ธรรมะ (ชาติ) ของชีวิต
k.koch
ธรรมะ (ชาติ) ของชีวิต ตอนที่ 1 ปัจจัยสี่

ร่างกายต้องการปัจจัยสี่เพื่ออยู่รอด จิตใจเราก็ต้องการปัจจัยเหล่านั้นเหมือนกันที่จะพาชีวิตให้อยู่รอดได้ แน่นอนว่าจิตใจไม่ใช่ร่างกายปัจจัยสี่ของจิตจึงแตกต่างจากปัจจัยสี่ของร่างกาย

ศาสนาเปรียบเสมือนเสาหลักของบ้าน บ้านที่แข็งแรงสร้างขึ้นมาเพื่อบังแดด บังฝน บังหิมะ เพื่อให้ร่างกายได้มีที่พักอาศัย ป้องกันร่างกายมิให้เป็นอันตรายจากภัยอันตรายต่าง ๆ ทำให้เราพักผ่อน นอนหลับได้สนิท วันใดวันหนึ่งเมื่อเกิดมีภัยพิบัติเกิดขึ้น เช่น พายุพัดแรงบ้านของเราอาจจะโยกเยก โคลงเคลงไปบ้าง อาจจะเสียหายได้บ้างแต่สุดท้ายก็สามารถซ่อมแซมใหม่ได้ แต่หากบ้านที่สร้างขึ้นมาไม่แข็งแรง เมื่อเจอพายุพัดเข้ามา ก็โยกโคลนสุดท้ายก็ล้มลงอย่างไม่เป็นท่า

จิตของเราเองก็เช่นกัน จิตต้องการที่พักอาศัย ศาสนาจึงเป็นร่มโพธิ์ร่วมไทรเป็นที่พักพิงของจิต เมื่อเจอเหตุการณ์ร้าย ๆ ขึ้นมา จิตอาจจะอ่อนแอ อ่อนไหว โอนเอนได้บ้าง แต่สุดท้ายก็สามารถรักษาและกลับมายืนสง่าอยู่ได้อีกครั้ง

แต่หากจิตไม่มีที่ยึดเกาะ ไม่มีที่พักพิง จิตดวงนั้นก็จะลอยเคว้งคว้างเปรียบเสมือนมนุษย์ที่ไม่มีบ้านและเมื่อถึงเวลาที่ร่างกายต้องการพักผ่อนก็ต้องเคว้งคว้างหาที่หลับที่นอน เจอที่ไหนพอบังแดดบังลมบังฝนได้ก็นอนที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นบนพื้นดิน พื้นทราย ใต้ต้นไม้ ใต้สะพานก็ตาม ซึ่งสถานที่เหล่านี้มักจะไม่ปลอดภัยต่อเชื้อโรคสารพัดชนิด ร่างกายอาจจะถูกรังแกจากเชื้อโรคได้ จิตก็เช่นกัน จิตที่ไม่มีที่ยึดเกาะ จะอ่อนไหวต่อสิ่งที่เข้ามากระทบใจและไม่สามารถรับมือกันมันได้

ร่างกายไม่ได้ต้องการแค่ที่พักอาศัยเพื่อให้อยู่รอด ร่างกายยังต้องการน้ำที่สะอาด อาหารที่มีประโยชน์ เพื่อบำรุงร่างกาย อาหารจึงเปรียบเสมือนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตที่ไม่ได้รับอาหารที่ดีที่มีประโยชน์ก็หมายถึงจิตที่ไม่ได้นำคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปปฏิบัติ อาหารวางอยู่บนโต๊ะเฉย ๆ แต่ไม่ได้กินเข้าไปในร่างกายมันก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย การไม่นำคำสอนของพระศาสดาไปปฏิบัติก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อจิตใจของเราเช่นกัน

หากร่างกายต่อต้านเชื้อโรคไม่ไหวก็ต้องใช้ยารักษาโรคหรือไม่ก็ต้องใช้ยาบำรุงร่างกาย ยารักษาโรคและยาบำรุงร่างกายในอดีตนั้นคือพืชหรือสมุนไพร พืชและสมุนไพรก็ไม่ได้ต่างกับอาหารมากนัก ยารักษาโรคและยาบำรุงของจิตก็คือคล้าย ๆ กัน คือการหมั่นปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การถือศีล ทำสมาธิและวิปัสสนาให้เป็นนิจจะช่วยให้จิตสงบ จิตสะอาดและไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่มากระทบกระทั่งจิตใจ การกินยาแค่ครั้งเดียวจะไม่ช่วยให้รักษาโรคได้ การนำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติตามแค่ครั้งเดียวก็ไม่ช่วยรักษาจิตใจที่อ่อนแอได้เช่นกัน

จิตที่อ่อนแอก็จะแสดงออกมาทางอารมณ์ เช่น มีอาการวันนี้ดีพรุ่งนี้ร้าย โกรธง่าย มีความเกลียด ความแค้น ความอิจฉาริษยาอยู่ในใจที่ไม่อาจจะปกปิดไว้ได้ ใครผ่านไปผ่านมาก็จะรับรู้ได้ทันที เหมือนบุคคลคนนั้นไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้า หรือใส่เสื้อผ้าที่ขาดวิ่น

การถือศีล ทำสมาธิและวิปัสสนานั้นช่วยให้จิตมีสุข จิตที่สะอาดเหมือนสวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน เสื้อผ้าราคาแพงไม่สามารถปกปิดร่างกายที่สกปรกได้ เช่นเดียวกับจิตใจที่หมองหม่น อาฆาตเคียดแค้นไม่สามารถแสแสร้งแสดงอาการอื่น ๆ ออกมาเพื่อกลบเกลื่อนอาการเหล่านี้ได้นาน ไม่ช้าไม่นานก็จะต้องเผยอาการที่แท้จริงออกมา

ร่างกายกับจิตมักจะมีอาการแสดงออกมาที่สอดคล้องกัน เมื่อร่างกายขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็จะมีผลต่อจิตได้ เมื่อจิตขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็แสดงออกมาทางร่างกายได้เช่นกัน การรักษากายและจิตให้สมดุลกันเป็นการดำเนินชีวิตที่เหมาะสมซึ่งเป็นธรรมดาและธรรมชาติของทุกชีวิตบนโลกใบนี้