เกร็ดรักรอยหงส์ ตอนที่ 8

“เราต้องนำเด็กส่งโรงพยาบาลด่วนนะคะ ดูเหมือนเด็กจะมีอาการซึมและดูง่วงง่ายเช่นนี้ ถือว่าอาจจะได้รับการกระทบกระเทือนที่สมองได้นะคะ”

“ครับๆ รีบๆ ช่วยเด็กด้วย เดี๋ยวทางผมจะไปรับตัวพ่อเด็กตามไป”

รถพยาบาลนำตัวเด็กหญิงที่บาดเจ็บออกไปจากไร่เพื่อนำส่งโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้สุด กล้าตามตัวพ่อของเด็กจนพบและนำพ่อเด็กซึ่งเป็นช่างปูน ตามไปที่โรงพยาบาล

แพทย์ตรวจและดูอาการจนถึงหัวค่ำจึงปล่อยให้กลับบ้าน และนั่นเองที่เขาได้มีโอกาสพูดคุยและรู้จักกับคุณนานิต และทราบว่าเธออาสาเป็นผู้ช่วยพยาบาลอยู่ในหมู่บ้านไม่ไกลจากเขานัก

เขาถือโอกาสไปส่งเธอที่บ้านและได้พบกับครอบครัวของเธอ ซึ่งมีอัธยาศัยดี เป็นที่เคารพของชาวมอญที่เข้ามาทำมาหากินอยู่แถบสังขละฯ

“นานิตเกิดที่เมืองไทยนี้ เป็นสายเลือดรุ่นที่สาม ปู่ทวดของพวกเราอพยพมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่สมัยในหลวงรัชกาลที่หกที่แล้ว”

พ่อของนานิตเอ่ยขึ้นหลังจากเชื้อเชิญเขาขึ้นไปบนบ้าน แม่ของนานิตนำน้ำลอยดอกมะลิหอมและเย็นชื่นใจมาให้เขาดื่ม หลังจากสนทนากับพ่อของนานิตได้สักพักกล้าก็เลยได้ทราบว่าพ่อของนานิตรู้จักกำนันเลื่อน

“อ้อ..คุณเป็นลูกชายกำนันเลื่อนหรือ ผมรู้จักท่านดีนะ ทุกเดือนสิบ ท่านจะมาสั่งขนมกระยาสารท และน้ำผึ้งจากบ้านเราไปงานบุญวันสารทเสมอๆ จนกระทั่ง..”

นายวอนบิดาของนานิตชะงักไปนิดหนี่งก่อนที่จะเอ่ยต่อไป “ผมเสียใจด้วยนะครับกับข่าวท่านกำนัน”

กล้าเอ่ยขอบคุณและคุยกับนายวอนต่อพักใหญ่ นายวอนพาเขาเดินชมสวนมะพร้าวและไร่กล้วยในที่สี่ไร่ อันเป็นที่ที่พวกเขาได้รับอนุญาตให้ทำมาหากินมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย

“บ้านเราปลูกมะพร้าวดี เอาไว้ทำขนมกระยาสารทกับกะละแมสูตรดั้งเดิมของหงสา ส่วนต้นกล้วยเราปลูกเพื่อใช้ใบทำใบตอง ขนมบ้านเรามีลูกค้าประจำมาก บางครั้งทำกันไม่ทันเลย”

บ้านของนานิตมีอาชีพทำไร่และทำขนมหวาน เป็นอุตสาหกรรมที่ทำรายได้อย่างดีทั้งปีให้ครอบครัว บ้านของนายวอนมีญาติพี่น้องมากมายที่ปลูกบ้านบ้างกระท่อมบ้างอยู่ในบริเวณ

“เวลาเราตั้งกระทะกวนกะละแม กวนกะยาสารทเป็นช่วงที่ถือว่าได้มารวมญาติ และสนุกสนานร่วมกัน บางครั้งทางการจะพาแขกต่างเมืองมาขอชมอุตสาหกรรมของบ้านเราด้วย"

กล้าหันไปดูหน้าของสาวงามที่เดินตามพ่อมาพาชมสวนมะพร้าวด้วย พลางเอ่ยถามเธอว่า

“แล้วคุณละครับ กวนกะละแมกับเขาด้วยหรือเปล่า” นายวอนรีบตอบแทนลูกสาวว่า

“โอ๊ย ไม่หรอกครับ ลูกสาวผมคนนี้ชอบเย็บปักถักร้อย และช่วยคน ส่งให้เขาเรียนการช่างในเมือง จบมาก็โน่น..ไปอยู่ค่ายผู้อพยพโน่น..ไปช่วยเขาดูแลลูกหลานที่อพยพมาจากฝั่งโน้น..”

“อ๋อ..ดิฉันไปช่วยเขาสอนภาษาไทยเด็กๆ น่ะค่ะ และก็เลยช่วยแพทย์และพยาบาลช่วยเขารักษาพยาบาลที่ศูนย์อพยพ บางทีก็ออกไปช่วยคนงานต่างด้าวที่เข้าไปทำตามไร่ด้วยค่ะ อย่างวันนี้...”

กล้าค่อนข้างจะทึ่งสาวหน้าผ่องคนนี้ ดูช่างเป็นแม่บ้านแม่เรือน เรียบร้อยพูดจาอ่อนหวาน ถ้าเขาเป็นคนป่วยเขาก็คงอยากได้คนพยาบาลเขาอย่างนี้

หลังจากนั้นเวลาใดที่กล้าเข้ามาดูงานก่อสร้างที่รีสอร์ทของเขา เขาก็จะแวะมาหาเธอ ชวนเธอไปดูงานก่อสร้าง และพาเธอไปรู้จักคุณแม่แววตาที่ตำบลเที่ยงต้น ความรักก่อตัวจนในที่สุดหนึ่งปีให้หลังเขาก็ขอให้คุณแม่แววตาไปสู่ขอนานิตมาเป็นภรรยา

นานิตเป็นแม่ศรีเรือนจริงๆ เธอดูแลทุกอย่างให้เขาและยังใช้เวลาว่างเข้าไปช่วยสอนภาษาไทยในศูนย์อพยพ แต่งงานมาหลายปีไม่มีบุตร คุณนานิตก็เลยรับออนลาและแสงพลมาเป็นบุตรบุญธรรม เด็กสองคนนั้นเป็นลูกและหลานของแม่บ้านที่นานิตรับมาจากศูนย์อพยพ และเมื่อแม่บ้านป่วยและเสียชีวิตเธอก็รับเด็กทั้งสองมาเป็นบุตรบุญธรรม เธอบอกเขาว่าเธอ “รู้สึกผูกพันกับออนลา” ดั่งว่าเคยรู้จักกันมาแต่ปางก่อน

“ดิฉันรู้สึกคุ้น และเหมือนกับว่าได้รู้จักออนลามานาน และอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้อยู่ใกล้ๆ เด็กคนนี้น่ะค่ะ”

เขาไม่ได้ขัดเธอเพราะเขาเองก็เข้าใจถึงหัวอกของคนที่ขาดแม่ และเขาเห็นนานิตรักเด็กจริงๆ และมีความสุขที่ได้เด็กทั้งสองมาอยู่ด้วย ทั้งออนลาและแสงพลเติบโตมาท่ามกลางความรักของนานิต ส่วนเขานั้นแม้จะไม่ได้ถึงขนาดผูกพันเท่ากับนานิตแต่เขาก็ไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์เด็กๆ และเมื่อโตขึ้นแสงพลก็ประพฤติตนดีเรียนเก่ง เป็นที่พึ่งทางธุรกิจให้เขาเกือบทุกด้าน

ส่วนคุณแม่แววตาเริ่มไม่สบายและจากไปด้วยโรคมะเร็งทรวงอก หลังจากออนลาเพิ่งเรียนจบเลขา กล้าจึงมิได้มีเสาหลักใดๆ ให้เขาได้พึ่งพาใจอีกนอกจากนานิตและแสงพล


_____________________

“คุณคะ แดดเริ่มร้อนมากแล้ว เข้าข้างในเถอะค่ะ คุณนั่งคิดอะไรมานานแล้วนะคะ ไปแต่งตัวเถอะค่ะ พลคงมารอเราแล้ว”

เสียงเตือนจากนานิตครั้งนี้ทำให้กล้าต้องเลิกความคิดถึงเรื่องในอดีต เขาถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อเตรียมตัวไปพบแสงพลและออนลา

ณ เวลานี้ กล้าคิดถึงคุณแม่แววตาเป็นที่สุด เขากำลังจะประสบปัญหาอันหนักใจ เขาได้แต่ตำหนิตัวเองว่าทำไมเขาไม่เล่าให้คุณแม่แววฟังเสียก่อน ท่านอาจจะมีคำแนะนำเพื่อเป็นทางออกให้เขาได้ แต่ก็นั่นแหละในตอนที่เขารับรู้ปัญหานี้ท่านก็ป่วยหนักอยู่ เขาไม่กล้านำเรื่องวุ่นๆ ที่พ่อกำนันเลื่อนของเขาเป็นผู้ก่อไปเล่าให้ท่านฟังได้ เพราะเท่ากับเป็นการเพิ่มความทุกข์ใจเพิ่มให้ท่านทรุดหนักลงไปอีก

และปัญหานี้เขาก็ยังไม่เคยเล่าให้นานิตฟัง แต่วันนี้เขาคงจะต้องเล่าให้ทั้งนานิต แสงพลและออนลารับทราบพร้อมกัน แม้ว่าแสงพลจะเป็นทนายที่่เก่ง มีทีมงานที่เป็นที่ไว้ใจของลูกค้าเกือบทั้งจังหวัด แต่ก็คงจะช่วยแก้เรื่องนี้ได้ยากเช่นกัน

กล้าก้าวขึ้นรถยนต์ส่วนตัวที่คนขับรถนำมาจอดเทียบ ตลอดเวลาที่รถแล่นจากบ้านพักไปยังตัวอาคารรับรองของรีสอร์ท กล้าไม่ได้คุยกับนานิตและไม่ได้ทักทายคนขับรถดั่งเคย สีหน้ากังวลของเขาไม่ได้รอดพ้นไปจากการสังเกตของผู้เป็นภรรยา ทำให้นานิตอดประหลาดใจไม่ได้

“แปลก..แทนที่จะดีใจมีคนสนใจจะซื้อธุรกิจ กลับทำหน้าไม่สู้ดี หรือว่าเสียใจ ก็น่าอยู่หรอกนะเพราะว่าสร้างมากับมือ เฮอ..”

_____________________

เมื่อถึงอาคารรับรองของรีฟช็องชาโต้ พนักงานที่ทำงานอยู่หน้าเคาน์เตอร์พากันยกมือไหว้และรีบออกมาพบ กล้าทักทายลูกน้องเพียงไม่กี่นาทีทั้งๆ ที่ปกติเขาและออนลาจะใช้เวลาถามไถ่ทุกคนเป็นเวลานาน สองสามีภรรยาตรงดิ่งไปยังห้องทำงานของกล้าหรือห้องผู้อำนวยการอย่างเร่งรีบ ทั้งคู่รับไหว้ออนลาและแสงพลที่นั่งรออยู่แล้ว

“สวัสดีนะพล ยายออน..ขอโทษทีนะที่ปล่อยให้รอกันนาน”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไรค่ะ” บุตรบุญธรรมของเขาทั้งสองคนตอบพร้อมกัน

หลังจากทักทายกันได้สักครู่ และพนักงานนำน้ำชากาแฟมาเสิร์ฟและออกไปแล้ว กล้าก็ไม่ได้รอช้าเขาซักถามแสงพลถึงเรื่องที่กำลังรอข่าวอยู่ทันที

“ไหน พล..เล่ามาให้ละเอียดซิว่า ใครสนใจจะซื้อชาโต้ของเราต่อ และเขาทราบมาจากไหน แล้วมีความเป็นไปได้แค่ไหนที่จะซื้อ”

“เป็นคนต่างชาติครับคุณท่าน จากมณีปุระ อินเดีย”

“ฮ้า..แล้วจะมาซื้อที่ทางในประเทศเราได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้”

“นี่ครับท่าน ...รายละเอียดบทสนทนาผ่านจดหมายทางอินเตอร์เน็ตกับเลขาของลูกค้า คนที่สนใจนี้เป็นนักธุรกิจระดับเศรษฐี มีญาติพี่น้องที่มีบริษัทที่ถูกต้องตามกฏหมายไทยซึ่งทำธุรกิจในประเทศไทยอยู่แล้วครับ”

กล้ารับแฟ้มเอกสารจากแสงพลมาเปิดอ่าน สิ่งแรกที่เขาเห็นกลางกระดาษคือคำว่า

“Sindhu Nanda, Director Nandapiraj Corporation”


โปรดติดตามอ่านต่อโอกาสหน้า