ครบเครื่อง
ญ. อมตะ
ครบเครื่อง ญ. อมตะ 3 พฤษภาคม 2563

4 ข้อทำได้ง่าย ช่วยสร้างภูมิต้านทาน “โควิด-19”

ไม่ใช่แค่กล้วยหอม หรือกล้วยน้ำว้า หรืออาหาร ผักผลไม้ เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งจะช่วยสู้โควิด-19 ได้ เหมือนอย่างที่มีการบอกต่อกันช่วงนี้ แต่ต้องรับประทานผักผลไม้ให้ได้มากกว่าถึง 400-500 กรัม ถึงจะมีพลัง ภูมิคุ้มกันเต็มที่ นอกเหนือจากระมัดระวังตัวพื้นฐาน อย่างการใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือให้สะอาด ออกกำลังกาย

มีคำแนะนำจากศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ วุฒิสมาชิก และอดีตผู้อำนวยการฝ่ายอาหารและโภชนาการองค์การอาหารและเกษตร แห่งสหประชาชาติ (FAO) ในการกินอยู่พักผ่อนด้วยหลักปฏิบัติ 4 ข้อสู้โควิด-19 ที่ทำได้ง่ายๆ ดังนี้

1.รับประทานผักผลไม้ให้ได้วันละ 500 กรัม ปกติมีคำแนะนำโดยทั่วไปว่า บริโภคไม่ต่ำกว่า 400 กรัม แต่ในสถานการณ์นี้ที่ร่างกายต้องการภูมิต้านทานโรคไวรัสร้ายนี้ อาจารย์ไกรสิทธิ์แนะนำว่า รับประทานให้ได้ 500 กรัม หรือครึ่งกิโลกรัม จะช่วยให้ร่างกายมีความสมดุล ขับถ่ายได้ง่าย ต้านอนุมูลอิสระได้ดี

ส่วนที่มีการลือเรื่องรับประทานกล้วยหอม หรือผัก ผลไม้อย่างใดอย่างหนึ่ง ช่วยต้านโควิด-19 ขออย่าไปเชื่อ เพราะถ้าเชื่อจะทำให้ประมาท และไม่ระมัดระวังตัวด้านสุขอนามัย

อย่างไรก็ตามคุณสมบัติของกล้วยหอมนั้น แน่นอนว่าดี เพราะให้พลังงาน มีโพแทสเซียมสูง วิตามินบีรวม แต่ย้ำกว่าต้องกินพืชผักผลไม้ โดยยึดหลักพื้นฐานสำคัญทางโภชนาการที่ต้องมีความหลากหลาย และมีปริมาณมากพอสมควรดังกล่าว

2.Social Distancing คือหลักสำคัญที่หยุดการแพร่กระจายเชื้อโรค ตอนนี้ทุกคนต้องเข้าใจว่า การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 กระจายได้เร็ว เพราะฝอยละอองน้ำลาย น้ำมูก ที่แม้แต่การพูดปกติก็มีฝอยละอองน้ำลายออกมา ดังนั้นเวลาพูดกันปกติ ยังต้องห่างกันประมาณ 1 เมตร หากไอ จาม ต้องห่างอย่างน้อย 2 เมตร การใส่หน้ากากอนามัยจะช่วยลดการแพร่กระจายได้

ที่สำคัญ ต้องหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งคือ พื้นที่คนหนาแน่น ยึดหลักปฏิบัติ Social Distancing จะปลอดภัยที่สุด

3.การทำจิตใจให้สงบ อย่าติดตามข่าวสารจนกลุ้มใจ แต่ต้องทำความเข้าใจ ดูข้อมูลที่เป็นจริง ตอบสนองข่าวสารด้วยปัญญา ไม่ใช่อารมณ์ เมื่อจิตมีสติ มีสมาธิ ควบคุมอารมณ์ หากทำได้วันละอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ก็จะทำให้จิตใจสงบ ไม่กังวล หรือเครียด จนส่งผลกับภูมิต้านทานของร่างกาย เพราะถ้าภูมิต้านต่ำก็จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ เมื่อรับเชื้อโรคก็จะป่วยได้ง่าย

4.ข้อสุดท้ายที่เป็นพื้นฐาน คือ การออกกำลังกาย คำแนะนำคือ เพียงแค่เดินวันละ 10,000 ก้าว ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว

ทั้ง 4 ข้อนี้ เป็นหลักพื้นฐานที่แต่ละคนสามารถทำได้ทันที เป็นการสร้างสุขอนามัยที่ช่วยต้านเชื้อโรค หยุดการแพร่ระบาดของเจ้าไวรัสร้ายนี้ได้ดีที่สุดในเวลานี้.

ป่ากุยบุรีฟื้นตัว ช้าง-กระทิงฝูงใหญ่กลับมา ในวันไร้นักท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 27 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ อุทยานแห่งชาติกุยบุรี อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายรักพงษ์ บุญย่อย หัวหน้าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปิดอุทยานฯชั่วคราวเพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมา รวมระยะเวลานานกว่า 1 เดือน

ปรากฎว่าทั้งโขลงช้าง ฝูงกระทิง พากันออกมาหากินหญ้าในช่วงนี้เป็นจำนวนมาก และหากินกันอย่างมีความสุข เพราะปราศจากการรบกวนของนักท่องเที่ยว ซึ่งเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ได้จัดชุดออกดูแลความปลอดภัยของสัตว์ป่า

รวมทั้งติดตามบันทึกภาพของสัตว์ป่าตามจุดชมช้างและกระทิงตามจุดต่างๆเพื่อเก็บรวบรวมไว้เป็นฐานข้อมูล ทั้งนี้กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช มีการประกาศปิดอุทยานแห่งชาติมา

หัวหน้าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้อุทยานแห่งชาติกุยบุรี เจอวิกฤตแปลงหญ้ากว่า 2,000 ไร่ ซึ่งเป็นพืชอาหารช้างและสัตว์ป่า ที่ปลูกเอาไว้เจอปัญหาภัยแล้งอย่างหนักจนหญ้าแห้งกรอบ ไม่มีหญ้าอ่อนให้สัตว์ป่าได้กิน และน้ำในลำธารแห้งขอดส่งผลกระทบช้างป่าและกระทิง กว่า 600 ตัว ต้องถอยร่นหายเข้าป่าลึกไป

กระทั่งตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีพายุฤดูร้อนเกิดฝนตกลงมาในพื้นที่นานนับสัปดาห์ ส่งผลให้ผืนป่ากุยบุรี กลับฟื้นความอุดมสมบูรณ์ และเขียวขจีอีกครั้ง แปลงหญ้าแต่ยอดอ่อน ต้นไม้แตกใบใหม่ ให้สัตว์ป่าได้กินเป็นอาหาร

ทำให้ทุกวันพบปริมาณสัตว์ป่าทั้งช้างและกระทิง กลับมาหาหินตามแปลงหญ้าและจุดชมสัตว์ป่าต่างๆเป็นจำนวนมากกว่าช่วงเวลาปกติที่เปิดการท่องเที่ยวชมสัตว์ป่าเสียอีก ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดจากปราศจากการรบกวนในช่วงนี้

ทั้งนี้ข้อมูลการสำรวจที่มีการจัดเก็บในทุกวันจะนำไปสู่การวางแผนการบริหารจัดการท่องเที่ยวชมสัตว์ป่า เมื่อมีการประกาศเปิดอุทยานในลำดับต่อไป

อีกมุมโควิด!! ใต้ทะเลเกาะเต่าฟื้นตัว พบสัตว์หายากสะท้อนระบบนิเวศสมบูรณ์

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-16 ส่งผลให้สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งปิดตัวลง อย่างจังหวัดสุราษฎร์ธานี หลังท่องเที่ยวปิดธรรมชาติได้ฟื้นฟูเต็มที่ “ทีมอาสาสมัครครูสอนดำน้ำเกาะเต่า” อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ฯ จำนวน 16 คน แบ่งเป็น 4 ทีม ได้ลงสำรวจปะการังใต้ทะเลรอบเกาะเต่า ภายใต้คำแนะนำจากเจ้าหน้าที่งานปะการัง กลุ่มนิเวศทางทะเล ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนกลาง จ.ชุมพร

โดยมีแผ่นบันทึกการสำรวจ (Reef Watch) และแผ่นบันทึกสำรวจปะการังฟอกขาว รวม 12 จุด ครอบคลุมแนวปะการังน้ำตื้นรอบเกาะเต่า บริเวณหาดทรายรีตอนเหนือ ตอนกลาง ตอนใต้ อ่าวโฉลกบ้านเก่า อ่าวโตนด อ่าวหินวง หาดทรายแดง อ่าวลึก อ่าวเต่าทองนอก เต่าทองใน แหลมเทียน

จากการสำรวจใต้ทะเลมีอุณหภูมิน้ำเฉลี่ย 29-31 องศาเซลเซียล พบปะการังอยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์มาก สภาพแวดล้อมฟื้นตัวสวยงาม เนื่องจากไม่มีการรบกวน และยังพบเต่าทะเลตัวใหญ่ นอกจากนี้ บริเวณอ่าวเทียน ด้านตะวันออกของเกาะเต่า พบฝูงฉลามครีบดำ หรือฉลามหูดำ (Blacktip Reef Sharks) ประมาณ 20-30 ตัว เนื่องจากช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ฉลามครีบดำจะมาผสมพันธุ์กันบริเวณนี้ทุกปี แต่ปีนี้ไม่มีคนรบกวน จึงพบมากกว่าปกติ

นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า เกาะเต่าถือเป็นห้องเรียนดำน้ำใหญ่ที่สุดและมีธรรมชาติใต้ท้องทะเลสวยที่สุด ซึ่งช่วงปิดการท่องเที่ยวทางทะเลนี้ จะเป็นโอกาสให้ธรรมชาติได้กลับมาฟื้นตัวสวยงามสมบูรณ์อีกครั้ง และเชื่อว่าเมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติการท่องเที่ยวเกาะเต่าจะกลับมาเป็นจุดสนใจอีกครั้ง จึงขอความร่วมมือช่วยกันดูแลสร้างความยั่งยืนของระบบนิเวศ

ที่มาสำนักข่าวไทย : https://www.mcot.net/viewtna/5ea7d493e3f8e40af943b5b4

ธรรมชาติที่สวยงาม พบกระทิงฝูงใหญ่พร้อมลูกน้อยกว่า 10 ตัว ออกหากินบริเวณห้วยคมกริช อช.แก่งกระจาน

เพชรบุรี - ภาพความน่ารักของกระทิงตัวเล็กๆ มากกว่า 10 ตัว กำลังวิ่งเล่นอยู่ในกลุ่มกระทิงฝูงใหญ่ เป็นฝูงของกระทิงที่พบบริเวณพื้นท่าสร้าง แหล่งน้ำและอาหารให้สัตว์ป่า บริเวณห้วยคมกริช อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี

นายมานะ เพิ่มพูน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เปิดเผยว่า วันนี้หลังจากออกตรวจตราบริเวณห้วยคมกริช อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งเป็นพื้นที่สร้างแหล่งน้ำและอาหารให้สัตว์ป่าตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 จนถึงปัจจุบันที่มีสัตว์ป่ามาใช้ประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะช้าง และกระทิง

โดยภาพที่เห็นวันนี้ เป็นฝูงของกระทิงที่มีจำนวนมากรวมกันเป็นฝูงใหญ่ลงมากินดินโป่งและต้นหญ้า โดยมีลูกเล็กๆ ของวัวกระทิงหลาย 10 ตัว วิ่งเล่นไปมาอยู่ในฝูงซึ่งเป็นภาพที่น่ารักและสวยงามมาก จากที่เคยพบเห็นที่มีแต่กระทิงตัวใหญ่เพียงอย่างเดียว สะท้อนให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าแก่งกระจานที่มีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น ส่งผลถึงการแพร่พันธุ์ขยายพันธุ์ของวัวกระทิง รวมถึงสัตว์ป่าชนิดอื่นๆ ช่วงนี้สามารถพบเห็นได้มากขึ้น

“การพบฝูงกระทิงฝูงใหญ่ เป็นผลพวงมาจากการปิดป่าทำให้ไม่มีรถของนักท่องเที่ยววิ่งผ่านในพื้นที่ดังกล่าว ธรรมชาติมีการฟื้นตัวมีความอุดมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ไม่มีการรบกวนจากมนุษย์ ทำให้สัตว์ป่าออกมาหากินจำนวนมาก อีกทั้งยังทำให้สัตว์ป่าในวันนี้ไม่ออกไปรบกวนประชาชนในพื้นที่รอบนอกของอุทยานฯ อีกด้วย”

แก้วโป่งข่าม…ความลึกลับแห่งหินแก้วธรรมชาติ

โดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึงอัญมณีที่มีความงดงาม คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงเพชรและพลอยสีเสียมากกว่าจะนึกถึงแร่หรือผลึกต่างๆ ทางธรรมชาติที่มีความงดงามเช่นเดียวกัน ซึ่งสำหรับในประเทศไทยแล้ว บริเวณอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ถือเป็นแหล่งทรัพยากรเพียงแห่งเดียวของประเทศที่มีการขุดพบแร่สวยงามที่มีชื่อเรียกเฉพาะในท้องถิ่นว่า “แก้วโป่งข่าม” อันได้รับการขนานนามว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ประจำท้องถิ่น ซึ่งการค้นพบดังกล่าวนำไปสู่การผลิตสินค้าเครื่องประดับและของที่ระลึกที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชน

การค้นพบแก้วโป่งข่ามในประเทศไทย

แก้วโป่งข่ามเป็นแร่ควอรตซ์ชนิดหนึ่งที่มีแร่ซิลิกาปนอยู่ในปริมาณมากมีลักษณะทางกายภาพเป็นหินผลึกที่บางก้อนสามารถมองทะลุเข้าไปภายในแล้วเห็นเป็นผลึกหรือมีอินทรีย์สารอยู่ภายใน โดยแก้วโป่งข่ามที่พบมีอยู่หลายชื่อเรียกแบ่งตามสีสันและลวดลายทางธรรมชาติที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในไทยมีการขุดพบแก้วโป่งข่ามเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2542 บริเวณดอยโป่งหลวง อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ซึ่งจากข้อมูลทางธรณีวิทยาระบุว่าบริเวณดังกล่าวเคยมีร่องรอยของลาวาไหลผ่านชั้นหินบนผิวดิน จนเกิดการเคลือบแร่ธาตุเอาไว้ และกลายมาเป็นแก้วโป่งข่าม

ความเชื่อเกี่ยวกับแก้วโป่งข่าม

นอกจากความสวยงามที่ดูแปลกตาของแก้วโป่งข่ามแล้ว การนำเอาวัตถุดิบดังกล่าวไปผูกเข้ากับตำนานความเชื่อเรื่องแก้วศักดิ์สิทธิ์ของล้านนาโบราณ ก็ทำให้เกิดกระแสความสนใจและต้องการบริโภคสินค้าดังกล่าว

เพิ่มมากขึ้น ซึ่งแก่นหลักทางความเชื่อของล้านนาได้กล่าวถึงแก้วศักดิ์สิทธิ์ อันมีลักษณะเหมือนกันกับแก้วโป่งข่ามว่าสามารถป้องกันเหตุอันตรายต่างๆ ตลอดจนภูตผีปีศาจให้แก่ผู้ที่ครอบครองได้ อีกทั้งยังสามารถทำให้เกิดโชคลาภ เป็นสิริมงคล ความสุข และความเจริญก้าวหน้าในชีวิต

การนำมาผลิตและจำหน่ายในปัจจุบัน

ภายหลังจากการขุดพบแก้วโป่งข่าม ทำให้มีชาวบ้านในพื้นที่เกิดความกระตือรือร้นเข้ามาขุดหาแร่ดังกล่าวแทบทั้งวันทั้งคืน เพื่อนำไปขายต่อแล้วได้ราคาดีเพราะเป็นสิ่งสวยงามแปลกตา ต่อมาในปี พ.ศ. 2545 ได้มีการรวมตัวกันจัดตั้ง “กลุ่มเจียระไนแก้วโป่งข่ามบ้านนาบ้านไร่” ขึ้น โดยนำเอาวัตถุดิบที่ขุดได้ มาเจียระไนตกแต่งให้สวยงามแล้วผลิตเป็นเครื่องประดับออกวางจำหน่ายเป็นสินค้าชุมชน ปัจจุบันมีสมาชิกในกลุ่มประมาณ 60 คน

สำหรับกระบวนการผลิตเครื่องประดับจากแก้วโป่งข่าม เริ่มต้นจากการนำก้อนแร่ที่ขุดได้มาเผา ขัดเงาและเจียระไนให้สวยงามได้ขนาดตามที่ต้องการ แล้วจึงนำมาประกอบเข้ากับตัวเรือนเครื่องประดับ โดยใช้ตกแต่งแทนพลอยสี เครื่องประดับที่ผลิตได้มีทั้งแหวน จี้ ต่างหู และกำไลข้อมือ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังนำเอาแก้วโป่งข่ามไปใช้ผลิตเป็นรูปแกะสลักขนาดเล็ก อาทิ พระพุทธรูป ของตกแต่งรูปสัตว์และดอกไม้ต่างๆ เป็นต้น

เครื่องประดับและของที่ระลึกจากแก้วโป่งข่ามนับเป็นสินค้าประจำท้องถิ่นที่มีความสวยงามแปลกตาและไม่ซ้ำกับท้องถิ่นอื่นๆ รวมทั้งด้วยความที่มีราคาที่ไม่แพงมาก จึงทำให้สามารถดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคและนักสะสมได้โดยไม่ยาก ปัจจุบันทางผู้ประกอบการได้พยายามทำให้สินค้าดังกล่าวเป็นที่รู้จักมากขึ้น เพื่อขยายโอกาสทางการค้า โดยใช้วิธีเปิดจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ และขนสินค้าไปจำหน่ายในงานแสดงสินค้าโอทอปหรืองานแสดงสินค้าพื้นเมืองที่จัดขึ้นตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ อันส่งผลให้สินค้าจากแก้วโป่งข่ามเริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้น

ความเชื่อเกี่ยวกับแก้วโป่งข่ามทั้ง 13 ประเภท

ปัจจุบันมีแก้วโป่งข่ามอยู่ทั้งหมด 13 ประเภท ซึ่งมีชื่อเรียกและการสื่อความหมายทางความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป โดยการเลือกบริโภคสินค้าขึ้นอยู่กับความชื่นชอบส่วนบุคคล ตามรายละเอียด ดังนี้

1. แก้วขนเหล็กใส มีลักษณะโปร่งใส ภายในมีเส้นแร่ปรากฎอยู่ มีไว้เพื่อเสริมโชคลาภ ยศและตำแหน่ง

2. แก้วเข้าแก้ว มีไว้เพื่อเสริมความโดดเด่นในเรื่องของอำนาจ ความสำเร็จในการติดต่อค้าขาย และความมีชื่อเสียง

3. แก้วสามกษัตริย์ ช่วยเสริมชะตาบารมีให้แก่ผู้ถือครอง

4. แก้วนางขวัญ ช่วยให้ผู้ที่ครอบครองมีเสน่ห์ต่อคนรอบข้าง

5. แก้วทราย มีลักษณะของเม็ดทรายเรียงกัน ช่วยส่งเสริมในเรื่องของเงินทอง โชคลาภ

6. แก้วพิรุณเสน่หา มีลักษณะของเส้นลายจะเป็นริ้วบางๆ เหมือนกับผ้าแพรบางๆ ช่วยส่งเสริมด้านการค้าขายให้ประสบความสำเร็จ

7. แก้วหมอกมุงเมือง เชื่อว่าทำให้เกิดความบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง

8. แก้ววิทูรสีน้ำผึ้ง มีสีเหลืองขุ่น ช่วยส่งเสริมทางด้านโชคลาภ

9. แก้วกาบ มีลักษณะเป็นแร่แผ่นบางๆ อยู่ภายใน ช่วยเสริมด้านความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน

10. แก้วปวก ลักษณะมองเห็นเป็นต่อมน้ำหรือฟองน้ำอยู่ภายใน ช่วยเสริมในด้านเมตตามหานิยม

11. แก้วแร ส่งผลในการค้ำชูสำหรับผู้ที่ทำธุรกิจค้าขาย

12. แก้วมังคละจุฬามณี เมื่อมองเข้าไปภายในจะจินตนาเห็นเป็นรูปมงคลต่างๆ เช่น องค์พระ ต้นโพธิ์ หรือเจดีย์ ถือเป็นแก้วที่หาพบได้ยากและถือว่ามีค่ามาก

13. แก้วโป่งข่ามสีฟ้า เชื่อว่าผู้ใดได้ครอบครองจะทำให้ชีวิตมีความสงบสุข

ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน)