ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



หลากหลายเครื่องดื่มทางเลือกที่ช่วยลดหรือคุมคอเลสเทอรอล

คอเลสเทอรอลเป็นไขมันชนิดหนึ่งมีลักษณะคล้ายขี้ผึ้ง ซึ่งจำเป็นสำหรับร่างกายในการสร้างเซลล์และฮอร์โมน แต่คอเลสเทอรอลที่มากเกินไปอาจทำให้หลอดเลือดตีบ แข็งตัว และปิดกั้นหลอดเลือดแดง จนอาจทำให้เกิดลิ่มเลือดได้ สิ่งนี้กดดันให้หัวใจของคนเราสูบฉีดแรงขึ้น หัวใจอาจเสี่ยงที่จะอ่อนแอลงเร็วเกินไป ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ หัวใจวาย และแม้กระทั่งโรคหลอดเลือดสมอง

เพื่อหลีกเลี่ยงบรรดาสภาวะที่คุกคามถึงชีวิต นอกจากจะหมั่นเข้ารับการตรวจอย่างสม่ำเสมอยังหมายรวมถึงการกินอาหาร พักผ่อนนอนหลับ ออกกำลังกาย รวมถึงทำสุขภาพจิตให้ดี และเมื่อนึกถึงเรื่องอาหารที่ควรบริโภค สิ่งหนึ่งที่คุณรับรู้ก็คือเรื่องของเครื่องดื่มที่สามารถช่วยในการจัดการและแม้กระทั่งลดคอเลสเทอรอลสูงได้ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) แนะนำให้บริโภคโปรตีนถั่วเหลือง 25 กรัมต่อวัน เป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเทอรอลต่ำเพื่อลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ

ล่าสุดเว็บไซต์ ไทม์ส ออฟ อินเดีย ได้รวบรวมเครื่องดื่มทางเลือกที่ช่วยลดหรือควบคุมระดับคอเลสเทอรอลสูง เช่น นมถั่วเหลืองที่ไม่ใส่น้ำตาลหรือไขมันเพิ่ม, น้ำมะเขือเทศ ที่อุมดมไลโคปีน เป็นสารประกอบที่ช่วยปรับปรุงระดับไขมันและระดับคอเลสเทอรอลชนิดไม่ดี, เครื่องดื่มข้าวโอ๊ตที่มีเบตากลูแคนซึ่งจะสร้างสารคล้ายเจลในลำไส้และทำปฏิกิริยากับเกลือน้ำดี ช่วยลดระดับคอเลสเทอรอล ส่วนชาเขียวที่ประกอบด้วยคาเทชิน, เอพิกัลโลคาเทชิน กัลเลต และสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ ก็ช่วยลดระดับคอเลสเทอรอลชนิดไม่ดี นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มโกโก้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระฟลาวานอล ช่วยปรับปรุงระดับคอเลสเทอรอลได้ แต่โกโก้ต้องไม่ได้เต็มไปด้วยช็อกโกแลตหวานที่มีเกลือและไขมันเพิ่ม ขณะที่น้ำจากผลเบอร์รี่ก็อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและไฟเบอร์ช่วยลดระดับคอเลสเทอรอลสูงได้เช่นกัน.


นกเงือกคอแดงขวัญใจคนดูนก

นกเงือกคอแดง เป็นหนึ่งในจำนวน 13 ชนิดที่พบในประเทศไทย และเป็นนกที่มีลำตัวขนาดใหญ่ สีสันสดใสสวยงาม

นกเงือกคอแดงตัวผู้จะมีสีแตกต่างจากนกตัวเมียอย่างเห็นได้ชัด ตัวผู้มีสีแดงที่คอ หัวและบริเวณลำตัวด้านล่างจะมีสีส้มแกมสีน้ำตาล ลำตัวด้านบนมีสีดำ ปีกสีดำและปลายปีกมีสีขาว ปากมีสีเหลืองที่โคนปากมีขีดสีดำมากน้อยไม่เท่ากัน ที่หัวมีโหนกเล็ก ๆ ที่ขอบตามีสีฟ้าสด นกเงือกคอแดงตัวเมียที่หัว คอและลำตัวด้านล่างจะมีสีดำ หนังรอบตามีสีน้ำเงินแกมม่วง

เป็นนกหายากและใกล้จะสูญพันธุ์ จากการเฝ้าติดตามนกชนิดนี้มีรายงานพบนกเงือกคอแดงหากินอยู่ในป่าลึกเขตรอยต่อระหว่างป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จังหวัดกาญจนบุรี อุทยานแห่งชาติห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี และอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จังหวัดกำแพงเพชร นกเงือกคอแดงจะหาโพรงไม้เพื่อที่จะวางไข่ออกลูก และพบว่าช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมของทุกปีพ่อแม่นกเงือกคอแดงจะนำลูกนกบินออกหากินลูกไม้บริเวณหุบเขาจุดชมวิวช่องเย็น อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ตรงรอยต่อระหว่างจังหวัดกำแพงเพชรและจังหวัดตาก

ช่วงเวลาดังกล่าวจะมีนักดูนกและถ่ายภาพนกทั้งมือใหม่ไปถึงนักถ่ายภาพนกระดับมือโปรจะเดินทางไปจับจองลานกางเต็นท์บริเวณช่องเย็นและจุดชมวิวขุนน้ำเย็น ในเขต อช.แม่วงก์กันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงวันที่ 11-13 สิงหาคม ของทุกปี ซึ่งตรงกับวันแม่ ลานกางเต็นท์จะแน่นไปด้วยผู้คน เพราะเป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่าช่วงวันดังกล่าวจะมีนกเงือกคอแดงนำลูกออกมาบินและหาอาหารเลี้ยงลูก นักท่องเที่ยวสามารถพบเห็นนกเงือกชนิดหายากและใกล้จะสูญพันธุ์ได้ในวันดังกล่าวของทุกปี


10 อาหาร บำรุงสมอง ป้องกัน "อัลไซเมอร์" แถม อารมณ์ดี ขึ้นด้วย

แนะนำ 10 อาหาร บำรุงสมอง ที่จะช่วยให้ความจำดีขึ้น ลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ในอนาคต แถมกินแล้วยังช่วยทำให้ อารมณ์ดี ขึ้นด้วย

มีการคาดการณ์กันว่า ในปี ค.ศ. 2050 จะมีประชากรโลกเป็นโรค “อัลไซเมอร์” ถึง 100 ล้านคน ทั้งๆ ที่ยังไม่ทราบ สาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรคนี้ด้วยซ้ำ อัลไซเมอร์นั้นเมื่อเป็นแล้ว ผู้ป่วยก็จะค่อย ๆ มี ความจำ ถดถอยลง และหากเป็นในระยะเวลานานๆ อาการของผู้ป่วยก็จะมากขึ้น และจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ในที่สุด

ดังนั้น การ บำรุงสมอง ให้แข็งแรงจึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะช่วยลดการเกิดโรค "อัลไซเมอร์" ได้ เพื่อเป็นการป้องกันก่อนที่จะมีอาการหลงๆ ลืมๆ ซึ่งวันนี้เราจะพาไปรู้จักกับ 10 อาหาร บำรุงสมอง ที่จะช่วยให้ความจำดีขึ้น ลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ในอนาคต แถมกินแล้วยังช่วยทำให้ อารมณ์ดี ขึ้นด้วย

1.ไข่ เป็น อาหาร ที่หาได้ง่าย ราคาไม่แพงและมีประโยชน์สูงค่ะ ซึ่งในปัจจุบันการรับประทานไข่วันละ 1 - 2 ฟองก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องไขมันและคอเลสเตอรอลสูงต่อไปแล้ว รวมทั้งการรับประทานไข่แดงก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยบำรุงร่างกายและ บำรุงสมอง ของเราอีกด้วยค่ะ เพราะในไข่มีสารอาหารสำคัญอย่างวิตามินบี 6 วิตามินบี12 โฟเลต และสารที่สำคัญมากๆ อีกตัวหนึ่งนั่นก็คือสารโคลีน สารชนิดนี้ถือเป็นสารตั้งต้นในการสร้างสารสื่อประสาท สามารถที่จะช่วยบำรุงสมอง แก้ปัญหาความจำไม่ดี สมาธิไม่ดี และช่วยลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมรวมถึงโรค "อัลไซเมอร์" ได้

2.ข้าวกล้อง และธัญพืชเต็มเมล็ดอื่นๆ เพราะในข้าวกล้องและธัญพืชที่ไม่ขัดสีเหล่านี้มักจะยังมีวิตามินบีหลงเหลืออยู่มาก ซึ่งวิตามินบีสามารถที่จะช่วยบำรุงประสาทได้ดี และนอกจากจะช่วยป้องกันอาการเหน็บชาแล้ว ก็ยังช่วยบำรุงระบบประสาทสมองให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ในข้าวกล้องยังมีสารกาบ้า ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้เรา อารมณ์ดี รู้สึกผ่อนคลาย ช่วยลดความตึงเครียดภายในสมองได้อีกด้วย

3.ปลาที่มีกรดไขมันจำเป็น ไม่ว่าจะเป็น ปลาแซลมอน, ซาร์ดีน, แฮร์ริ่ง, ทูน่า, ปลาเทราต์ ฯลฯ โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างสมองและเซลล์ประสาท อีกทั้งไขมันเหล่านี้ยังจำเป็นต่อการเรียนรู้และความจำอีกด้วย เนื่องจากประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ของสมองคนเรา ประกอบไปด้วยไขมัน และครึ่งหนึ่งของไขมันนั้นก็ประกอบไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 นั่นเอง ดังนั้นจึงทำให้กินแล้วความจำดีขึ้น ป้องกันโรค “อัลไซเมอร์” แถมยังช่วยปรับให้ อารมณ์ดี ขึ้นด้วย

4.พืชตระกูลกะหล่ำ เช่น กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี รวมถึงบร็อคโคลี่ สามารถทำอาหารได้หลากหลายและยังเป็นอาหารที่ช่วยบำรุงสมอง เพราะมีวิตามินซีสูงซึ่งสามารถช่วยบำรุงสมองได้โดยเฉพาะ และนอกจากนี้ยังสามารถช่วยชะลอการสลายตัวของสารสื่อประสาท ซึ่งก็จะช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม โรค “อัลไซเมอร์” และช่วยป้องกันอาการปวดหัวไมเกรน

5.ผักใบเขียวเข้มต่างๆ ก็มีส่วนช่วยบำรุงสมองได้ดี โดยเฉพาะผักเคล ที่อุดมไปด้วยกลูโคซิโนเลต เข้ามาช่วยชะลอการสลายตัวของสารสื่อประสาทอะซีทิลคอลีน ที่เกี่ยวข้องกับความคิดและความจำ ซึ่งหากอะซีทิลคอลีนต่ำ ก็อาจเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ได้ในที่สุด นอกจากนั้นผักเคลยังมีวิตามินเคและเบต้าแคโรทีนที่ดีต่อสุขภาพสมอง ช่วยป้องกันการสูญเสียความจำ แถมยังเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจได้ดีอีกด้วย

6.ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ก็มีส่วนช่วย บำรุงสมอง โดยเฉพาะบลูเบอร์รี่ เนื่องจากมีแอนโทไซยานิน ที่มีส่วนช่วยต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ที่มีความเกี่ยวข้องกับสมองและโรคเกี่ยวกับระบบประสาท เพราะสารต้านอนุมูลอิสระบางชนิดในบลูเบอร์รี่มีส่วนช่วย บำรุงสมอง และช่วยปรับปรุงการสื่อสารระหว่างเซลล์สมองได้ นอกจากนั้นบลูเบอร์รี่ยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างความจำ และกระบวนการทางปัญญาบางอย่างในเด็ก และผู้ใหญ่ได้อีกด้วย

7.ขมิ้น ขมิ้นอุดมไปด้วย เคอร์คูมิน ที่เป็นประโยชน์ต่อเซลล์สมอง ถือเป็นสารต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระที่มีความเกี่ยวข้องกับสมอง ไม่ว่าจะเป็นการช่วยในเรื่องของความจำที่ดีขึ้น ลดเสี่ยงโรค "อัลไซเมอร์" ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเซลล์สมอง รวมถึงยังมีการศึกษาพบว่าเคอร์คูมินมีส่วนช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าได้ดี เนื่องจากเคอร์คูมินจะช่วยเพิ่มสารเซโรโทนิน และโดปามีน ซึ่งสารทั้งสองอย่างนี้มีส่วนทำให้ อารมณ์ดี ขึ้นได้

8.ชาเขียว คาเฟอีนในชาเขียวมีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง ช่วยให้รู้สึกตื่นตัว เพิ่มประสิทธิภาพความจำ และช่วยให้โฟกัสสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น รวมถึงในชาเขียวยังมีแอล-ธีอะนีน หรือกรดอะมิโน ที่มีส่วนช่วยเพิ่มการทำงานของสารสื่อประสาทกาบ้า ที่มีส่วนช่วยลดความวิตกกังวลได้ อีกทั้งแอล-ธีอะนีนยังสามารถช่วยเพิ่มความถี่ของคลื่นอัลฟาในสมอง จึงทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย หายเหนื่อย นอกจากนั้นชาเขียวยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนช่วยปกป้องสมอง ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์กินสันได้

9.เมล็ดฟักทองอบกรอบรสธรรมชาติ ซึ่งนอกจากจะอร่อยและรับประทานง่ายแล้ว ยังมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสมองอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นแมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี ซึ่งสารเหล่านี้ช่วย บำรุงสมอง ได้ดี โดยเฉพาะสังกะสี ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากในการช่วยส่งสัญญาณระบบประสาท หากเราขาดธาตุสังกะสีก็จะทำให้เรามีโอกาสในการเกิดโรคอัลไซเมอร์และ ความจำ เสื่อมมากขึ้น

10.ดาร์กช็อกโกแลตเข้มข้น 70 เปอร์เซ็นต์ จัดว่าเป็นช็อกโกแลตที่มีส่วนช่วยบำรุงสมองและกระตุ้นการทำงานของสมองได้ดีอีกทั้งดาร์กช็อกโกแลตยังมีฟลาโวนอยด์, คาเฟอีน และสารต้านอนุมูลอิสระ โดยฟลาโวนอยด์ในดาร์กช็อกโกแลต จะมีส่วนช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และความจำ ทำให้ความจำดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นได้ เรียกได้ว่ากินดาร์กช็อกโกแลตแล้วความจำและ อารมณ์ดี ขึ้นด้วย


วิธีรับมือเมื่อโดน “น้ำกรด” ต้องปฐมพยาบาลอย่างไรให้ถูกวิธี

น้ำกรด เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์ทำลายเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดบาดแผลไหม้ที่รุนแรงและมีอาการปวดแสบปวดร้อน หากต้องทำการช่วยเหลือผู้ถูกน้ำกรดต้องมีวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นดังต่อไปนี้

ตั้งสติ แล้วพิจารณาว่าสามารถทำการช่วยเหลือได้หรือไม่ หากอาการรุนแรงและสาหัสมากให้รีบแจ้ง 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือ ช่วยเหลือเบื้องต้นด้วยการตัดเสื้อผ้าและถอดเครื่องประดับที่อยู่บริเวณที่โดนน้ำกรดออก ทั้งนี้ผู้ช่วยเหลือต้องใส่ถุงมือพลาสติกเพื่อป้องกันตัวเองจากน้ำกรดด้วย

ใช้กระดาษหรือผ้าสะอาดซับน้ำกรดออกไปให้มากที่สุด ห้ามเช็ด เพราะอาจไปทำลายเนื้อเยื่อบริเวณนั้นได้

ใช้น้ำสะอาดราดบริเวณบาดแผลให้มากที่สุด เป็นเวลาอย่างน้อย 5-10 นาที หรือจนกว่าอาการปวดแสบปวดร้อนจะลดลง เพื่อชำระล้างน้ำกรดให้ออกไปมากที่สุด โดยห้ามเช็ด ถู หรือขัด โดยเด็ดขาด

หากเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง และห้ามใช้น้ำยาล้างตา ใช้ผ้าสะอาดที่ไม่เป็นขุย เช่น ผ้าก๊อซ ปิดแผล นำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที

ข้อควรระวังในการปฐมพยาบาลผู้ป่วยที่ถูกน้ำกรด กระทบจากน้ำกรด

ผลกระทบจากน้ำกรดว่า เมื่อกรดซัลฟิวริกหรือกรดไฮโดรคลอริก สัมผัสกับผิวหนัง จะทำให้เกิดการตายของเซลล์เฉพาะส่วนซึ่งจะทำให้เนื้อเยื่อเป็นแผลเปื่อย และการไหม้จะเกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีการกำจัดน้ำกรดออกไป

การไหม้ของน้ำกรดอาจทำให้เกิดการเสียโฉมหรือความพิการตลอดชีวิต โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรง หากน้ำกรดเข้าตาก็ทำให้ตาบอดได้ด้วย มีผู้ป่วยจำนวนมากที่โดนน้ำกรดสาดจากการถูกทำร้ายร่างกายส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างใบหน้าอย่างถาวร และมีแผลเป็นที่ส่งผลกระทบต่อการแสดงสีหน้า ถึงแม้ว่าผู้ป่วยจะได้รับการผ่าตัดเพื่อแก้ไขก็ไม่สามารถกลับไปหายดีได้เหมือนเดิม

นอกจากนี้ คนไข้หลายคนยังต้องทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บเรื้อรัง โดยเฉพาะการเจ็บเส้นประสาทซึ่งต้องได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ และรับการรักษาหลายต่อหลายครั้ง ขณะที่ผลกระทบทางด้านสภาพจิตใจ อาจแสดงออกอย่างชัดเจน เช่น ภาวะเครียดรุนแรงซึ่งจะนำไปสู่ โรคเครียดจากเหตุการณ์ร้ายแรง (Post Traumatic Stress Disorder: PTSD) ที่ส่งผลให้เกิดความกลัวและกังวลว่าจะถูกทำร้าย และยังไม่สามารถยอมรับรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของตนเองได้อีก

ดังนั้นผลกระทบจากน้ำกรดไม่ได้ทิ้งร่องรอยแค่การบาดเจ็บทางร่างกายภายนอกที่ไม่สามารถรักษาให้หายเป็นเหมือนเดิมได้เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบไปถึงจิตใจภายในของผู้บาดเจ็บอีกด้วย

ข้อมูลอ้างอิง: โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, หมอชาวบ้าน


พบฟอสซิลไดโนเสาร์คอยาวชนิดใหม่ค้นพบหลังผ่าน 100 ปี

หลายครั้งที่การค้นพบซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิลไดโนเสาร์ชนิดใหม่ๆ ไม่ได้พบในแหล่งทับถมซากฟอสซิล แต่กลับมาพบหลังจากซากฟอสซิลถูกเก็บเป็นสมบัติในพิพิธภัณฑ์บ้างหรือในสถาบันศึกษาบ้าง อีกทั้งการระบุเบื้องต้นเกี่ยวกับซากฟอสซิลบางซาก ก็ต้องกลับมาแก้ไขใหม่เมื่อมีการนำมาศึกษาวิจัยอีกครั้ง

อย่างกรณีล่าสุดคือ นักบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยทือบิงเงินในเยอรมนี ได้นำซากฟอสซิลโครงกระดูกไดโนเสาร์ที่พบในเมืองทรอสซิงเงิน รัฐบาเดน-เวิร์ทเทมแบร์ก เมื่อปี พ.ศ.2465 หรือ 100 ปีที่แล้ว ซึ่งในช่วงเวลานั้นเคยมีการระบุว่าซากดังกล่าวเป็นของพลาทีโอซอรัส ทรอสซิงเอนซิส (Plateosaurus trossingensis) คือไดโนเสาร์ซอโรโพโดมอร์ฟ (sauropo domorph) รุ่นโบราณ ทว่าเป็นการระบุอย่างผิดพลาด

เนื่องจากนักบรรพชีวินวิทยาจากมหาวิทยาลัยทือบิงเงิน ตรวจสอบใหม่และพบว่านี่คือไดโนเสาร์ซอโรโพโดมอร์ฟชนิดใหม่และสายพันธุ์ใหม่ ได้รับการตั้งชื่อว่า Tuebin gosaurus maierfritzorum พวกมันเคยอาศัยอยู่ตามแนวเขา Swabian Alb ในยุคไทรแอสสิกเมื่อประมาณ 203-211 ล้านปีก่อน

นักบรรพชีวินวิทยาวิจัยพบว่า Tuebingosaurus maierfrit zorum มีแนวโน้มที่จะเดิน 4 เท้าและมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับไดโนเสาร์ซอโรพอดขนาดใหญ่ ที่มีคอยาว หางยาวในภายหลัง อย่างเช่นพวก แบรคคิโอซอรัส (Brachiosaurus) หรือ ไดพลอโดคัส (Diplodocus) มากกว่าจะเป็นพวกพลาทีโอซอรัส.


มือ-เท้า "ชา" อย่ามองข้าม สัญญาณเตือน โรค ร้าย อาจตามมา

อาการ "ชา" ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ จนเป็นปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน อาจะเป็นสัญญาณของ โรค บางชนิดที่กำลังเกิดขึ้นกับเราโดยไม่รู้ตัว

หนุ่มสาวออฟฟิศที่นั่งทำงานในท่าเดิมซ้ำๆ หรือหากอวัยวะบางส่วน อย่าง มือ หรือ เท้า ฯลฯ ถูกกดทับเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการ “ชา” ขึ้นได้ เส้นประสาท บริเวณนั้นจะเกิดความผิดในการรับรู้ความรู้สึกชั่วคราว ใช้เวลาไม่นานก็จะหายเป็นปกติเอง แต่อาการชาเกิดขึ้นบ่อยๆ จนเป็นปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน อาจะเป็นสัญญาณของ โรค บางชนิดที่กำลังเกิดขึ้นกับเราโดยไม่รู้ตัว

หนุ่มสาวออฟฟิศที่นั่งทำงานในท่าเดิมซ้ำๆ หรือหากอวัยวะบางส่วน อย่าง มือ หรือ เท้า ฯลฯ ถูกกดทับเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการ “ชา” ขึ้นได้ เส้นประสาท บริเวณนั้นจะเกิดความผิดในการรับรู้ความรู้สึกชั่วคราว ใช้เวลาไม่นานก็จะหายเป็นปกติเอง แต่อาการชาเกิดขึ้นบ่อยๆ จนเป็นปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน อาจะเป็นสัญญาณของ โรค บางชนิดที่กำลังเกิดขึ้นกับเราโดยไม่รู้ตัว

นพ.วีระยุทธ บุญเกียรติเจริญ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอาชีวเวชศาสตร์ ประจำโรงพยาบาลเปาโลรังสิต เผยถึง สาเหตุของอาการ “ชา” ว่า สามารถเกิดได้หลายปัจจัยทั้งจากร่างกายที่ไม่ได้รับสารอาหารที่ต้องการและ โรค ภัย

ขาดวิตามินบี 1

เส้นประสาท ถูกกดทับเป็นเวลานาน สมองสั่งความรู้สึกการรับรู้ผิดปกติ โรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน

โรคผิวหนังบางชนิด เช่น งูสวัด โรคปลายประสาทอักเสบ

ผลข้างเคียงของยาบางชนิด

อาการที่เกิดขึ้น อาการเหน็บ ชา นั้นเกิดได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่นชาจนรู้สึกแสบร้อน เจ็บแปล๊บบริเวณผิว แม้ไม่เคยได้รับบาดเจ็บส่วนนั้นมาก่อนก็ตาม

คันยุบยิบเหมือนมีแมลงไต่บริเวณนั้น

ชาจนรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่ม

ชาจนรู้สึกว่าผิวหนังบริเวณนั้นหนากว่าปกติ

ชาจนไม่รู้สึกอะไรเลยบริเวณนั้น

ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ผู้ป่วย โรค กระดูกคอและกระดูกสันหลังเสื่อม คนที่ชอบนั่งท่าเดียวเป็นเวลานานๆ คนทำงานที่ต้องใช้ข้อมือ หรือ ยกของหนักบ่อยๆ

หากสังเกตตัวเองแล้วพบว่ามีอาการเหน็บชาบ่อยๆ เกิดอาการเหน็บชาเป็นประจำ เช่น ช่วงเวลาเช้าหรือก่อนนอน ควรมาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาให้ถูกสาเหตุของอาการ เพราะอาการเหน็บชานั้นเกิดได้จากหลายปัจจัยไม่ควรซื้อยากินเอง หรือปล่อยเอาไว้จนเป็นอาการเรื้อรัง