

"ขิง" เป็นสมุนไพรที่หลายคนชื่นชอบ ไม่ว่าจะใช้ชงดื่ม แก้ท้องอืด ลดคลื่นไส้ หรือบรรเทาอาการแน่นท้อง แต่แม้ขิงจะมีประโยชน์มากมาย แต่ยังมีบางกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง หรือควรระวังการกินขิงเป็นพิเศษ เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมาได้ โรคที่ไม่ควรกินขิง และเหตุผลว่าทำไมต้องระวัง พร้อมข้อสรุปง่ายๆ เพื่อให้เลือกกินได้อย่างปลอดภัยที่สุด
โรคอะไรห้ามกินขิง รู้จัก 2 โรคที่ห้ามกินขิง อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
1. ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกผิดปกติ หรือเลือดแข็งตัวยาก
ขิงมีฤทธิ์ลดการแข็งตัวของเลือด เมื่อรับประทานในปริมาณมากอาจทำให้เลือดหยุดไหลช้า หรือเสี่ยงเลือดออกมากขึ้น การกินขิงร่วมกับยาเหล่านี้อาจทำให้ฤทธิ์ของยารุนแรงขึ้นและเสี่ยงอันตรายได้ ดังนั้นผู้ที่มีภาวะดังต่อไปนี้ควรเลี่ยงการกินขิงเป็นประจำ
มีปัญหาการแข็งตัวของเลือด
มีเลือดออกง่าย เช่น เลือดกำเดาไหลบ่อย และหยุดยาก
ผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือยาละลายลิ่มเลือดอื่นๆ
2. ผู้ป่วยโรคนิ่วในถุงน้ำดี
ขิงสามารถกระตุ้นการหลั่งและการไหลเวียนของน้ำดี ซึ่งอาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีนิ่วในถุงน้ำดี เพราะการหลั่งน้ำดีมากขึ้นอาจทำให้เกิดอาการปวด หรือกระตุ้นให้นิ่วเคลื่อนตัวจนเกิดการอุดตันได้ ดังนั้นผู้ป่วยโรคนิ่วควรหลีกเลี่ยงการกินขิงในปริมาณที่มาก โดยควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอ
"ขิง" ดีต่อร่างกาย แต่ไม่ได้เหมาะกับทุกคน
แม้ขิงจะมีประโยชน์มากมาย ช่วยแก้ท้องอืด คลื่นไส้ ลดการหลั่งน้ำย่อย และบรรเทาแผลในกระเพาะอาหาร แต่สุขภาพของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากคุณมีโรคประจำตัวหรือใช้ยาบางชนิด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนกินขิง เพื่อให้ปลอดภัยและเหมาะสมกับสภาพร่างกายที่สุด
"ขิง" มีประโยชน์และสรรพคุณอย่างไรบ้าง
บรรเทาอาการท้องอืด แน่นท้อง ขิงช่วยขับลม ลดแก๊สในทางเดินอาหาร ทำให้รู้สึกสบายท้องมากขึ้น
ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการเวียนหัวเมารถ ผู้ตั้งครรภ์ที่มีอาการแพ้ท้อง (ควรปรึกษาแพทย์ก่อน) รวมถึงผู้ที่ได้รับเคมีบำบัด
ลดการหลั่งของน้ำย่อยเกินจำเป็น ช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร ลดความระคายเคืองของกระเพาะอาหาร
บรรเทาอาการแผลในกระเพาะอาหารด้วยฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยให้แผลดีเร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม ขิงเป็นสมุนไพรที่ให้ประโยชน์มาก ทั้งช่วยย่อยอาหาร ลดอาการท้องอืด และบรรเทาคลื่นไส้ได้อย่างดีเยี่ยม แต่ก็ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเลือดออกง่าย ผู้ป่วยที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือด และผู้ที่มีนิ่วในถุงน้ำดี การเลือกกินขิงอย่างเหมาะสมและปลอดภัยจะช่วยให้ได้รับคุณประโยชน์เต็มที่โดยไม่เสี่ยงต่อสุขภาพ
เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม นายตรีเทพ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกลบอล คาร์บอน คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ GCC เปิดเผยว่า การบังคับใช้ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (พ.ร.บ.โลกร้อน) ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในประเทศไทยในปี 2569 นี้ จะเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การทำงานสายสิ่งแวดล้อม สร้างอาชีพใหม่ และทำให้เกิดความต้องการบุคลากรด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล ทั้งในระดับผู้ปฏิบัติการและระดับผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะใน 4 กลุ่มงานหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มงานพัฒนาความยั่งยืนองค์กร เช่น เจ้าหน้าที่พัฒนาความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เจ้าหน้าที่พัฒนาความยั่งยืนด้านสังคม เจ้าหน้าที่พัฒนาความยั่งยืนด้านธรรมาภิบาลซึ่งในปัจจุบันหลายบริษัท โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทมหาชนเริ่มมีการเปิดตำแหน่งดังกล่าวเพื่อรับคนเข้าทำงานมาพักใหญ่แล้ว 2.กลุ่มที่ปรึกษาและนักวิเคราะห์ด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก เช่น ที่ปรึกษาด้านการประเมินก๊าซเรือนกระจก ที่ปรึกษาความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อออกแบบมาตรการในการลดผลกระทบ (Mitigation) และรับมือ (Adaptation) เจ้าหน้าที่โครงการพลังงานหมุนเวียน นักวิเคราะห์ด้านความยั่งยืน 3.กลุ่มงานตรวจสอบและทวนสอบรายงานการประเมินก๊าซเรือนกระจก Validator หรือ Verifier ซึ่งทำหน้าที่คล้ายคลึงกับ Audit ของฝั่งบัญชี แต่เปลี่ยนมาทำหน้าที่ตรวจสอบรายงานก๊าซเรือนกระจกหรือสิ่งแวดล้อมให้แก่บริษัทต่างๆ โดยตรง และ 4. กลุ่มงานการจัดการและซื้อขายคาร์บอนเครดิต เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจวัดบัญชีคาร์บอนเพื่อการลด และชดเชย ผู้จัดการด้านการซื้อขายคาร์บอนเครดิต
“เราประเมินว่า ตลาดแรงงานไทยจะต้องการบุคลากรในสายสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นกว่า 50,000 ตำแหน่งในช่วง 3 ปีข้างหน้า และจะมีหลายตำแหน่งงานที่จะประสบปัญหาบุคลากรขาดแคลน เช่น ผู้ตรวจสอบ หรือ Validator ผู้ทวนสอบ หรือ Verifier เพราะนิติบุคคลในไทยกว่า 800,000 รายทั่วประเทศ จะต้องทำการประเมิน บันทึกการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์และจัดทำรายงาน โดยมีทั้งที่ปรึกษา ผู้ตรวจสอบและผู้ทวนสอบเข้ามาดูแลทุกปี ขณะที่จำนวนบุคลากรที่ได้รับใบอนุญาตในไทยปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาซึ่งมีเพียง 530 กว่าคน (ทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล) ผู้ตรวจสอบ ผู้ทวนสอบมีเพียงระดับ 100 กว่าคน บริษัทผู้ตรวจสอบและผู้ทวนสอบ หรือ VB (Verification Body) VVB (Validation & Verification Body )ในไทยที่ได้รับการรับรองมีประมาณ 20 กว่าบริษัทเท่านั้น บางบริษัทมีบุคลากรเพียงพอทั้งทำหน้าที่ตรวจสอบและทวนสอบได้เพื่อรองรับกรณีโครงการ T-VER บางบริษัททำหน้าที่ได้เพียงการทวนสอบเพื่อประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกองค์กร (CFO) และก๊าซเรือนกระจกผลิตภัณฑ์ (CFP) เท่านั้น” นายตรีเทพ กล่าว
สถานการณ์ดังกล่าว คล้ายคลึงกับหลายประเทศที่บังคับใช้กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้นแล้ว เช่น บางประเทศในกลุ่มอียู ในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือสิงค์โปร์ ที่ประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรในสายงาน ที่ปรึกษา (GHG Consult) ผู้ตรวจสอบและทวนสอบ (Validator & Verifier) ส่งผลให้เกิดการกระจุกตัวของการดำเนินการตลอดกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ต่อนิติบุคคลต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มนิติบุคคลที่ยังคงมีการดำเนินธุรกิจต่อเนื่องสูงสุด 10 อันดับแรก และโฟกัสลงไปเฉพาะประเภทธุรกิจที่ส่งผลต่อการสร้างก๊าซเรือนกระจก หรือ Green House Gas ซึ่งมีประมาณ 140,000 กว่าราย อาทิ ธุรกิจก่อสร้างทั่วไป ธุรกิจร้านอาหารภัตตาคาร ธุรกิจการผลิตขายส่งอุปกรณ์เครื่องจักร ธุรกิจขนส่งขนถ่ายสินค้า ธุรกิจโรงแรมและห้องชุด ตลอดจนการประเมิน การจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกและการตรวจสอบทวนสอบ เพื่อหาแนวทางในการลดก๊าซเรือนกระจกเหล่านั้น ซึ่งแน่นอนว่า หากประเทศไทยปรับเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ หรือ Net Zero จากปี 2065 มาเป็นปี 2050 เร็วขึ้นจากเดิม 15 ปี การเริ่มต้นดำเนินการที่สำคัญที่สุดคือ ต้องรู้ก่อนว่าแต่ละนิติบุคคลนั้นๆ ปล่อยคาร์บอนเท่าไรเพื่อนำไปสู่แผนการลด ซึ่งหากบุคลากรในกระบวนการต่างๆเหล่านี้มีไม่เพียงพอ ย่อมนำมาซึ่งความล่าช้า จนเป็นเหตุนำพาประเทศไปสู่เป้าหมายไม่ได้อย่างที่ภาครัฐคาดหวัง
นายตรีเทพ กล่าวอีกว่า เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว GCC จึงร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น ในการพัฒนาหลักสูตรระดับปริญญาตรี การศึกษาสาขาวิทยาการจัดการนวัตกรรมทางธุรกิจ / การจัดการธุรกิจแบบบูรณาการ ระดับชั้นปี ที่ 3-4 คณะบริหารธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ เกี่ยวกับ Carbon Footprint – Net Zero เพื่อปลูกฝังและสร้างองค์ความรู้ให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม รู้และเข้าใจในกระบวนการเพื่อประเมินและลดก๊าซเรือนกระจกภาพรวม ซึ่งมุ่งสร้างบุคลากรที่มีทั้งทักษะวิชาการและความเข้าใจเชิงปฏิบัติจริง เพื่อพัฒนาบุคลากรในสายงานนี้ ทั้งในอาชีพ ที่ปรึกษาการจัดการก๊าซเรือนกระจก (GHG Consult) ผู้ตรวจสอบ ผู้ทวนสอบก๊าซเรือนกระจก (Validator & Verifier) และอื่นๆ เพื่อบรรเทาปัญหาความขาดแคลนบุคลากร สร้างระบบนิเวศด้านการศึกษาและการทำงานด้านสิ่งแวดล้อม โดยคาดว่าจะผลิตบุคลากรได้กว่า 300 คนต่อปี
“การสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้กับประเทศไทยในการเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพราะบุคลากรเหล่านี้จะเป็นผู้เชื่อมต่อระหว่างกฎหมาย มาตรการ และการปฏิบัติจริงในทุกภาคส่วน ทั้งภาคธุรกิจ ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดย GCC มองว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพแรงงานไทยให้พร้อมแข่งขันกับระดับสากล” นายตรีเทพ กล่าว...
ฟ้าผ่ามีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงการเปลี่ยนจากฤดูฝนเป็นฤดูหนาว ซึ่งจะเริ่มประมาณกลางเดือนตุลาคม โดยลักษณะอากาศจะแปรปรวน มีฝนในบางพื้นที่และอากาศเย็นในตอนเช้า ก่อนจะเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายเดือนตุลาคม หรือต้นเดือนพฤศจิกายน อย่างไรก็ตาม พบว่าในหลายพื้นที่ของประเทศไทย เกิดฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และฟ้าผ่า ยกตัวอย่างล่าสุด ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ และลำพูน เสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว จนบ้านสะเทือน จนสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนในพื้นที่
กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เผยถึง วิธีป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า ดังนี้
1. เมื่อเกิดพายุฝนฟ้าคะนองควรหลีกเลี่ยงการอยู่บนที่โล่งแจ้ง เช่น ทุ่งนา หรือสนามเด็กเล่นที่ปราศจาก
ต้นไม้หากเกิดเหตุการณ์ฟ้าผ่าการอยู่ในที่โล่งแจ้ง กระแสไฟฟ้าจากฟ้าผ่าจะวิ่งตรงมาสู่ตัวเรา และไม่สวมใส่หรือมีสารที่เป็นสื่อไฟฟ้า เช่น สร้อยคอ แท่งโลหะ
2. สำหรับการปลูกสร้างอาคารสูงควรติดตั้งสายล่อฟ้าไว้บนยอดอาคารและเดินสายกราวน์ไปยังพื้นดิน เพื่อเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าจากอากาศให้รีบผ่านลงสู่พื้นดิน โดยไม่สร้างความเสียหายให้แก่ตัวอาคาร
3. ในกรณีที่อยู่ในที่โล่งแจ้งขณะเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ให้นั่งหมอบพร้อมย่อตัวให้ต่ำและชิดกับพื้นดินให้มากที่สุด ถ้านั่งด้วยขาเดียวจะปลอดภัยมากขึ้น ห้ามนอนราบกับพื้นดินเด็ดขาดเมื่อเกิดฟ้าผ่า
4. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้เสาไฟฟ้า ป้ายโฆษณา หรือโครงสร้างที่เป็นตัวนำไฟฟ้า
5. ห้ามยืนพิงต้นไม้ที่สูงเด่นกว่าต้นอื่น
6. ควรอยู่ในอาคารที่มีการติดตั้งระบบป้องกันฟ้าผ่า และไม่ควรใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ หรืออยู่ใกล้กับประตูหน้าต่างที่มีขอบเป็นโลหะ
ใช้มือถือขณะฝนตก ล่อฟ้าผ่าจริงหรือไม่
ความเชื่อที่ว่าเล่นมือถือขณะฝนตกทำให้ฟ้าผ่าจริงๆ แล้วมีความเป็นไปได้น้อยมาก เพราะมือถือไม่ได้เป็นสื่อล่อฟ้า การใช้มือถือในขณะที่ฝนตกไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้โดนฟ้าผ่า เพราะจากการทดลองของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พบว่าฟ้าไม่ผ่าลงโทรศัพท์มือถือ และทุกเครื่องยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ และโทรศัพท์เวลาใช้งานจะอยู่ต่ำกว่าตัวคน
ที่สำคัญพลังงานของสัญญาณโทรศัพท์มือถือไม่สามารถทำให้อากาศแตกตัวเป็นตัวนำได้ พร้อมกันนี้ยังมีรายงานว่าการใช้โทรศัพท์อยู่ใกล้บริเวณที่เกิดฟ้าผ่า อาจจะมีผลเหนี่ยวนำให้แบตเตอรี่เกิดการลัดวงจรและเกิดการระเบิดจนเป็นสาเหตุ ของการบาดเจ็บได้ เป็นผลข้างเคียงแต่ไม่ใช่สื่อล่อให้ฟ้าผ่า อย่างไรก็ดีการใช้โทรศัพท์มือถือในสภาวะที่เกิดฝนฟ้าคะนอง ก็นับเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง เพราะหากน้ำเข้าโทรศัพท์ก็มีโอกาสทำให้แบตเตอรี่เกิดการลัดวงจรได้เช่นเดียวกัน
ขอบคุณข้อมูล : กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
หมอเตือน! 3 พฤติกรรมการกินมื้อเย็น ที่ย่นอายุขัยให้สั้นลง คนส่วนใหญ่ชอบทำไม่รู้ตัว โดยอ้างอิงจากงานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์
หากมื้อเช้าเป็นตัวกำหนดพลังงานของร่างกายในแต่ละวัน มื้อเย็นอาจเป็นตัวกำหนดอายุขัย งานวิจัยเผย 3 รูปแบบการกินมื้อเย็นที่ย่นอายุขัย และเพิ่มความเสี่ยงโรคเบาหวาน หลอดเลือดสมอง ควรหยุดกินก่อน 20.00 น.
การรับประทานอาหารเย็นที่ดีต่อสุขภาพและอิ่มท้องสามารถช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ปกป้องระบบหัวใจและหลอดเลือด และควบคุมน้ำหนักได้
ในทางกลับกัน การรับประทานอาหารเย็นแบบไม่เป็นระเบียบ ในเวลาไม่เหมาะสม การข้ามมื้ออาหารเย็น หรือเพียงแค่รับประทานอาหารเย็นอย่างรวดเร็ว อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังในระยะยาวได้
จากการศึกษาใหญ่ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 71,000 คน อายุ 40-79 ปี ชี้ว่า คนที่กินมื้อเย็นไม่เป็นเวลา มีอัตราการเสียชีวิตจากหลอดเลือดสมองสูงกว่าคนที่กินก่อนเวลา 20.00น. ถึง 44%
อีกงานวิจัยในด้านต่อมไร้ท่อและการเผาผลาญ พบว่า การกินดึกทำให้ร่างกาย “ดึงดัน” ในการจัดการน้ำตาลกลูโคส ส่งผลให้การสลายไขมันช้าลง และสะสมจนกลายเป็นภาวะอ้วน
ยิ่งไปกว่านั้น แม้หลายคนจะเลือกกินมื้อกลางวันให้คาร์โบต่ำแล้ว มื้อเย็นก็กินโปรตีน-ผักเพียงอย่างเดียว — แต่วิธีนี้อาจทำให้สมองขาดพลังงาน ร่างกายขาดเส้นใย และกระทบต่อการนอนหลับ
การข้ามมื้อเย็นดูเหมือนลดแคลแล้ว แต่จริงๆ มันกระตุ้นให้ร่างกาย “โหมอยาก” ในวันถัดไป อาจทำให้กินมากขึ้น ดื้ออินซูลิน น้ำหนักพุ่ง และเสี่ยงเป็นเบาหวาน
กินมื้อเย็นอย่างไรให้ถูกวิธี?
กำหนดเวลาอาหารเย็นให้ตรงเวลาทุกวัน
พยายามกินอาหารให้เสร็จก่อน 19.00-20.00 น. เว้นระยะห่างระหว่างมื้อเย็นกับเวลานอนอย่างน้อย 1.5-2 ชั่วโมง เพื่อให้กระเพาะอาหารมีเวลาย่อยอาหารเพียงพอ
หากต้องกินอาหารดึก ให้เลือกอาหารที่มีแคลอรีต่ำ ย่อยง่าย (นมอุ่น โยเกิร์ต ผลไม้บางชนิด ไข่ต้ม) และหลีกเลี่ยงอาหารทอดและอาหารที่มีน้ำตาล ควบคุมปริมาณอาหารที่ไขมันและโซเดียมสูง
ที่มา: soha...
“เกม” ที่เล่นกันสนุก ๆ จะกลายเป็นหนึ่งใน อุตสาหกรรม Soft Power ที่กำลังเติบโตเร็วที่สุดของไทย
อุตสาหกรรมเกมไทย : กำลังเติบโตบนเวทีโลก
ใครจะคิดว่า “เกม” ที่หลายคนเคยมองว่าเป็นเรื่องเล่น ๆ กำลังกลายเป็น เครื่องจักรสำคัญของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเป็นหนึ่งใน Soft Power ตัวแรงของไทยในวันนี้
ข้อมูล สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) เผยมูลค่าอุตสาหกรรม ดิจิทัลคอนเทนต์ไทย ซึ่งรวมเกม แอนิเมชัน คาแร็กเตอร์ และ e-book อยู่ที่ประมาณ 44,000 ล้านบาท ในปี 2024 และมีการเติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 7% โดยเฉพาะเกมที่ปีล่าสุดขยายตัวถึง 34% การส่งเสริมเกมและแอนิเมชันของไทยให้ผลิตและส่งออกได้เอง รวมถึงกระตุ้นการลงทุนจากต่างชาติไปพร้อมๆ กัน จะทำให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางพัฒนาเกมระดับภูมิภาค และช่วยขยับมูลค่าตลาดปีละ 10-20%
คาดว่าใน 5 ปี อุตสาหกรรมเกมไทยจะเติบโตถึง 100,000 ล้านบาท โดยเฉพาะ เกมมือถือ ที่ครองสัดส่วนรายได้เกินครึ่งของตลาดที่น่าสนใจคือ ประเทศไทยไม่ได้หยุดอยู่แค่ “ผู้บริโภคเกม” แต่กำลังก้าวสู่การเป็น “ผู้สร้างเกม” อย่างจริงจัง เราได้เห็นสตูดิโอไทยที่ปล่อยผลงานไปไกลในระดับสากล เช่น คว้ารางวัลระดับนานาชาติ
การส่งเสริมจากภาครัฐ และ THACCA
เพื่อผลักดันเกมให้เป็นหนึ่งใน Soft Power ของชาติ THACCA-Thailand Creative Culture Agency ได้วางกลยุทธ์สร้าง ecosystem เกม ตั้งแต่การหนุนผู้พัฒนา สร้างเวทีโชว์ผลงาน ไปจนถึงเชื่อมโยงสู่ตลาดโลก
ในปี 2568 นี้ ถือว่าเป็นก้าวสำคัญ ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพร่วมงาน Gamescom Asia x Thailand Game Show 2025 จัดครั้งแรกในไทย ระหว่าง 16–19 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ คือบทพิสูจน์ว่า ไทยกำลังก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเกมแห่งเอเชีย เปิดเวทีให้นักพัฒนา นักลงทุน และเกมเมอร์จากทั่วโลกได้เจอกัน ซึ่งคาดว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ “อุตสาหกรรมเกมไทย” ก้าวสู่เป็นผู้นำระดับโลก
มองไปข้างหน้า อุตสาหกรรมเกมไทยไม่ได้สะท้อนให้เห็นเพียงตัวเลขจำนวนมหาศาล แต่ยังหมายถึง โอกาสใหม่ ๆ ของเยาวชนและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ที่จะมีพื้นที่บนเวทีโลก หากเราสามารถต่อยอดการสนับสนุน และสร้างเวทีให้กับคนรุ่นใหม่ ไทยมีศักยภาพมากพอที่จะเป็นหนึ่งใน ศูนย์กลางเกม (Game Hub) ของภูมิภาคได้อย่างแน่นอน