ครบเครื่อง
ญ. อมตะ
ครบเครื่อง ญ. อมตะ 11 กรกฎาคม 2563

นับถอยหลัง UAE ส่งยานสำรวจดาวอังคาร ส่องความพร้อมชาติอาหรับสู่ห้วงอวกาศ

นับถอยหลัง UAE ส่งยานสำรวจดาวอังคารสัปดาห์หน้า ย้อนรอยความพร้อมของอภิมหาโปรเจกต์การพัฒนาชาติอาหรับสู่ห้วงอวกาศ

สำนักงานอวกาศแห่งชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เตรียมส่งยานอวกาศ "อัล อะมาล" (Al Amal) ภาษาอาหรับที่มีความหมายว่า "ความหวัง" ไปโคจรรอบดาวอังคารเพื่อทำการสำรวจแล้วส่งข้อมูลกลับมายังโลก โดยจรวดของญี่ปุ่นที่บรรทุกยานอัล อะมาล จะถูกปล่อยออกจากฐานปล่อยจรวดบนเกาะทาเนกะชิมาของญี่ปุ่น ในวันพุธที่ (15 ก.ค.นับเป็นโครงการอวกาศแรกของชาติอาหรับที่ซึ่งทาง UAE ประกาศออกมาเมื่อปี 2557 โดยวิศวกรของโครงการระบุว่า ปกติแล้วโครงการแบบนี้จะใช้เวลาเป็น 10 ปีในการเตรียมความพร้อม แต่ UAE สามารถออกแบบ พัฒนา ผลิตเทคโนโลยี และทดสอบเรียบร้อยภายใน 6 ปี

โดยระบุว่า "อัล อะมาล" เป็นยานอวกาศแบบไร้คนขับ ติดตั้งอุปกรณ์สำคัญเพื่อการสำรวจชั้นบรรยากาศ อุปกรณ์ถ่ายภาพ อุปกรณ์ตรวจวัดแสงอินฟาเรด และอุปกรณ์วัดแสงอัลตราไวโอเลต ซึ่งจะให้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อความเข้าใจชั้นบรรยากาศของดาวอังคาร โดยจะมีการนำข้อมูลมาทำการพัฒนาแผนที่สภาพอากาศบนดาวอังคารขนาดเท่าของจริง ที่ลงลึกในรายละเอียดมากกว่าภาพถ่ายทั่วไป เนื่องจากสภาพอากาศเป็นระบบเดินทางไกลสู่ดาวแดง

ยานอัล อะมาล จะใช้เวลา 7 เดือน ในการเดินทาง 493 ล้านกิโลเมตร คาดว่าจะไปถึงดาวอังคารประมาณต้นปี 2564 จากนั้นจะเข้าสู่วงโคจร แล้วเริ่มการโคจรรอบดาวอังคารเป็นเวลา 687 วัน ซึ่งเท่ากับ "1 ปีของดาวอังคาร" เนื่องจากการโคจรรอบดาวอังคาร 1 รอบ ใช้เวลาถึง 55 ชั่วโมง

หัวหน้าโครงการระบุว่า ความยากของภารกิจนี้คือการที่ยาน "อัล อะมาล" เดินทางด้วยความเร็ว 121,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เมื่อไปถึงแล้วจะต้องใช้จรวดเพื่อชะลอความเร็วลงมาอยู่ที่ 18,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะเข้าสู่วงโคจรของดาวอังคาร ซึ่งทุกอย่างจะต้องมีความแม่นยำอย่างมากเมื่อหักลบความล่าช้า 12-20 นาทีของระบบการสื่อสารระหว่างยานกับศูนย์ควบคุมบนโลก

การสำรวจดาวอังคารนับเป็นภารกิจที่มีความยากและท้าทายสำหรับหลายประเทศ ตลอดช่วงเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา มีเพียงครึ่งหนึ่งของความพยายามทั้งหมดที่ประสบความสำเร็จ บ้างก็ล้มเหลวระหว่างการปล่อยขึ้นจากพื้นผิวโลก บ้างก็้ลมเหลวระหว่างการเข้าสู่วงโคจรดาวอังคาร ปัจจุบันมียานกำลังปฏิบัติภารกิจบนพื้นผิวและในวงโคจรดาวอังคาร จำนวน 7 ลำ หากโครงการส่งยาน "อัล อะมาล" ประสบความสำเร็จด้วยดีตามแผนการ ชาติอาหรับจะได้ร่วมเป็นหนึ่งกลุ่มไม่กี่ประเทศที่เคยประสบความสำเร็จในการสำรวจดาวอังคาร ได้แก่ สหรัฐฯ, อดีตสหภาพโซเวียต, สหภาพยุโรป และอินเดีย ขณะที่จีนตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะส่งยานสำรวจดาวอังคารในปีหน้า

ที่เกิดขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา 63)

ฝันให้ไกลไปให้ถึง

นับเป็นความทะเยอทะยานอย่างมากของชาติอาหรับในการออกไปสำรวจอวกาศ เนื่องจากสำนักงานอวกาศ UAE เพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2557 เท่านั้น แม้ว่าการสำรวจอวกาศจะถูกบรรจุลงในแผนพัฒนาประเทศระยะ 50 ปีฉบับล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

นอกจากนี้ สำนักงานอวกาศ UAE เปิดเผยว่า ยังมีแผนส่งคนไปตั้งถิ่นฐานดำรงชีวิตอยู่บนดาวอังคารในปี พ.ศ.2660 หรือในอีก 97 ปีข้างหน้า

ผู้อำนวยการโครงการสำรวจดาวอังคารของ UAE ระบุว่า โครงการนี้ตั้งเป้าเก็บข้อมูลใหม่ของดาวอังคาร และส่งเสริมอาชีพด้านวิศวกรรมอวกาศตลอดจนงานวิทยาศาสตร์ให้กับเยาวชนอาหรับ

ประธานาธิบดีเคาะลีฟะฮ์ บิน ซายิด อัลนะฮ์ยาน ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เปิดเผยว่า โครงการสำรวจดาวอังคารของ UAE นับเป็นความหวังของชาติอาหรับทุกประเทศในการเข้าสู่ยุคแห่งการสำรวจอวกาศ โดย UAE จะแสดงให้เห็นถึงความมีศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์เพื่อมวลมนุษยชาติ.

ที่มา : https://www.space.gov.ae/Page/20121/20167/Hope-Probe

Cr ภาพ: UAE Space Agency

ตั๊กแตนระบาดหนักในลาว ฤทธิ์เดชไม่ธรรมดา บินได้ไกล อพยพมาเป็นฝูงมหึมา

ทำเกษตรกรไทยเกิดความกังวลใจอยู่เฉยไม่ได้ เมื่อฝูงตั๊กแตนแพร่ระบาดอย่างหนักในพื้นที่ทางตอนเหนือของ สปป.ลาว ประเทศเพื่อนบ้านของไทย และได้สร้างความเสียหายให้กับพืชผลทางการเกษตรเป็นจำนวนมาก ภายหลังเมื่อต้นปีที่ผ่านมาฝูงตั๊กแตนได้ระบาดไปทั่วในแอฟริกา ก่อนลามมาในอินเดีย และปากีสถาน

• ศูนย์กลางการแพร่ระบาดของตั๊กแตนฝูงใหญ่ อยู่ในหมู่บ้านเพียงคั้ง-ห้วยเสียง และบ้านเฮาเหนือ เมืองซำเหนือ เมืองเอกของแขวงหัวพัน ในสปป.ลาว มีพรมแดนติดกับประเทศเวียดนาม ซึ่งสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขา เต็มไปด้วยป่าไผ่ มีอากาศหนาวเย็น และขณะนี้ฝูงตั๊กแตนบางส่วน ได้ระบาดเข้าไปในเวียดนามแล้ว

• ไทย ไม่นิ่งเฉย ทางกรมวิชาการเกษตร ดำเนินการสำรวจและเฝ้าระวังมาอย่างต่อเนื่องตามแนวชายแดนพื้นที่เสี่ยง ด้วยการใช้กับดักเหยื่อพิษ เพื่อตรวจเช็กชนิดตั๊กแตนว่าเป็นตั๊กแตนไผ่ที่มีการระบาดใน สปป.ลาวหรือไม่ และเป็นคนละชนิดกับตั๊กแตนทะเลทรายที่แพร่ระบาดในอินเดียและแอฟริกา

• ในปี 2472 มีการพบตั๊กแตนไผ่ ครั้งแรกในมณฑลเสฉวน หูเป่ย เกียงสู หูหนาน เกียงสี ฝูเจียน และกวางตุ้ง ของจีน ก่อนระบาดหนักในช่วงปี 2478-2479 สร้างความเสียหายให้กับพืชตระกูลไผ่ ตระกูลหญ้า ตระกูลปาล์ม ข้าว และข้าวโพด ต่อมาพบในไทย เมื่อปี 2512 พื้นที่ จ.เชียงใหม่ และสุพรรณบุรี โชคดีไม่มีการแพร่ระบาดในประเทศ

• ไทยอากาศร้อนชื้น ไม่เหมาะกับการขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ของตั๊กแตนไผ่ และตั๊กแตนทะเลทราย มีแนวโน้มจะไม่เข้ามาระบาดในไทย จากการยืนยันของกรมวิชาการเกษตร แต่ไม่ประมาทได้ติดตามสถานการณ์ โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง จ.เชียงราย พะเยา น่าน และเลย ซึ่งมีพรมแดนติดกับ สปป.ลาว

• หากพบตั๊กแตนไผ่เข้ามาในไทย มีวิธีการกำจัดโดยใช้สาร อีโทเฟนพรอกซ์ 20% EC ในอัตรา 40 มล./น้ำ 20 ลิตร หรือเดลทาเมทริน 3% EC อัตรา 20 มล./น้ำ 20 ลิตร หรือแลมป์ดาไซฮาโลทริน 2.5% EC อัตรา 20 มล./น้ำ 20 ลิตร

• การกำจัดโดยนำมาบริโภคด้วยการทอดกรอบ เหยาะด้วยซอส อย่างตั๊กแตนปาทังก้า ไม่เป็นที่นิยม เพราะตั๊กแตนไผ่รสชาติขม มีกลิ่นเหม็น และชอบกลิ่นปัสสาวะของมนุษย์ จึงเป็นที่มาในการนำแอมโมเนียมาใช้ เพื่อล่อดักตั๊กแตนไผ่

• นายศรุต สุทธิอารมณ์ ผอ.สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยยืนยันโอกาสที่ตั๊กแตนไผ่และตั๊กแตนทะเลทรายจะระบาดในไทยไม่น่าจะมี และจากการศึกษาในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา "ตั๊กแตนไผ่" ระบาดวนเวียนในพื้นที่เดิมๆ ทางตอนเหนือของสปป.ลาว ลักษณะเหมือนเด้งไป เด้งมา ชอบกินไผ่เป็นอาหาร ซึ่งไทยไม่มีป่าไผ่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งเส้นทางจากศูนย์กลางการระบาดในเมืองซำเหนือ ซึ่งอยู่เหนือประเทศไทย ยังห่างไกลมากจากชายแดนไทย

“ในอดีตตั๊กแตนไผ่ เคยระบาดทางจีนตอนใต้ จนกระทั่งเข้ามาลาวทางเหนือ และเวียดนาม เป็นพื้นที่อากาศเย็น เมื่อกินไผ่ของโปรดจนหมด ก็อพยพมาเป็นฝูงเคลื่อนตัวมากินไผ่ในพื้นที่แห่งใหม่ บางครั้งก็กินข้าวโพด หากไม่มีไผ่กิน ส่วนไทยน่าจะไว้ใจได้จะไม่มีการระบาด เพราะอากาศไม่เย็นพอ และไม่มีป่าไผ่ ยกเว้นมีพายุพัดตั๊กแตนชนิดนี้เข้ามา แต่โอกาสแทบไม่มีเลย และได้วางกับดักเหยื่อพิษ ตามพื้นที่เสี่ยงแนวชายแดนไทยช่วงตั้งแต่เชียงราย ไปถึงน่าน เพื่อเฝ้าระวัง”

สำหรับธรรมชาติของตั๊กแตนไผ่ ชอบอากาศเย็น ซึ่งจะเอื้อต่อการแพร่ระบาดเป็นกลุ่ม และจะปรับสภาพให้สามารถบินได้ไกลได้ หากอาหารในแหล่งที่เคยอาศัยหมดไป สามารถบินได้ไกล 10 กิโลเมตร ก่อนหยุดพักและวางไข่ แล้วบินไปต่อ แม้ตั๊กแตนไผ่จะอพยพในลักษณะเป็นฝูง แต่การระบาดจะน้อยไม่เกิน 5% หากเทียบกับตั๊กแตนทะเลทรายที่ระบาดในแอฟริกาใต้ และลามเป็นวงกว้างไปอินเดีย ปากีสถาน มีระยะเวลาการระบาดยาวนาน 4 ปี และอีก 10 ปี จะกลับมาระบาดใหม่อีก

ผอ.สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช คาดว่าตั๊กแตนไผ่ อาจมีอยู่ในไทยบ้างในลักษณะแบบเดี่ยว ไม่อยู่รวมเป็นฝูง ทำให้เชื่อว่าจะไม่มีการระบาดอย่างแน่นอน และที่ผ่านมาไม่มีข้อมูลตั๊กแตนทะเลทรายระบาดในไทยเช่นกัน ยกเว้นตั๊กแตนปาทังก้า เคยระบาดในไทยเมื่อ 40-50 ปีก่อน ซึ่งลักษณะการระบาดเหมือนตั๊กแตนทะเลทราย และเมื่อคนไทยนิยมนำตั๊กแตนปาทังก้า มาทอดรับประทานกันมากขึ้น ได้ทำให้ตั๊กแตนชนิดนี้หายาก ส่วนตั๊กแตนไผ่ พบว่าชาวลาวไม่รับประทาน เนื่องจากรสชาติไม่ดีค่อนข้างแข็ง และมีกลิ่นเหม็น.

ภาพจาก : ศรุต สุทธิอารมณ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช