพี่เลือกที่จะทำเช่นนั้น ในขณะที่พี่เดินอยู่ในเส้นทางนี้ การที่พี่ได้ส่งพลังแห่งความสุขให้กับคนรอบข้าง หรือการที่ทำให้คนที่อ่านหนังสือของพี่รู้สึกดีนั้น รวมแล้วเป็นคุณสมบัติของผู้นำทางแห่งแสงสว่าง หรือ lightworker ค่ะ”

As Kanjana spoke, my mind was filled with images and possibilities, which were beyond my radar screen before I had come to see her. “You seem to know everything about me. Will I be able to travel to different dimensions?”

ในขณะที่กาญจนาพูดอยู่นั้น ภาพและความเป็นไปได้ต่างๆ ใหม่ๆ ก็ได้ผุดขึ้นมาในสมองซึ่งก่อนหน้านี้เป็นภาพที่อยู่นอกจอเรดาร์ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน “ดูเหมือนกาญรู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับพี่เลยนะ กาญคิดว่าพี่จะสามารถเดินทางข้ามไปมิติอื่นได้มั้ย”

“I don’t know everything about you, only the big-picture items of your mind and soul. Will you travel to other dimensions? That’s up to you. If you keep training your mind, and reach advanced levels of meditation, you may be able to. It’s not easy, but it’s not impossible. It may also be possible for your consciousness and mine to meet, while we’re both at the same level of dhyana. I’ll be in Chicago, and you’ll be in San Francisco, but our minds may be able to meet, and I can guide you to other dimensions, where I’m able to travel to.”

“หนูไม่ร้ทุกอย่างเกี่ยวกับพี่หรอกค่ะ รู้แต่ภาพกว้างๆ เกี่ยวกับจิตวิญญาณของพี่ ถามว่าจะสามารถเดินทางข้ามไปมิติอื่นได้มั้ย อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวพี่เอง ถ้าพี่ขยันฝึกจิตและเข้าถึงฌานขั้นสูงได้ พี่ก็อาจทำได้ มันไม่ง่ายหรอกนะคะ แต่ก็เป็นไปได้ และก็เป็นไปได้ว่าจิตของเราทั้งสองอาจมาพบกันในเวลาที่เราอยู่ในฌานระดับเดียวกัน ตัวหนูจะอยู่ที่ชิคาโก ส่วนพี่จะอยู่ที่ซานฟราน แต่จิตเราสามารถมาเจอกันได้และหนูจะพาพี่ไปยังมิติอื่นที่หนูสามารถเดินทางไปได้

On the midnight flight back to San Francisco, my mind was overflowing with new and exciting knowledge. I was eager to know more. I recalled the rule about not being obsessed, but I couldn’t stop thinking about the insights about the coconut shell and mind-expanding experiences I’d had with Kanjana.

ในตอนเที่ยงคืนที่ฉันบินกลับเมืองซานฟรานซิสโก สมองฉันก็ล้นหลามไปด้วยความรู้ใหม่ที่น่าตื่นเต้น ฉันยิ่งอยากจะรู้มากขึ้น แต่ฉันก็จำกฎที่กาญจนาได้บอกกับฉันไว้ว่าจะต้องไม่หมกมุ่นกับมัน แต่ก็อดคิดไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการหยั่งรู้เพื่อที่จะให้ตัวเองออกจากกะลาและคิดถึงประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่ได้เรียนรู้จากกาญจนา

A lightworker? It sounded so exciting. Yes, I will do my homework. I will do whatever it takes. I told this to myself just before I fell into a deep sleep, crammed in, in the window seat. As the plane flew across the country, I dreamed about the possibility of getting out of the coconut shell and passing into another dimension, while traveling through time.

ผู้นำทางแห่งแสงสว่างหรือ? ฟังแล้วน่าตื่นเต้นจัง ได้เลย ฉันจะกลับไปทำการบ้าน จะทำทุกอย่างเพื่อที่จะทำให้ได้ ฉันบอกตัวเองก่อนที่จะหลับอย่างสนิทขณะที่เบียดตัวเข้ากับที่นั่งหน้าต่าง ในตอนที่บินเหินฟ้าข้ามประเทศอยู่นั้น ฉันก็ได้ฝันถึงความเป็นไปได้ที่จะเป็นกบที่ออกนอกกะลาแล้วสามารถผ่านไปยังมิติอื่นพร้อมกับการเดินทางข้ามกาลเวลา

The effect of karma on people’s lives is evident in a lot of my work. Many immigrants from Thailand need my services in legal matters. When their stories are told in court, it is interesting to see how they themselves created their own troubles, as the result of producing bad karma earlier in their current life. Now, with Kanjana’s guidance, I may have the possibility of seeing the effects of karma that people created for themselves in their past lives, too.

การทำงานเป็นล่ามทำให้ฉันได้เห็นผลของกรรมที่มีต่อหลายๆ ชีวิต คนไทยที่อพยพมาอยู่ที่อเมริกาจำนวนมากจำเป็นต้องใช้บริการของฉันเมื่อมีคดีความ เวลาที่ฉันฟังเรื่องของพวกเขาในศาล ฉันก็สังเกตได้ว่าพวกเขามักเป็นผู้สร้างปัญหาเหล่านั้นขึ้นมาเองซึ่งเป็นผลของกรรมที่ก่อไว้ในชาตินี้ หากกาญจนาพาฉันไปยังมิติอื่นได้ ฉันก็จะมีโอกาสได้เห็นผลกรรมของคนเหล่านี้ที่ได้สร้างไว้ในชาติก่อนๆ อีกด้วย

The following are stories of a few people whose life experiences provided me the ability to finally understand the law of karma.

เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของคนจำนวนหนึ่งที่ได้นำพาให้ฉันเข้าใจถึงเรื่องกฎแห่งกรรมได้ในที่สุด