เกร็ดรักรอยหงส์ ตอนที่ 4

ออนลายืนคุยและสั่งงานกับน่ายชิตอยู่สักพัก เธอก็กลับไปทำงานที่ยังค้างอยู่ในออฟฟิศจนกระทั่งสายตาเริ่มพร่าพรายจึงรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู หนึ่งนาฬิกา เช้าวันใหม่พอดี นี่เธอทำงานรวดเดียว ข้าวปลาก็ไม่ทันได้กิน คิดได้แค่นี้ก็เกิดอาการหิวขึ้นมาทันที

หญิงสาวเก็บเอกสารด้วยความรอบคอบ เอกสารใดๆ ที่สำคัญเธอก็นำมันไว้ในตู้เฉพาะและกดรหัสลับลงเรียบร้อยก่อนที่จะปิดไฟและล็อกออฟฟิศ พร้อมกับเดินออกมาจากห้องทำงานอย่างเงียบๆ

เธอเดินผ่านเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ซึ่งมีชายหนุ่มวัยรุ่นสองคนนั่งประจำอยู่ ทั้งสองหนุ่มยกมือไหว้เธออย่างนอบน้อม หญิงสาวส่งยิ้มให้และทักทายว่า

“เป็นไงจ้ะ วันนี้งานหนักไหม”

“ตอนนี้สบายครับ แต่ก่อนหน้านี้ชุลมุนมากเลยครับพี่ออน”

“อดทนหน่อยนะ เวลาทัวร์เข้ามากๆ ก็อย่างนี้แหละ ปัญหาส่วนใหญ่วันนี้อยู่ที่ตรงไหนจ้ะ”

“เหมือนเดิมครับ เรื่องขอของเพิ่ม”

เป็นกิจวัตรที่ออนลาจะต้องถามไถ่ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นประจำวัน และก็เป็นที่รู้กันว่าเธอจะต้องนำปัญหานั้นมาจดบันทึกทุกครั้ง เพื่อที่จะแก้ไขให้ดีขึ้นเท่าที่จะทำได้แม้บางครั้งการรับทราบปัญหาก่อนจะเข้านอนจะมีส่วนทำให้เธอนอนไม่หลับก็ตาม

ปัญหาคืนนี้ไม่เป็นปัญหาใหม่ นั่นก็คือนักท่องเที่ยวจากกรุ๊ปทัวร์จีนมักจะถือโอกาสจัดคนเกินจำนวนที่แจ้ง จึงมีปัญหาเรื่องการขอเครื่องใช้ และขอเตียงเพิ่มตลอดเวลา ซึ่งปัญหานี้ทางรีสอร์ทที่นี่ก็พยายามอะลุ้มอล่วย ยอมทำตามให้เพราะว่าบริษัททัวร์เหล่านี้จะสามารถนำลูกค้ามาพักตลอดทั้งปี

เมื่อเห็นว่าปัญหาคืนนี้ไม่มีอะไรใหม่ หญิงสาวจึงไม่ได้ใช้เวลานานนักที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ เธอจึงเดินต่อไปยังห้องพักส่วนตัวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องโถงประชาสัมพันธ์นั้น

ห้องนี้เป็นห้องพักส่วนตัวของเธอที่เธออาศัยอยู่มานับสิบปี เป็นห้องเล็กๆ ที่มีเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้น เตียงเดี่ยวเล็กๆ กับโต๊ะเขียนหนังสืออยู่ติดๆ กัน ตรงข้ามกับเตียงเป็นตู้เสื้อผ้าและโต๊ะวางโทรทัศน์ กับมุมที่มีโต๊ะอาหารพร้อมเก้าอี้สองตัว ใกล้ๆ กันเป็นที่วางตู้เย็นและชั้นวางเตาไมโครเวฟขนาดเล็กที่เจ้าของห้องมักใช้อุ่นอาหารรับประทานคนเดียวยามเลิกงาน

หญิงสาวนำอาหารกล่องที่แม่บ้านนำมาใส่ไว้ให้ในตู้เย็นให้ออกมาอบในเตาไมโครเวฟและลงนั่งรับประทานอาหารมื้อนั้นด้วยความเอร็ดอร่อย ทั้งนี้และทั้งนั้นก็คงจะเป็นเพราะข่าวดีที่เธอได้รับเป็นแน่แท้ทั้งๆ ที่อาหารในกล่องเป็นเพียงข้าวผัดหมูที่แสนจะธรรมดาแต่กับกลายเป็นอาหารเลิศรสยิ่งกว่าที่ได้ลิ้มในโรงแรมหรูๆ เสียอีก

เช่นเดียวกับเมื่อเธอเอนตัวลงนอนบนเตียงในคืนนั้นหญิงสาวรู้สึกดั่งตัวเองได้นอนลงบนฟูกอันอ่อนนุ่มละมุนละไมทั้งๆ ที่มันก็เป็นที่นอนที่ไม่ได้มีราคาค่างวดเท่าไร เมื่อหลับตาลงออนลามองเห็นแต่ดาวเดือนสีเงินระยิบที่เหมือนจะกระพริบแสงให้ความสว่างในมโนจิตจนเธอผลอยหลับไปอย่างง่ายดายผิดกับหลายๆ คืนที่ผ่านมา

คนเรานี้หนอเพียงแค่สามารถปล่อยวางความทุกข์ลงไปได้บ้าง ก็เหมือนกับจิตที่ล่องลอยไปสู่นภากาศดาษดาอารมณ์

ราตรีนั้นออนลาฝันไปว่า เธอได้เห็นหญิงสาวในชุดผ้ากะนินสีน้ำตาลแก่ยาวกรอมถึงปลายเท้าห่มสะใบสีขาวบางตลบครึ่งพาดกลางซ้อนทับเสื้อผ้าฝ้ายสีเปลือกมังคุด ผมเกล้ามุ่นมวยรวบไปอยู่กลางท้ายทอย

“แม่ต๊อย” หญิงสาวละเมอเรียกชื่อหญิงสาวในฝันแผ่วเบา

“ออนลา..มีคนมาช่วยเราแล้ว เจ้าจงอยู่ที่นี้ต่อไป เจ้าจะได้พบใครคนหนึ่ง” เสียงหวานจากคนในฝันเอ่ยเอื้อน

“ใครจ๊ะ ฉันจะได้พบใคร”

“ผู้หญิงคนหนึ่ง เขามีเชื้อสายเรา เชื้อปลายแถว เขาจะพาเราไปพบกับของสำคัญชิ้นหนึ่ง”

“ของอะไรจ้ะแม่”

“ของเก่าแก่มีค่าของพวกเรา แล้วเจ้าก็จะรู้เอง เจ้าต้องต้อนรับผู้มาเยือนชาวต่างชาติให้ดีที่สุด อย่าลืม ต้อนรับชาวต่างชาติที่จะมา”

และก่อนที่ร่างของนางในฝันจะจางหายนางพยายามเปล่งเสียงเล่าแผ่วลง แผ่วลง

“เป็นของที่แม่ควรจะนำติดตัวมาพร้อมๆ กับเจ้าและเจ้าพล แต่แม่เอามาไม่ได้ เขาไม่ให้แม่”

ประโยคสุดท้ายออนลาได้ยินชัดเจน

“ของนั้นมีคนดูแลอยู่..”

ตอนนั้นเองออนลาก็สะดุ้งตื่นขึ้น เธอเหลียวมองไปรอบห้อง พลางร้องเรียก

“แม่ต๊อย..อย่าเพิ่งไป แม่..”

ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวออนลาเป็นอากาศธาตุ หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ พยายามจะรำลึกถึงเรื่องราวในฝันที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ เธอจำได้แค่ประโยคสุดท้าย

“เป็นของที่แม่ควรจะนำติดตัวมาพร้อมๆ กับเจ้าและเจ้าพล แต่แม่เอามาไม่ได้ เขาไม่ให้แม่”

นอกนั้นเธอจำไม่ได้ หญิงสาวคว้าผ้าห่มมาห่มกายหนาวยะเยือก ผู้หญิงในฝันนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก อาแม๊ะต๊อยยู่ ผู้เป็นแม่ที่พาเธอกับแสงพลลูกของน้าชายเธอ ข้ามชายแดนหนีทหารกลุ่มหนึ่งมาฝั่งสังขละบุรีตั้งแต่เธออายุสิบสองขวบ และแสงพลตอนนั้นอายุเพียงแปดขวบ แม่กับคนในหมู่บ้านกลุ่มหนึ่งได้รับการช่วยเหลือมาพักอยู่ที่ศูนย์อพยพชายแดน

ความที่แม่ต๊อยเป็นคนทำอาหารอร่อยและสงบเสงี่ยมเชื่อฟังเจ้าหน้าที่ของไทยอย่างดี เพียงปีเศษนางก็เป็นที่ชื่นชอบของเจ้าหน้าที่หลายคน หนึ่งในเจ้าหน้าที่แนะนำให้คุณนานิตรู้จักแม่ต๊อยยู่

“คุณนายนานิตท่านมีเชื้อสายมอญ เป็นคนใจบุญและรับมาสอนภาษาไทยให้เด็กๆ ที่นี่”

แม่ต๊อยยู่บอกเธอแค่นี้ และทั้งออนลาและแสงพลก็ได้รับเลือกให้ไปเรียนภาษาไทยกับเธอ ทั้งเธอและแสงพลเป็นศิษย์ที่คุณนานิตเมตตามากๆ ซึ่งออนลาก็ไม่ทราบจนบัดนี้ว่าเพราะอะไรท่านจึงให้ความสนใจเธอและน้องชายเป็นพิเศษ หนึ่งปีต่อมาคุณนานิตก็ออกปากให้งานแม่ต๊อยยู่และเป็นธุระจัดการให้ครอบครัวเธอทำงานอย่างถูกต้องตามกฏหมายไทย

ครอบครัวเธออาศัยอยู่กับคุณนานิตและคุณกล้ามาจนอีกไม่กี่ปีแม่ต๊อยยู่ของออนลาก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยสุขภาพที่่ย่ำแย่ ทั้งออนลาและแสงพลได้คุณนานิตรับอุปถัมภ์จนทั้งคู่เติบใหญ่

คุณนานิตนั้นมีเชื้อสายรามัญจากทางมารดาที่เข้ามาอาศัยอยู่กาญจนบุรีตั้งแต่สมัยปู่ทวดช่วงรัชกาลที่หกในราชวงศ์จักรี ครอบครัวของเธอจึงเข้าไปช่วยเหลือศูนย์ผู้อพยพอยู่เป็นนิจและเธอแต่งงานกับคุณกล้านักธุรกิจชาวไทยที่เป็นเศรษฐีที่ดินจากกรุงเทพฯ มาก่อตั้งรีสอร์ทให้นักท่องเที่ยวที่สนใจท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติมานับสิบกว่าปีแล้ว

นานมากแล้วที่ออนลาไม่เคยฝันถึงอาแม๊ะหรือแม่ตั้งแต่เธอรับหน้าที่ผู้ดูแลรีสอร์ทนี้หลังจากเรียนจบมัธยมปลายเมื่อยามยังเล็กๆ อยู่เธอเคยฝันถึงแม่ แม้จะไม่บ่อยนักแต่เธอก็จำได้ว่า ทุกครั้งที่ฝันถึงเธอจะร้องไห้ด้วยความคิดถึง และก็จะได้คุณนานิตเป็นผู้ปลอบโยนให้หายเศร้าเป็นประจำ ส่วนแสงพลนั้นความจำที่มีต่อผู้เป็นป้าเลือนลางเขาจำเรื่องราวสมัยเข้ามาเมืองไทยพร้อมแม่ต๊อยยู่ไม่ได้เท่าไรมีแต่เพียงออนลาที่จะคอยเล่าเรื่องราวแห่งความหลังให้เขาฟัง เธออยากให้แสงพลผูกพันกับเชื้อชาติเดิมมากกว่า ทว่าคุณกล้าส่งเขาไปเรียนที่โรงเรียนไทยและในที่สุดแสงพลก็เป็นเหมือนเด็กที่มาเติบโตต่างถิ่นทั่วไปที่ไม่ค่อยอยากจะแสดงตัวมากนักในเรื่องเชื้่อชาติเดิมของเขา

แสงพลพอจะเข้าใจภาษามอญได้บ้างไม่มากนักจากแวดวงคนงานที่ทำงานในรีสอร์ท ผิดกับออนลาที่ใช้ภาษามอญได้คล่องแคล่วเนื่องจากไม่ได้ไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนไทย เธอเรียนหนังสือในหมู่บ้านแต่ก็อ่านและเขียนภาษาไทยได้คล่องกว่าเด็กในหมู่บ้าน และยิ่งเก่งมากขึ้นเมื่อคุณนานิตส่งเธอไปเรียนเพื่อฝึกเป็นเลขาในเมืองอยู่หนึ่งปีก่อนที่จะเข้ามารับหน้าที่เลขาและล่าสุดเป็นผู้จัดการให้คุณกล้าและคุณนานิตย์ที่รีสอร์ทนี้

ออนลาหมายมั่นจะเล่าความฝันนี้ให้แสงพลฟังในวันรุ่งขึ้น แสงพลอาจจะมีคำแนะนำหรือทำนายความฝันแบบสนุกๆ ตามนิสัยของเขาให้เธอคลายกังวลได้บ้าง

พรุ่งนี้แล้วซินะที่เธอจะได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับอนาคตของชองชาโต้ ใครจะมาซื้อต่อและคนใหม่จะยังจ้างคนงานเดิมหรือไม่

แสงพลคือความหวังในทุกเรื่องของชีวิตออนลา เธอนึกไม่ออกว่าถ้าไม่มีน้องชายคนนี้เธอจะมีชีวิตอยู่ในประเทศที่่ไม่ใช่บ้านเกิดนี้ได้อย่างไร