ความนิยมของหมูเด้ง หรือที่ทั่วโลกรู้จักกันในชื่อ Moo Deng ซึ่งส่งผลกระทบไปทั่วทั้งโลก รวมถึงเกม Final Fantasy 14 ด้วย ทำให้ราคาลูกฮิปโปภายในเกมบางเซิร์ฟเวอร์กระโดดพุ่งกว่าปกติถึง 900 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
ในเวลานี้คงสามารถกล่าวได้ว่า หมูเด้ง (Moo Deng) ได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่คนทั้งโลกหลงรักเรียบร้อยแล้ว ด้วยกระแสความร้อนแรงของหมูเด้ง ไม่น่าเชื่อว่าจะส่งผลต่อลูกฮิปโปในเกมออนไลน์อย่าง Final Fantasy 14 ด้วย
ชุมชนผู้เล่นเกม Final Fantasy 14 รายหนึ่งโพสต์ข้อความว่า กระแสไวรัลของหมูเด้งที่เกิดขึ้นไปทั่วโลก ได้ส่งผลต่อชุมชนเกม Final Fantasy 14 โดยตัวเขาสังเกตว่า จากเดิมฮิปโปจิ๋วมีราคาในเกมอยู่ที่ 17,400 - 30,000 gil แต่ตอนนี้ในบางเซิร์ฟเวอร์ก็มีราคากระฉูดถึง 300,000 gil นั่นจึงทำให้ผู้เล่นบางคนเริ่มหาวิธีการม็อด (Mod) เพื่อนำหมูเด้งมาใช้ในเกมอย่างไม่เป็นทางการ
อันที่จริงไม่ได้มีแค่เกมเมอร์ในชุมชนผู้เล่นเกม Final Fantasy 14 เท่านั้นที่คลั่งไคล้หมูเด้ง เพราะแม้แต่ Square Enix บริษัทผู้พัฒนาเกม Final Fantasy 14 ก็ร่วมโหนกระแสความร้อนแรงของน้องหมูเด้งเช่นกัน โดยเป็นภาพของหมูเด้งซึ่งกำลังอ้าปากกว้างในขณะที่มีน้ำกระเซ็นใส่
ที่มา: GameRadar
เวลานั่งทำงานท่าเดิมหรือจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน หลายคนอาจเคยมีอาการปวดเมื่อยที่หลัง สะโพก คอ บ่า ไหล่ จนบางครั้งอาการปวดตึงลามขึ้นศีรษะทำให้กระทบการทำงานและการใช้ชีวิตกันมาบ้าง หากมีอาการเหล่านี้ แสดงว่าคุณกำลังเสี่ยงเป็น “ออฟฟิศซินโดรม” (Office Syndrome) โรคยอดฮิตของวัยทำงาน
ทั้งหมดนี้เป็นกลุ่มอาการเจ็บป่วยยอดฮิตจากโลกการทำงานที่รวมอาการอักเสบของกล้ามเนื้อคอ ไหล่ และหลัง ซึ่งเกิดจากการหดเกร็งและใช้งานกล้ามเนื้อในท่าทางที่ไม่ถูกสุขลักษณะเป็นเวลานาน โดยอิริยาบถที่ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งเป็นเวลานานๆ อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงขึ้น เช่น กระดูกสันหลังทับเส้นประสาท หรืออาการปวดรุนแรงและเรื้อรังที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ดังนั้น ชาวออฟฟิศจึงควรหาแนวทางป้องกันไม่ให้โรคมีความรุนแรงจนเสี่ยงหลายโรคร้ายตามมา
การป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรมป้องกันได้ไม่ยาก แค่ปรับพฤติกรรม สามารถทำได้ด้วยการปรับท่าทางการนั่งทำงานให้ถูกต้อง เช่น นั่งหลังตรง ปรับระดับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา คอยลุกเดินขยับร่างกาย และยืดเหยียดกล้ามเนื้อทุกๆ 30 นาที โดยหนึ่งในเคล็ดลับที่สามารถป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรมได้เป็นอย่างดี คือการออกกำลังกายที่เน้นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อในระหว่างการนั่งทำงาน และวันนี้ บริษัท ฟิตเนส อินโนเวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (FIT®) สถาบันฝึกอบรมที่ให้ความรู้และสถานที่ฝึกสอนการออกกำลังกาย รวมถึงออกใบประกาศนียบัตรวิชาชีพที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะมาแนะนำท่ายืดง่ายๆ ที่ทุกคนทำได้เองทั้งที่บ้านและที่ทำงาน ซึ่งสามารถช่วยลดอาการปวดตึงกล้ามเนื้อและปรับสมดุลให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
1. การบริหารกล้ามเนื้อช่วงคอ
โดยนั่งหลังตรง โน้มศีรษะไปด้านหน้าเล็กน้อย และหมุนออกด้านขวาช้า ๆ ค้างไว้ประมาณ 10 วินาที และทำเหมือนเดิมในด้านซ้าย ด้านละ 3 ครั้ง ต่อไปเป็นการยืดคอด้านข้างด้วยการหันหน้าไปทางขวาค้างไว้ 10 วินาทีและทำแบบเดิมกับด้านซ้าย ทั้งสองท่าจะช่วยคลายความตึงที่คอและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กระดูกสันหลังส่วนบน
2. การยืดกล้ามเนื้อด้านข้างลำตัว
เป็นบริเวณที่มักปวดตึงเวลานั่งนานๆ ซึ่งสามารถคลายได้ด้วยการนั่งหลังตรง หายใจเข้าพร้อมประสานมือขึ้นเหนือศีรษะ งอศอกได้เล็กน้อย และหายใจออกเอียงตัวไปทางขวา กลับมานั่งตรงพร้อมหายใจเข้าและเอียงไปทางซ้าย ทำสลับข้าง 3-5 ครั้ง อาการตึงข้างลำตัวจะคลายลง
3. การยืดลำตัวด้านหลังและด้านหน้า
เพียงนำมือทั้ง 2 ข้าง มาจับที่หัวเข่าด้านหน้า หายใจเข้ายืดตัวตรงขยายทรวงอกขึ้น ยืดคอให้ยาว ยืดคาง เงยหน้าเล็กน้อย เพื่อยืดลำตัวด้านหน้า จากนั้นหายใจออก แขม่วหน้าท้อง โค้งตัวงอไปด้านหลัง พร้อมกับค่อยๆ กดคอลงมาใกล้หน้าอก เพื่อยืดลำตัวด้านหลัง ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง เพิ่มความยืดหยุ่นให้กระดูกสันหลังส่วนกลาง
โรคออฟฟิศซินโดรม แม้จะเป็นภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของชาวออฟฟิศ แต่ก็สามารถป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เพียงหาเวลาลุกเดินและยืดเส้นทุกวันด้วยท่าที่ทำง่ายๆ ทุกที่ทุกเวลา เท่านี้ก็จะช่วยรักษาสุขภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานในระยะยาว
หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่สนใจสุขภาพและอยากพบปะผู้เชี่ยวชาญจากวงการฟิตเนสทั่วโลก เอเชีย ฟิตเนส คอนเฟอเรนซ์ 2024 พบกับเวิร์กชอปและคลาสออกกำลังกายจากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในวงการฟิตเนสทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการสาธิตท่าบริหารง่ายๆ ที่สามารถทำได้ที่บ้าน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง เพิ่มการขยับข้อต่อ และปรับสมดุลร่างกาย นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาและการแนะนำเทคนิคการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเฉพาะด้านอีกด้วย
ป่าฮาลา-บาลา ไม่ใช่แค่เพียงป่า แต่เป็นมรดกทางธรรมชาติที่สำคัญยิ่งของประเทศไทย ด้วยความหลากหลายทางที่สูงและความสวยงามของธรรมชาติ ทำให้ป่าแห่งนี้เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
"ป่าฮาลา - บาลา" อยู่ในการดูแลของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา ตั้งอยู่บริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดยะลาและนราธิวาส เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาสันกาลาคีรี ได้รับการจัดตั้งอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2539 มีเนื้อที่ประมาณ 391,698 ไร่
แม้ชื่อ "ฮาลา-บาลา" จะฟังดูเป็นหนึ่งเดียว แต่จริงๆ แล้วเป็นผืนป่าที่ไม่ต่อเนื่องกัน โดยป่าฮาลาอยู่ในเขตอำเภอเบตง จังหวัดยะลา และอำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส ส่วนป่าบาลาครอบคลุมอำเภอแว้งและอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส ชื่อเรียกอาจแตกต่างกันไปตามพื้นที่ โดยชาวนราธิวาสนิยมเรียก "บาลา-ฮาลา" ขณะที่ชาวยะลาเรียก "ฮาลา-บาลา". ซึ่งชื่อ "บาลา-ฮาลา" มีรากศัพท์จากภาษามลายู โดยรวมแล้วหมายถึง "ทิศทางของการอพยพของกลุ่มคน" สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของพื้นที่
ป่าฮาลา-บาลาเป็นป่าฝนเขตร้อนชื้นที่อยู่ใต้สุดของประเทศไทย มีฝนตกตลอดทั้งปี ทำให้มีความอุดมสมบูรณ์สูง เป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญ ทั้งพืชพันธุ์หายากและสัตว์ป่านานาชนิด ที่โดดเด่นที่สุดคือการเป็นถิ่นที่อยู่ของนกเงือกถึง 10 ชนิด จากทั้งหมด 13 ชนิดที่พบในประเทศไทย ทำให้ป่าฮาลา-บาลาเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายของนกเงือกมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพ ป่าฮาลา-บาลาจึงเป็นสมบัติล้ำค่าที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และศึกษาเพื่อประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์และระบบนิเวศในอนาคต
ผืนป่าฮาลา-บาลา นอดจากจะมีความหลากหลายทางชีวภาพเป็นบ้านของพืชพันธุ์และสัตว์ป่านานาชนิด โดยเฉพาะนกเงือก ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของป่าแห่งนี้ และยังเป็นต้นน้ำลำธารที่หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในพื้นที่ อีกทั้งรากของพืชในป่าช่วยยึดดินและป้องกันการเกิดดินถล่ม และป่าช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน ป่าฮาลา-บาลาจึงเป็นห้องเรียนธรรมชาติที่สำคัญสำหรับการศึกษาและวิจัยของผู้รักธรรมชาติอย่างแท้จริง
ที่มา ประชาสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
เมื่อพบผู้ป่วยหมดสติ หัวใจหยุดเต้น !!!แพทย์แนะ ต้องรีบช่วย CPR ทุกวินาทีมีคุณค่า พลิกโอกาสรอดชีวิต
หลายๆ คนอาจยังไม่เคยเตรียมตัวหรือเตรียมใจ เมื่อสมาชิกในบ้านหรือคนใกล้ตัวหมดสติกะทันหันจากภาวะหัวใจหยุดเต้น !!! ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัน เราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร และเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว ทุกวินาทีของการช่วยเหลือมีค่ามาก เพราะมันหมายถึงโอกาสรอดชีวิตที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นการทำ CPR กู้ชีพช่วยผู้ป่วยขั้นพื้นฐาน จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเรียนรู้ เพื่อจะได้ช่วยเหลือคนที่เรารักได้อย่างทันท่วงที และสามารถทำให้ผู้ป่วยรอดชีวิตได้เพิ่มขึ้น
นพ.วิสุทธิ์ เกตุแก้ว อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันเราจะพบผู้ป่วยหมดสติ หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันสูงขึ้นเฉลี่ย 50-80 คนต่อประชากร 100,000 คนต่อปี ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันพบได้ทุกช่วงอายุ แต่พบบ่อยในผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง 2 เท่า ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกสถานที่และทุกเวลา โดยที่ไม่มีสัญญาณเตือนนำมาก่อน สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น หมดสติ ส่วนใหญ่มาจาก โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ยิ่งผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง หรือสูบบุหรี่ จะยิ่งมีโอกาสเกิดภาวะนี้ได้มากขึ้น
ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรักษาทันที หากปล่อยไว้นานโอกาสรอดชีวิตจะลดลง ดังนั้นเมื่อพบเห็นผู้หมดสติ และสงสัยภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน การทำ CPR จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะการทำ CPR ที่ถูกต้องและรวดเร็วจะสามารถทำให้คนไข้รอดชีวิตสูงขึ้นถึง 75%
นพ.วิสุทธิ์ เกตุแก้ว ให้ข้อมูลต่อว่า การทำ CPR (Cardiopulmonary resuscitation) คือการช่วยเหลือผู้ป่วยหมดสติ หัวใจหยุดเต้น โดยขั้นตอนสำคัญของการทำ CPR อยู่ที่การใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจ (AED) และการกดหน้าอกปั๊มหัวใจ ที่ต้องทำให้รวดเร็วและทันเวลา เพราะโดยปกติถ้าหัวใจหยุดเต้น เลือดจะไม่ไหลเวียนไปเลี้ยงสมองและหัวใจ ส่งผลให้สมองและหัวใจเสียหาย โดยทั่วไปสมองจะขาดเลือดได้ประมาณ 4-6 นาที ถ้าสมองขาดเลือดนานกว่านี้ จะมีโอกาสที่เนื้อสมองจะเสียหายหรือเกิดภาวะสมองตายได้ ดังนั้นหากพบว่าคนไข้หมดสติ หัวใจหยุดเต้น เมื่อเราทำการประเมินเบื้องต้นแล้ว ต้องรีบช่วยกู้ชีพคนไข้ด้วยการทำ CPR ทันที เพราะการทำ CPR จะช่วยกระตุ้นให้หัวใจกลับมาทำงาน และสามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองได้
โดยวิธีการทำ CPR กู้ชีพคนไข้ที่ถูกต้องมีดังนี้ คือ
1. เมื่อพบผู้ป่วยหมดสติ อย่าเพิ่งตกใจ ให้ประเมินความปลอดภัยของสถานที่เกิดเหตุก่อนเป็นอันดับแรก โดยตรวจดูบริเวณรอบๆ ก่อนเข้าไปช่วยเหลือ เช่น สายไฟฟ้าที่ช็อตอยู่จุดใด บริเวณนั้นใกล้แหล่งน้ำหรือไม่ มีรถสัญจรหรือเปล่า จะได้ไม่เกิดอันตรายซ้ำ หลังจากนั้นให้ปลุกเรียกผู้ป่วยด้วยการตบไหล่ทั้งสองข้างและเรียกเสียงดังๆ หากยังไม่รู้สึกตัว ให้นึกถึงภาวะหัวใจหยุดเต้นและรีบทำตามขั้นตอนต่อไปโดยทันที
2. รีบโทรขอความช่วยเหลือที่สายด่วน 1669 โดยแจ้งอาการผู้ป่วย สถานที่เกิดเหตุ ชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของผู้แจ้ง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับหากหาที่เกิดเหตุไม่เจอ รวมถึงแจ้งรายละเอียดของผู้ป่วย เช่น อาการ สถานที่ที่พบ เส้นทางที่เดินทางมาได้สะดวก หากอยู่เพียงลำพัง อย่าทิ้งผู้ป่วยไปไหน ให้เปิดลำโพงโทรศัพท์ เพื่อสื่อสารและรับฟังคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่กู้ชีพ หากแถวนั้นมีเครื่อง AED ให้ผู้ช่วยเหลือท่านอื่นรีบนำเครื่อง AED มาด้วย
3. ให้ประเมินการหายใจโดยการดู ถ้าพบว่าผู้หมดสติไม่หายใจ หรือหายใจเฮือก ให้รีบทำการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) ด้วยการกดหน้าอก โดยให้คุกเข่าบริเวณข้างลำตัวผู้ป่วยในระดับไหล่ จัดท่าผู้ป่วยนอนหงาย จากนั้นให้วางส้นมือข้างที่ถนัดตรงครึ่งล่างของกระดูกหน้าอก และวางมืออีกข้างทับประสานกันไว้ เริ่มการกดหน้าอกด้วยความลึก 5-6 เซนติเมตร ในอัตราเร็ว 100 - 120 ครั้งต่อนาที โดยจังหวะที่มือเคลื่อนที่ขึ้น ต้องให้ทรวงอกขยายตัวจนสุด และมือไม่เด้งออกจากหน้าอกของผู้ป่วย
4. เมื่อเครื่อง AED มาถึง ให้ผู้ช่วยเหลืออีกคนหนึ่งรีบเปิดเครื่อง AED และปฏิบัติตามคำแนะนำของเครื่อง โดยทั่วไปเครื่อง AED จะสั่งให้ถอดเสื้อผู้ป่วยออกเพื่อติดแผ่นนำไฟฟ้าทั้ง 2 แผ่น ที่บริเวณใต้กระดูกไหปลาร้าด้านขวาและชายโครงด้านซ้ายบริเวณใต้ราวนม อนึ่ง หากผู้ป่วยตัวเปียกจะต้องเช็ดจุดที่จะแปะแผ่นนำไฟฟ้าให้แห้งก่อน หรือหากมีขนเยอะก็ให้โกนขนบริเวณจุดที่จะแปะออกก่อน เพื่อให้แผ่นนำไฟฟ้าสัมผัสกับผิวหนังผู้ป่วยอย่างแนบสนิท
5. เมื่อแปะแผ่นนำไฟฟ้าแล้ว เครื่องจะแจ้งว่า “กำลังวิเคราะห์การเต้นของหัวใจ ห้ามสัมผัสตัวผู้ป่วย” เมื่อถึงขั้นตอนนี้ให้ผู้ช่วยเหลือหยุดการกดหน้าอกและรอจนกว่าเครื่องจะให้คำสั่งต่อไป
6. หลังจากเครื่องวิเคราะห์เสร็จ ถ้าเครื่องมีคำสั่งว่า “ไม่แนะนำให้ช็อก ให้เริ่มทำ CPR ต่อ” ให้ผู้ช่วยเหลือทำการกดหน้าอกต่อไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเครื่องมีคำสั่งว่า “แนะนำให้ช็อก ห้ามสัมผัสตัวผู้ป่วย” เครื่องจะมีเสียงติ๊ดยาวๆ และเครื่องจะสั่งให้ผู้ช่วยเหลือ “กดปุ่มกระตุ้นหัวใจ” ให้พูดเสียงดังๆ ว่า “ฉันถอย คุณถอย ทุกคนถอย” และต้องแน่ใจว่าไม่มีใครสัมผัสกับผู้ป่วย ก่อนที่จะทำการกดปุ่มช็อกไฟฟ้า เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ผู้ช่วยเหลือถูกช็อกไปด้วย
7. หลังจากนั้นให้ทำการกดหน้าอกต่อไปจนกว่าทีมกู้ชีพจะมาถึง และเมื่อครบเวลา 2 นาที เครื่อง AED จะทำการวิเคราะห์คลื่นไฟฟ้าหัวใจใหม่ ให้ย้อนกลับไปทำตามขั้นตอนที่ 6 อีกครั้ง
นพ.วิสุทธิ์ เกตุแก้ว กล่าวปิดท้าย การทำ CPR กู้ชีพคนไข้ มีความสำคัญมาก เพราะหากคนไข้ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันเวลา จะสามารถเปลี่ยนนาทีชีวิตคนไข้ให้ฟื้นคืนชีพมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง ดังนั้นจึงอยากฝากถึงทุกๆ คนว่า เมื่อพบเจอคนในครอบครัว เพื่อนสนิทหรือบุคคลทั่วไป หมดสติและหยุดหายใจ ต้องนึกถึงภาวะหัวใจหยุดเต้นเสมอ รวมถึงอย่ากลัวที่จะใช้เครื่อง AED และให้รีบกดหน้าอกทันที เพราะสิ่งที่เราทำสามารถเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับผู้ป่วยได้
น่ารักไม่แพ้ “น้องหมูเด้ง” สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จังหวัดชลบุรี ที่ยังคงความฮอตน่ารัก ตกนักท่องเที่ยวจนกลายเป็นไวรัลไปทั่วโลก
ล่าสุด สวนสัตว์ขอนแก่นจัดอ่างน้ำให้ “น้องหมูด้วง” หลาน “หมูเด้ง” พร้อมของเล่นมะพร้าวแก่เพื่อเสริมพฤติกรรมสัตว์
โดยเมื่อวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา นางทิพาวดี กิตติคุณ ผู้อำนวยการสวนสัตว์ขอนแก่น นำอ่างน้ำเสมือนเป็น “อ่างจากุชชี่” มาตั้งไว้ที่บริเวณส่วนจัดแสดงฮิปโปโปเตมัสแคระ เพื่อให้ “หมูด้วง” หลาน “หมูเด้ง” เล่นสนุก ทั้งยังส่งเสริมพฤติกรรมสัตว์ด้วยการนำมะพร้าวแก่มาให้หมูด้วงเล่นอีกด้วย
นางทิพาวดีเผยว่า น้องหมูด้วง ลูกฮิปโปโปเตมัสแคระ เพศผู้ เกิดเมื่อวันที่ 15 เม.ย.ที่ผ่านมา ตอนแรกเกิดมีรูปร่างอวบคล้ายหมู คอและลำตัวมีลักษณะย่นๆ เป็นปล้อง เจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์จึงเรียกว่า “ด้วงมะพร้าว” หรือ “หมูด้วง” อายุครบ 5 เดือน เมื่อวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา งานส่งเสริมพฤติกรรมและสวัสดิภาพสัตว์ ฝ่ายบำรุงสัตว์ สวนสัตว์ขอนแก่น จัดเตรียมผักสดสับ ต้นผักบุ้ง มะพร้าวแก่ และอ่างจากุชชี่ให้ “หมูด้วง” หรือ “ด้วงมะพร้าว” กินอย่างเอร็ดอร่อยและเล่นของเล่นอย่างสนุกสนาน โดยอยู่กับแม่ภายในส่วนจัดแสดง เพื่อมอบเป็นของขวัญอายุครบ 5 เดือน
นางทิพาวดีกล่าวต่อว่า “หมูด้วง” เกิดเมื่อวันที่ 15 เม.ย.2567 จากพ่อพันธุ์ชื่อณเดช อายุ 14 ปี และแม่พันธุ์ชื่อญาญ่า อายุ 19 ปี “หมูด้วง” มีศักดิ์เป็นหลานของ “หมูเด้ง” ซึ่งพ่อพันธุ์ ณเดช เกิดจากแม่พันธุ์ “โจน่า” แม่พันธุ์เดียวกันกับ “หมูเด้ง” จึงอยากเชิญชวนนักท่องเที่ยวในพื้นที่ใกล้เคียงจังหวัดขอนแก่นมาชมความน่ารักของ “หมูด้วง” หรือ “ด้วงมะพร้าว” ลูกฮิปโปโปเตมัสแคระ ที่สวนสัตว์ขอนแก่น เปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.
จักรพันธ์ นาทันริ...