ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



รู้ทัน'โรคฝีดาษวานร'โรคระบาดป้องกันได้ !!!

“โรคฝีดาษวานร” หรือที่เรียกกันติดปากว่า “โรคฝีดาษลิง” หลายๆ คนคงคิดว่าเป็นโรคระบาดที่ไกลตัวไม่สามารถป่วยหรือติดเชื้อกันได้ง่ายๆ แต่รู้หรือไม่ว่า “โรคฝีดาษวานร” อันตรายกว่าที่คิด เพราะปัจจุบันเป็นโรคที่ องค์การอนามัยโลก (WHO) และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทย ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยตั้งแต่ปี 2022 ที่เริ่มมีการระบาดจนถึงปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อ “โรคฝีดาษวานร” จากทั่วโลกมากกว่าหนึ่งแสนราย ถึงแม้ในขณะนี้สถานการณ์ของโรคฝีดาษวานรในประเทศต่างๆ ดีขึ้น จำนวนผู้ป่วยลดลงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ แต่ในประเทศแถบแอฟริกากลางโดยเฉพาะสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) กลับพบว่ามีการระบาดของสายพันธุ์ใหม่ Clade Ib ซึ่งแพร่จากคนสู่คนได้ง่ายขึ้นและมีการระบาดไปยังประเทศข้างเคียงอีก 4 ประเทศได้แก่ รวันดา บุรุนดี ยูกันดา เคนยา

โดยในปี 2024 มีรายงานจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกและประเทศข้างเคียง ตรวจพบว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อโรคฝีดาษลิงมากถึง 25,000 ราย และเสียชีวิตไปแล้ว 700 กว่าราย และมีรายงานผู้ป่วยในประเทศไทย 1 รายจากชาวยุโรป แต่ยังไม่พบการระบาดของสายพันธุ์ใหม่ Clade Ib นี้ในประเทศไทย สำหรับในประเทศไทยสถานการณ์โรคยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ จำนวนผู้ป่วยใหม่เฉลี่ย 10 กว่ารายในแต่ละเดือน เป็นสายพันธุ์ Clade IIb เช่นเดียวกับที่มีการระบาดทั่วโลกตั้งแต่ปี 2022

พญ.จิตรฟ้า หรูรุ่งโรจน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์การเดินทางและท่องเที่ยว โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ข้อมูลว่า โรคฝีดาษวานร หรือ โรคฝีดาษลิง เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส Mpox ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสในกลุ่มเดียวกับโรคฝีดาษคนหรือไข้ทรพิษ พบการติดเชื้อในลิงครั้งแรกในปี 1958 ต่อมาพบว่าเชื้อสามารถแพร่จากสัตว์สู่คน โดยตรวจพบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงครั้งแรกที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) ทวีปแอฟริกากลาง ซึ่งโรคฝีดาษลิง ส่วนใหญ่จะมีการระบาดในประเทศที่อยู่ในทวีปแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก อาทิ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, สาธารณรัฐคองโก, ประเทศไนจีเรีย, สาธารณรัฐเบนิน และสาธารณรัฐเซียร์ราลีโอน เป็นต้น

“โรคฝีดาษลิง” เป็นโรคที่พบในสัตว์ตระกูลลิงและสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระรอก กระต่าย โรคนี้ยังสามารถติดต่อจากสัตว์สู่คนได้จากการสัมผัสใกล้ชิดสัตว์ การสัมผัสซากสัตว์ รับประทานเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุกและติดต่อจากคนสู่คนได้ จากการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย การสัมผัสตุ่มหนองและสารคัดหลั่ง การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วย การพูดคุยในระยะใกล้ชิดเป็นระยะเวลานาน การใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว เครื่องนอน แก้วน้ำดื่ม สำหรับการระบาดตั้งแต่ปี 2022 พบว่า 90 กว่าเปอร์เซ็นต์เป็นผู้ป่วยกลุ่มชายรักชายที่ติดผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นผู้ที่มีคู่นอนมากกว่า 1 คน หรือมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะกลุ่มชายรักชาย ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อได้

พญ.จิตรฟ้า หรูรุ่งโรจน์ ให้ข้อมูลต่อว่า สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ “โรคฝีดาษลิง” ไวรัสจะใช้เวลาฟักตัวได้ตั้งแต่ 6-21 วัน จึงเริ่มแสดงอาการ โดยเริ่มจากอาการไข้สูงเกินกว่า 38 องศาเซลเซียส ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ เมื่อยตัว ปวดศีรษะ ในช่วง 3-5 วันแรก หลังจากนั้นจะเริ่มมีผื่นแดงนูน พบได้บริเวณใบหน้า แขน ขา มือ ในช่องปาก ลำตัว รวมไปถึง อวัยวะเพศ หรือบริเวณทวารหนัก ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการสัมผัส หลังจากนั้นผื่นแดงนูน จะเปลี่ยนเป็นตุ่มน้ำใส ตุ่มหนอง และแตกเป็นสะเก็ดและค่อยๆ หลุดไป หลังจากติดเชื้อผู้ป่วยจะสามารถหายจากโรคนี้เองได้ภายใน 2-4 สัปดาห์

สำหรับการรักษา “โรคฝีดาษลิง” แพทย์จะทำการวินิจฉัยและรักษาโรคตามอาการ เช่นการให้สารน้ำ การดูแลแผล การให้ยาแก้ปวด เนื่องจากโรคนี้ยังไม่มียาในการรักษาเฉพาะ แต่อาจใช้ยาต้านไวรัส Tecovirimat ที่ใช้รักษาฝีดาษคนมาใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจมีอาการรุนแรงหรือผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงได้ อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพของยายังไม่ชัดเจน ในปัจจุบันสามารถควบคุมการระบาดของโรคฝีดาษลิง ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกัน ซึ่งวัคซีนที่ใช้เป็นวัคซีนโรคฝีดาษคนหรือไข้ทรพิษ แต่สามารถนำมาใช้ป้องกันโรคฝีดาษลิงได้ โดยแนะนำฉีดได้เฉพาะกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงเท่านั้น กลุ่มแรก คือการฉีดวัคซีนก่อนสัมผัสเชื้อ เช่น กลุ่มเสี่ยงชายรักชายที่มีคู่นอนหลายคน บุคลากรทางการแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ห้องแล็บที่ต้องสัมผัสเชื้อ กลุ่มที่สอง คือ หลังสัมผัสโรคคือผู้ที่ใกล้ชิดผู้ที่ป่วยด้วยโรคฝีดาษลิง โดยการฉีดวัคซีนจะสามารถป้องกันโรคได้ต้องฉีดภายใน 4 วันหลังสัมผัสเชื้อ และฉีดได้ถึงภายใน 14 วัน แต่การฉีดภายใน 4-14 วัน จะไม่ป้องกันการติดเชื้อแต่ลดความรุนแรงได้ ประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันอาการป่วยได้กว่า 66-80 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

พญ.จิตรฟ้า หรูรุ่งโรจน์ กล่าวปิดท้ายว่า วิธีสังเกตอาการโรคฝีดาษลิงง่ายๆ ด้วยตัวเอง คือหากมีการสัมผัสผู้ที่มีอาการเข้าข่ายน่าสงสัยที่จะเป็นโรคฝีดาษลิง เช่น สัมผัสกอดใกล้ชิดผู้ป่วย มีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า เดินทางหรือสัมผัสสัตว์ป่าที่นำเข้ามาจากประเทศในทวีปแอฟริกากลางและทวีปแอฟริกาตะวันตก ภายใน 21 วันก่อนหน้า ควรเฝ้าระวังการติดเชื้อ หากเกิดตุ่มน้ำบริเวณผิวหนัง ช่องปาก หรือ อวัยวะเพศ ทวารหนัก ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการวินิจฉัย และรักษา เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนและลดการแพร่ระบาดของโรค

สำหรับผู้ที่กำลังจะเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศในทวีปแอฟริกากลางและทวีปแอฟริกาตะวันตก หรือสงสัยว่าตัวเองติดเชื้อโรคฝีดาษลิง สามารถสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูล “โรคฝีดาษลิง” ได้ที่ โทร.1270 หรือ Line: https://lhco.li/3YR7rhZ และ Facebook: Praram9 Hospital โรงพยาบาลพระรามเก้า HEALTHCARE YOU CAN TRUST เรื่องสุขภาพ…ไว้ใจเรา #Praram9Hospital


dTMS ทางเลือกใหม่ในการรักษาโรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้าเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพจิตที่พบได้บ่อยและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก ทำให้การรักษาโรคซึมเศร้าจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยคืนคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งในปัจจุบันมีวิธีการรักษาโรคซึมเศร้าหลายวิธี เช่น การรักษาด้วยยา การทำจิตบำบัด และเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดคือ dTMS หรือ Deep Transcranial Magnetic Stimulation เป็นการใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้ากระตุ้นเซลล์ประสาทในสมองส่วนลึก เพื่อช่วยลดอาการซึมเศร้าโดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงเหมือนยาบางชนิด

แพทย์หญิงณัฏฐพัชร์ ลำเลียงพล จิตแพทย์โรงพยาบาล BMHH - Bangkok Mental Health Hospital กล่าวว่า โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่เกิดจากความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทในสมองหลายชนิด เช่น ซีโรโทนิน (serotonin) นอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine) และโดปามีน (dopamine) ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเศร้าหมอง เบื่อหน่าย หมดความสนใจในสิ่งต่าง ๆ ในชีวิต รู้สึกสิ้นหวัง ไร้ค่า และอาจคิดฆ่าตัวตายได้

สาเหตุของโรคซึมเศร้าเกิดจากหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง และเหตุการณ์ในชีวิตที่เครียดหรือกระทบกระเทือนจิตใจ เช่น การสูญเสีย การหย่าร้าง การถูกล่วงละเมิด เป็นต้น

ปัจจุบันโรคซึมเศร้ามีการรักษาหลายวิธี เช่น การรักษาด้วยยา การทำจิตบำบัด และการรักษาด้วย dTMS หรือ Deep Transcranial Magnetic Stimulation คือการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปกระตุ้นสมองในจุดที่มีผลต่อโรค เพื่อกระตุ้นทำให้เกิดกระแสประสาท แล้วทำให้เกิดการหลั่งสารเคมีในสมองในการที่จะปรับสมดุลการทำงานของสมองให้เข้าสู่ภาวะปกติและลดการเกิดอาการซึมเศร้าลงได้

การรักษาด้วย dTMS นี้ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ว่ามีความปลอดภัยและมีประโยชน์ช่วยในการรักษาโรคซึมเศร้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง มีผลข้างเคียงจากยา ไม่ตอบสนองต่อยา หรือรับประทานยาเกินหนึ่งปีแล้วแต่อาการไม่ดีขึ้น แต่ในปัจจุบันมีการนำ dTMS มาใช้ร่วมกับการรักษาด้วยการทำจิตบำบัดและการกินยาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรักษาให้ดีขึ้นอีกด้วย

dTMS เป็นการปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากระตุ้นบริเวณสมองส่วนหน้า ในแต่ละครั้งจะกระตุ้นผ่านหมวกอุปกรณ์ที่ผู้ป่วยสวมใส่ที่ศีรษะ โดยจะกระตุ้น 2 วินาที และเว้นพักเป็นระยะเวลา 20 วินาที จึงกระตุ้นซ้ำต่อเนื่องไป 20-30 นาที ผลการตอบสนองต่อการรักษาด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้นกับจำนวนครั้งสะสมของการกระตุ้น แต่มีข้อจำกัดในการกระตุ้นแต่ละวัน จึงจำเป็นต้องกระตุ้นต่อเนื่องอย่างน้อย 10-15 วัน หรือเว้นไม่เกิน 1 สัปดาห์ ทั้งนี้ก่อนรับการรักษาด้วย dTMS จิตแพทย์จะประเมินความเสี่ยงของผู้ป่วยทุกราย

จุดเด่นของ dTMS

• ให้ผลการรักษาที่ดีกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่มีอาการรุนแรงและดื้อต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น

• ลดอาการด้านลบ ทำให้อาการซึมเศร้าดีขึ้น และวิตกกังวลลดลง

• เป็นการรักษาที่มีความปลอดภัย มีผลข้างเคียงจากการรักษาค่อนข้างน้อย

• เป็นวิธีการรักษาที่สามารถใช้ร่วมกับการรักษาวิธีอื่น เช่น การรักษาด้วยการกินยา หรือการรักษาโดยการทำจิตบำบัดได้

อย่างไรก็ตาม โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่สามารถรักษาหายได้ หากรู้ตัวเองเร็วแล้วรีบมารักษา ซึ่งการตรวจหาโรคในระยะเริ่มต้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เบื้องต้นให้สังเกตอาการตัวเองและคนรอบข้างว่ามีอาการเข้าข่ายโรคซึมเศร้าหรือไม่ หากมีอาการเศร้านานกว่า 2 สัปดาห์ แนะนำให้ไปปรึกษาจิตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที


รีบเช็กเลย! กรณีไหน ‘ทายาท’ ขอ ‘เงินบำเหน็จตกทอด’ ได้บ้าง...

กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ตอบข้อสงสัยเรื่อง เงินบำเหน็จตกทอดของข้าราชการ โดยชี้แจ้งว่า เงินบำเหน็จตกทอด คือ เงินที่รัฐจ่ายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ทายาทของข้าราชการหรืออผู้รับบำนาญเมื่อถึงแก่ความตาย ซึ่งการเสีย ชีวิตหรือถึงแก่กรรมนั้นมีได้เกิดจากการประพฤติชั่วร้ายแรงของตนเอง เช่น ฆ่าตัวตายหนีความผิดย่างร้ายแรง โทษทาง อาญาจำคุก เป็นต้น...

การรับเงินบำเหน็จตกทอด แบ่งได้ 2 กรณี

กรณีข้าราชการเสียชีวิตระหว่างประจำการ ทายาทจะได้รับบำเหน็จตกทอด เท่ากับ เวลาราชการคูณ เงินเดือนๆสุดท้าย

กรณีผู้รับบำนาญเสียชีวิต ทายาทจะได้รับบำเหน็จตกทอด เท่ากับ 30 เท่าของเงินบำนาญ

3.ผู้มีสิทธิขอรับบำเหน็จตกทอด คือ ทายาทที่ถูกตัลงตามกฎหมายตายตามามมาณฑ์ ได้แก่

1.บุตร

2.สามีหรือภรรยา

3.บิดา มารดา หรือบิดาหรือมารดาที่มีชีวิตอยู่

4.กรณีทายาท 1-3 ได้เสียแล้ว ให้แบ่งระหว่างทายาทผู้มีสิทธิที่เหลืออยู่ตามสัดส่วนสิทธิ...

บุตร 1 – 2 คน ให้ได้รับ 2 ส่วน – บุตร 3 คนขึ้นไป ใด้รับ 3 ส่วน

คู่สมรส ให้ได้รับ 1 ส่วน

บิดา – มารดา ให้ได้รับ 1 ส่วน

5.ในกรณีที่ไม่มีหายาท 1-3 ให้จ่ายแก่บุคคลซึ่งผู้ตายได้แสดงเจตนาไว้

ต่อข้อถาม – ถ้าไม่ได้ทำหนังสือแสดงเจตนาจะยุติลงจริงหรือไม่

ตอบ – หากไม่ได้ทำหนังสือแสดงเจตนาให้ผู้ใดหรือแสดงเจตนาไว้ แต่คนถูกระบุนั้นตายไปก่อน ให้สิทธิในบำเหน็จตกทอดนั้นเป็นอัน “ยุติลง”...

ต่อข้อถาม – หนังสือแสดงเจตนาระบุตัวผู้รับบำเหน็จตกทอดจะต้องทำอย่างไรบ้าง

ตอบ – การทำหนังสือแสดงเจตนาระบุตัวผู้รับบำเหน็จตกทอด ข้าราชการหรือผู้รับบำเน็จ สามารถแจ้งกับนายทะเบียนตันสังกัด ของตัวเองได้ โดยกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มที่กำหนด และสามารถระบุจำนวนผู้รับสิทธิได้รับบำเน็จตตกทอดได้

กรณีที่ระบุผู้รับบำเน็จตกทอดไว้มากกว่า 1 คน ให้กำหนดส่วนที่จะได้รับสิทธิให้ชัดเจน เช่น นาย ก. ให้ได้รับ 1 ส่วน เด็กหญิง ค. ให้ได้รับ 2 ส่วน เป็นต้น

กรณีไม่ได้กำหนดส่วนที่จะได้รับสิทสิทธิรับบำเน็จตกทอด ให้ถือว่าผู้รับบำเหน็จตตกทอดทุกคนที่ระบุไว้นั้นมีสิทธิได้รับเท่ากัน อ้างอิงตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.ศ. 2494 และ ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การแสดงเจตนา ระบุตัวผู้รับบำเหน็จตกทอด

หนังสือแสดงเจตนาระบุตัวผู้รับบำเหน็จตกทอด คลิกที่นี่

ข้าราชการทุกคนจำเป็นต้องทำหนังสือแสดงเจตนาระบุตัวผู้รับบำเหน็จตกทอดไหม คลิก

ขอบคุณข้อมูล “กรมบัญชีกลาง”...


โรคแบตเสื่อม

ไม่ได้มีแต่โทรศัพท์มือถือที่แบตเสื่อม แต่ร่างกายของมนุษย์เราก็มีภาวะแบตเสื่อมกันได้ทุกคน หลายครั้งที่เรารู้สึกเริ่มหมดพลังในขณะที่เพื่อนรอบตัวยังกระปรี้กระเปร่า ตรงกันข้ามเรากลับมีพลังมากที่สุดในช่วงเวลาที่คนข้างตัวรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน

เมื่อต้องใช้ชีวิตในแบบที่ขัดกับจังหวะตามธรรมชาติของร่างกายตัวเอง สิ่งที่เกิดขึ้นคือรู้สึกแย่ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพราะมนุษย์เรามี “ตารางชีวภาพของตัวเอง” ที่แตกต่างกันไป การใช้หลักนาฬิกาชีวิตแบบเดียวกันกับทุกคนจึงขัดแย้งกับการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับจังหวะตามธรรมชาติของตัวเอง

ในหนังสือ “ENERGIZE!” ของ “ดร.ไมเคิล เบรอูส” นักจิตวิทยาด้านเวชศาสตร์การนอนหลับ เจาะลึกถึงความลับของมนุษย์พลังสูง พร้อมแนะเทคนิคบริหารพลังสำหรับคน 4 แบบ เพื่อให้มีพลังงานเหลือใช้ตลอดวัน ไม่ต้องทรมานกับภาวะแบตเสื่อม และความอ่อนล้าอ่อนเพลียเรื้อรัง

ถ้าอยากเลิกรู้สึก “เหนื่อยล้า” และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังตลอดทั้งวัน สิ่งที่ต้องทำคือ การปรับพฤติกรรมหันมาใช้ชีวิตตามตารางเวลาที่เหมาะกับ “ประเภทรูปร่าง” และ “บุคลิกตามเวลาชีวภาพ” โดยค้นหาโปรไฟล์พลังงานของตัวเองให้เจอ

ถามว่าประเภทรูปร่างคืออะไร คนเราเกิดมาพร้อมกับพันธุกรรมที่กำหนดว่าจะมีโครงสร้างของรูปร่างเป็นอย่างไร “ดร.ไมเคิล” แบ่งประเภทรูปร่างออกเป็น 3 แบบคือ “เอกโตมอร์ฟ-รูปร่างผอมสูง” เผาผลาญพลังงานได้เร็ว, “มีโซมอร์ฟ-รูปร่างสมส่วน” เผาผลาญพลังงานได้ปานกลาง และ “เอนโดมอร์ฟ-รูปร่างอวบ” เผาผลาญพลังงานได้ช้า สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้คนเหนื่อยล้าคือการพยายามอย่างหนักเพื่อให้มีรูปร่างในประเภทที่ไม่ใช่ธรรมชาติของตัวเอง รวมถึงรู้สึกเกลียดรูปร่างตามพันธุกรรม

นอกจากจะทำตัวให้กระฉับกระเฉง และพยายามเคลื่อนไหวร่างกายตอบสนองต่อสิ่งที่ร่างกายต้องการในแต่ละช่วงเวลาของวัน กุญแจสำคัญของการบริหารพลังงานให้มีพอเหลือใช้ตลอดทั้งวัน ยังอยู่ที่การค้นพบ “บุคลิกตามเวลาชีวภาพของตัวเอง”

“ดร.ไมเคิล” แบ่งบุคลิกตามเวลาชีวภาพไว้ 4 ประเภท คือ “สิงโต” คนที่ตื่นตัวตอนเช้า, “หมี” คนที่ตื่นตัวตอนกลางวัน, “หมาป่า” คนที่ตื่นตัวตอนเย็น และ “โลมา” คนที่เป็นโรคนอนไม่หลับ มีภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่เสมอ สามารถทำแบบทดสอบออนไลน์ทางเว็บไซต์ Chronoquiz.com ว่ามีบุคลิกแบบไหน

ถ้าคุณคือ “สิงโต” เป็นพวกตื่นเช้าตรู่ และง่วงนอนตอนสามทุ่ม จะตื่นมาพร้อมความหิวและเปี่ยมด้วยพลังงานตั้งแต่ช่วงเช้า จนถึงบ่ายต้นๆ แต่พอ 5 โมงเย็น พลังงานจะเริ่มลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว เพราะร่างกายเปิดสวิตช์ไม่ยอมปิดมาทั้งวัน การยืดเหยียดกล้ามเนื้อและฝึกสมาธิจะช่วยบูสต์พลังงานให้กับเจ้าป่าผู้มุ่งมั่นเช่นเดียวกับการเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อชาร์จแบต

บุคลิก “หมี” เป็นพวกกระฉับกระเฉงตอนกลางวันและต้องพักผ่อนตอนกลางคืน หมีมักขี้เซาและอยากงีบตอนสายๆ ช่วงบ่ายแก่ๆ พลังงานของพวกเขามักจะลดลง ก่อนเพิ่มสูงอีกครั้งในช่วงเย็น แล้วค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ จนถึงเวลาเข้านอน พวกหมีพร้อมเข้านอนตอน 5 ทุ่ม ถึงเที่ยงคืน และตื่นมาสู้โลกใหม่ตอน 7 โมงเช้า

ส่วน “หมาป่า” จะตื่นตัวมากที่สุดเมื่อตะวันตกดิน และไม่รู้สึกเหนื่อยล้าจนกว่าจะเลยเที่ยงคืน แต่ถ้าเป็นช่วงเช้าหมาป่ามักรู้สึกสมองตื้อเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ พวกเขาจะหิวโซในช่วงบ่ายและจัดเต็มในมื้อเย็น จึงมีแนวโน้มอ้วนลงพุง

“โลมา” เป็นสัตว์ที่นอนหลับแบบครึ่งสมอง ต้องคอยตื่นตัวเพื่อป้องกันไม่ให้จมน้ำ ชาวโลมาค่อนข้างวิตกกังวลง่าย และอยู่ในภวังค์ของการครึ่งหลับครึ่งตื่นตลอด 24 ชั่วโมง กฎเหล็กของโลมา คืออย่าเข้านอนจนกว่าจะรู้สึกง่วง สำหรับโลมาแล้วความกระวนกระวายใจ มักมีอิทธิพลเหนือความอ่อนเพลียของร่างกาย มีโอกาสสูงที่ชาวโลมา จะทรมานจากโรคนอนไม่หลับเกือบทั้งชีวิต การออกกำลังกายอย่างหนักในช่วงเช้าจะช่วยบรรเทาความเครียดสูงของโลมาได้

อีกเทคนิคในการหาโปรไฟล์พลังงานของตัวเอง คือสังเกตดูว่า ช่วงเวลาไหนของวันที่เราง่วงที่สุด...หิวที่สุด...สุขที่สุด...เครียดที่สุด... และตื่นตัวที่สุด เลือกใช้ให้เหมาะเพื่อจะได้มีเรี่ยวแรงเหลือตลอดวัน.


น้ำตาลในเลือดสูง ต้นตอปลายนิ้วชา!

ย้ำเตือนอย่าละเลย “น้ำตาลในเลือดสูง” หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิด“อาการปลายนิ้วชา” พบบ่อยในผู้ป่วยเบาหวานมากกว่าผู้ที่ไม่เป็นโรคเบาหวาน แถมยังส่งผลเสียร้ายแรงได้ในอนาค!

เคยสังเกตกันบ้าวหรือไม่คะ ว่าตัวเราหรือคนรอบข้าง ไปจนถีงร้านรวงต่งๆ มีการปรุงอาหารที่มีรสชาติหวานกันมากขึ้น จนเราเผลอติดการทานหวานกัยชนมิใช่น้อย อีกทั้งพฤติกรรมของสังคมเมืองก็ชวนให้เร่งรีบเสียจนยากต่อการทานอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่วในเรื่องนี้ นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดี กรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ในปัจจุบัน สังคมไทยการใช้ชีวิตมีความตึงเครียด เร่งรีบ ความกดดันต่างๆ และสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่ ทำให้คนไทย เน้นอาหารการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพเป็นหลัก โดยเฉพาะอาหารที่มีรสชาติหวาน ซึ่งสถิติในปี พ.ศ. 2560 ประเทศไทยมีผู้ที่เป็นเบาหวาน 4.4 ล้านคน มากขึ้นทุกช่วงอายุ มากเป็นอันดับ 4 รองจาก จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ที่น่าเป็นห่วงพบในช่วงวัยรุ่นและวัยทำงาน

ด้าน นายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ได้เผยผ่าน Healthy Clean เพิ่มเติมว่า ประเภทของโรคเบาหวานมีอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน คือ

1.เกิดจากตับอ่อนไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้

2.เกิดจากการที่ตับอ่อนผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ไม่เพียงพอต่อการใช้ หรือเกิดภาวะการดื้ออินซูลิน

3.เบาหวานขณะตั้งครรภ์

นอกจากโรคเบาหวานทั้ง 3 ประเภทแล้วยังมีโรคเบาหวานที่พบได้ไม่บ่อย อย่างโรคเบาหวานที่เกิดจากกรรมพันธุ์หรือแบบโมโนเจนิก อีกทั้งยังมีโรคเบาหวานจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การใช้ยา หรือเกิดจากโรคของตับอ่อนอักเสบ หากผู้ป่วยเบาหวานควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสูงไม่ดีพอ ก็อาจจะเป็นต้นเหตุของโรคแทรกซ้อนต่างๆ ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายได้

นอกจากนี้ นายแพทย์ชัยชาญ ดีโรจนวงศ์ อดีตนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม โรงพยาบาลราชวิถี ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจเกิดภาวะเสียหายกับเส้นประสาทบริเวณมือและเท้า นำไปสู่อาการชาปลายนิ้วบริเวณนิ้วมือ หรือนิ้วเท้าได้ ซึ่งพบบ่อยในผู้ป่วยเบาหวานมากกว่าผู้ที่ไม่เป็นโรคเบาหวาน

วิธีการป้องกันรักษาภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังในผู้ป่วยเบาหวาน สามารถทำได้ คือ

1.การควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

2.รับการตรวจปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน เช่น ไขมันคลอเลสเตอรอล ไขมันไตรกลีเซอไรด์

3.งดการสูบบุหรี่

4.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติ ในระหว่างการรักษาโรค ควรพบแพทย์โดยด่วนครับ.....