ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



ครบเครื่อง ญ.อมตะ 31 กรกฎาคม 2564

เบซอสเสนอส่วนลด 2 พันล้านดอลล์ หวังคว้าสัญญาสร้างยานไปดวงจันทร์

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม นายเจฟฟ์ เบซอส เจ้าของบริษัทบลูออริจินเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) เพื่อเสนอส่วนลดมูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์ (65,900 ล้านบาท) สำหรับการอนุมัติให้บริษัทของนายเบซอสสร้างยานไปดวงจันทร์

องค์การนาซาได้ให้สัญญาระบบลงจอดของมนุษย์ (เอชแอลเอส) ที่มีมูลค่า 2,900 ล้านดอลลาร์ (95,555 ล้านบาท) กับบริษัทสเปซเอ็กซ์ของนายอีลอน มัสก์ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่บริษัทบลูออริจินและบริษัทไดเนติกส์ยื่นประท้วงซึ่งขณะนี้กำลังรอคำพิพากษาจากสำนักงานตรวจสอบบัญชีของรัฐบาลสหรัฐฯ

ภายในจดหมายถึงนายบิลล์ เนลสัน ผู้อำนวยการองค์การนาซาระบุว่า ข้อเสนอดังกล่าวจะเป็นเหมือนสะพานเชื่อมการขาดเงินทุน ซึ่งจะทำให้นาซาเลือกผู้รับเหมาเพียงรายเดียว แทนที่จะเป็นสองรายซึ่งจะแข่งขันกันเอง

นับตั้งแต่บลูออริจินไม่ได้รับสัญญาดังกล่าว นายเบซอสพยายามล็อบบี้อย่างบ้าคลั่งเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงผลการตัดสินดังกล่าว และส่งผลให้วุฒิสภาผ่านร่างกฎหมายที่ตกลงที่จะเพิ่มเงินจำนวน 10,000 ล้านดอลลาร์ (329,500 ล้านบาท) ให้กับระบบลงจอดของมนุษย์ แต่กฎหมายยังคงถูกถกเถียงกันในสภา และถูกวิจารณ์ว่าเป็นเงินช่วยเหลือของเบซอส

นอกจากนี้นายเบซอสเขียนว่าข้อดีของยานสำหรับลงจอดบลูมูนของบลูออริจินคือการใช้ไฮโดรเจนเหลวเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งสามารถขุดได้จากน้ำแข็งบนดวงจันทร์ตามแผนการขององค์การนาซา ที่จะใช้ดวงจันทร์เพื่อเติมเชื้อเพลิงจรวดสำหรับปฏิบัติการอื่นในระบบสุริยะ และเสริมว่าบริษัทจะทดสอบยานลงจอดนี้ในวงโคจรรอบโลกด้วยเงินของบริษัทเองอีกด้วย


รัสเซียอวดบินรบล่องหนรุ่นใหม่-โวทดสอบS-500สำเร็จ

กองทัพรัสเซียอวดโฉมหน้าของเครื่องบินรบล่องหน "เช็กเมต" เจเนอเรชันใหม่ให้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ได้ยลก่อนเปิดตัวในงานแอร์โชว์เมื่อวันอังคาร หลังจากเพิ่งประกาศความสำเร็จในการทดสอบระบบป้องกันขีปนาวุธเอส-500 กับมิสไซล์ครูซไฮเปอร์โซนิก

รายงานเอเอฟพีกล่าวว่า ประธานาธิบดีปูตินไปเยี่ยมชมเครื่องบินรบล่องหน ซูคอย แอลทีเอส เช็กเมต ลำนี้ที่โรงเก็บเครื่องบินนอกกรุงมอสโกในวันอังคารที่ 20 กรกฎาคม ก่อนหน้าที่รัสเซียจะเปิดเผยโฉมหน้าเครื่องบินรบสเตลธ์รุ่นใหม่ลำนี้ต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการในวันเดียวกัน โดยผู้บริหารของรอสเท็ก บริษัทเทคโนโลยีกลาโหมยักษ์ใหญ่เป็นผู้นำชม

รอสเท็กบรรยายถึงเครื่องบินรบลำนี้ว่าเป็นเครื่องบินขับไล่ขนาดเบาแบบเครื่องยนต์เดียวรุ่นที่ 5 ที่รวบรวมนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงระบบเอไอ อย่างไรก็ดีในงานแสดงการบิน MAKS ครั้งนี้ เช็กเมตจะไม่ได้บินโชว์

ด้านประธานาธิบดีปูตินชมเชยว่า การบินของรัสเซียมีศักยภาพในการพัฒนาอย่างมาก และอุตสาหกรรมอากาศยานก็ยังคงสร้างอากาศที่สามารถแข่งขันรุ่นใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง

ช่วงเวลา 2 ทศวรรษที่เขาครองอำนาจ ปูตินมุ่งมั่นทุ่มเทงบประมาณกับกองทัพและการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ๆ กองทัพรัสเซียก็โอ้อวดเรื่องการพัฒนาอาวุธหลายชนิดที่สามารถหลบเลี่ยงระบบป้องกันที่มีอยู่ในปัจจุบันได้ อาทิ ขีปนาวุธข้ามทวีปซาร์มัต และมิสไซล์ครูซบูเรเวสต์นิก

เมื่อวันอังคาร กระทรวงกลาโหมรัสเซียเพิ่งประกาศความสำเร็จของการทดสอบระบบมิสไซล์ป้องกันภัยทางอากาศ เอส-500 ซึ่งยิงโดนเป้าหมายที่เป็นขีปนาวุธความเร็วสูง ที่สนามทดสอบคาปุสตินยาร์ทางใต้ของรัสเซีย

รัสเซียกล่าวว่า เอส-500 ซึ่งเป็นรุ่นต่อจากเอส-400 และคาดกันว่ามีพิสัยไกลสุด 600 กิโลเมตร เป็นระบบต่อต้านมิสไซล์ที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก และสามารถตอบโต้การโจมตีจากอวกาศได้ด้วย

ในวันจันทร์ รัสเซียเพิ่งคุยว่าประสบความสำเร็จในการทดสอบมิสไซล์ครูซไฮเปอร์โซนิก "เซอร์คอน" ที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบมิสไซล์เจเนอเรชันใหม่ของรัสเซีย ที่ปูตินคุยไว้ว่า "ไร้เทียมทาน".


ครม. อนุมัติ ใช้ยาฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโควิด-19 ที่ยังไม่แสดงอาการ

คณะรัฐมนตรี อนุมัติการใช้ยาฟ้าทะลายโจรในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่ยังไม่มีอาการ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการรักษาและลดภาระของระบบสาธารณสุข

วันที่ 27 กรกฎาคม 2564 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบหลักการส่งเสริมการใช้ยาฟ้าทะลายโจรในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่ยังไม่มีอาการ เพื่อเป็นทางเลือกในการรักษาและลดภาระระบบสาธารณสุข ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ

ที่ผ่านมากรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินการมาตรการเชิงป้องกันความรุนแรงของโรคโควิด-19 ด้วยการใช้ยาฟ้าทะลายโจร ซึ่งมีสารแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) ที่มีศักยภาพในการป้องกันเชื้อไวรัสเข้าสู่เซลล์และลดการแบ่งตัวของไวรัส ใช้รักษาในกลุ่มผู้ต้องขังที่มีอาการไม่รุนแรง จำนวน 1.18 หมื่นคน พบว่าได้ผลดีสามารถรักษาผู้ต้องขังหายแล้ว ร้อยละ 99.02 จากยอดผู้ต้องขังที่ติดเชื้อโควิด-19

ซึ่งปัจจุบันกระทรวงยุติธรรมได้มอบหมายให้เรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศปลูกสมุนไพรประเภทต่างๆ โดยเน้นการปลูกฟ้าทะลายโจรและกระชายขาวเป็นหลักในพื้นที่ 141 ไร่ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นเพื่อช่วยผู้ต้องขังในเรือนจำที่ติดเชื้อโควิค-19 และโรคอื่นๆ รวมทั้งเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับประชาชนทั่วไปด้วย

น.ส.รัชดา กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังได้กำชับถึงการส่งเสริมใช้ยาฟ้าทะลายโจรในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่ยังไม่มีอาการ จะต้องชี้แจงแนวทางให้ชัดเจน เช่น แนวทางการรักษา ปริมาณยาที่เหมาะสมต่ออาการของผู้ป่วย ข้อควรระวัง อาการข้างเคียง แนวทางการผลิตและจัดจำหน่าย เป็นต้น

ซึ่งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าปริมาณยาฟ้าทะลายโจรที่เหมาะสม จะต้องมีปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ที่ผู้ป่วยควรได้รับปริมาณ 180 มิลลิกรัมต่อวัน โดยแบ่งเป็น 60 มิลลิกรัมต่อมื้ออาหาร จึงจะได้ผลชัดเจน

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์พิจารณาหาแนวทางมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้มีการกักตุนสินค้ายาฟ้าทะลายโจร ตลอดจนควบคุมราคาของยาฟ้าทะลายโจรและสมุนไพรอื่นๆ ให้มีความเหมาะสมและไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน

ฟ้าทะลายโจร ป้องกันโควิดได้จริงหรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2564 พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า สมุนไพรฟ้าทะลายโจร มีสารออกฤทธิ์สำคัญ ชื่อ “สารแอนโดรกราโฟไลด์” (Andrographolide) ซึ่งมีฤทธิ์การต้านไวรัสที่น่าสนใจ โดยเมื่อปีที่ผ่านมากรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ศึกษาว่าฟ้าทะลายโจร เมื่อไปอยู่กับเซลล์ในร่างกายแล้วจะสามารถป้องกันเชื้อไวรัสโควิดได้หรือไม่ ปรากฏว่าเชื้อไวรัสสามารถทะลุทะลวงเข้าไปในเซลล์บนที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์ได้ ฉะนั้นแปลว่า “ฟ้าทะลายโจรไม่สามารถป้องกันโควิดได้”

ด้าน นพ.ธรณัส กระต่ายทอง กล่าวว่า ฟ้าทะลายโจรช่วยลดเรื่องการอักเสบได้ โดยสามารถช่วยรักษาโรคโควิดได้ เมื่อบุคคลนั้นมีอาการป่วยหรือติดเชื้อแล้วเท่านั้น และหากติดเชื้อแล้วมีผลตรวจเป็นลบ แนะนำให้กิน 60 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ถ้ามีอาการไม่มาก ไอและเจ็บคอเล็กน้อยให้กิน 180 มิลลิกรัมต่อวัน และให้กินติดต่อกันแค่ 5 วันเท่านั้น

“ฟ้าทะลายโจรไม่สามารถใช้กินเพื่อป้องกันได้เนื่องจากไม่มีฤทธิ์ป้องกัน และไม่ควรกินเกินขนาดเนื่องจากเป็นยาที่มีรสขม ซึ่งจะส่งผลข้างเคียงต่อตับได้”

ใช้รักษาโควิดในผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง

พญ.อัมพร กล่าวอีกว่า เมื่อไม่สามารถป้องกันได้ คำถามต่อมาคือฟ้าทะลายโจรสามารถนำมารักษาได้หรือไม่ ? เมื่อปีที่แล้ว กรมวิทย์ศึกษาพบว่า สารแอนโดรกราโฟไลด์ในฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ฆ่าไวรัสในหลอดทดลองได้ แถมยังฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางตัวได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นยาลดไข้ที่ดี ใช้เป็นยาหลักในการลดไข้ตั้งแต่ปี 2559 และพบอีกว่าฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ลดการอักเสบ รวมถึงยังส่งเสริมภูมิคุ้มกันได้ด้วย

ที่ผ่านมากรมการแพทย์แผนไทยและกรมการแพทย์ทางเลือก ได้ร่วมการศึกษาวิจัยใน 9 โรงพยาบาล กับผู้ป่วย 304 คน เริ่มในผู้ป่วยที่มีอาการน้อย ไม่มีปอดบวม โรงพยาบาลให้กินยาฟ้าทะลายโจร พร้อมกำหนดให้มีระดับของสารแอนโดรกราโฟไลด์ที่เพียงพอสำหรับการกำจัดเชื้อไวรัสได้ โดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ในที่สุดก็คำนวณได้ว่าต้องอยู่ในระดับ 180 มก. ติดต่อกัน 5 วัน

ปรากฏว่าในผู้ป่วย 304 ราย ทุกรายอาการดีขึ้น ไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรง แต่อาจจะมีผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น เวียนศีรษะ ใจสั่น หน้ามืด รวมถึงถ่ายเหลว

จึงสรุปว่า “ฟ้าทะลายโจรมีโอกาสถูกเสนอเป็นทางเลือกที่สำคัญในการใช้รักษาโควิด กับกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง” และขณะนี้ได้มีการขยายการศึกษาลงไปสู่กลุ่มโรงพยาบาลสนามบางแห่ง ซึ่งหากมีความก้าวหน้าอย่างไร กรมการแพทย์จะหยิบยกผลลัพธ์มารายงานต่อไป

บริโภคฟ้าทะลายโจรแล้ว ต้องฉีดวัคซีนอีกหรือไม่ ?

ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร บอกว่า การฉีดวัคซีนเป็นการเสริมภูมิคุ้มกันที่จำเพาะสำหรับเชื้อโควิด ถึงแม้จะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 100% แต่อย่างน้อยก็ป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง ลดภาระของระบบบริการสุขภาพได้

การใช้ฟ้าทะลายโจรมีข้อมูลสนับสนุนว่ามีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกันทั้งภูมิคุ้มกันที่มีมาแต่กำเนิดและภูมิคุ้มกันจำเพาะ แต่ยังไม่มีการศึกษากับเชื้อโควิดโดยตรง ดังนั้นประชาชนควรฉีดวัคซีน ซึ่งจะเห็นได้จากประเทศอังกฤษที่มีการฉีดวัคซีนกันอย่างกว้างขวางทำให้อัตราการติดเชื้อลดลง

ข้อควรระวังสำหรับฟ้าทะลายโจร

แม้ฟ้าทะลายโจรจะมีประโยชน์แต่ก็มีข้อควรระวัง ดังนี้

• ผู้ป่วยที่มีประวัติเคยแพ้ยาฟ้าทะลายโจรมาก่อน หรือกินครั้งแรกแล้วผื่นขึ้นเป็นสัญญาณว่าต้องหยุดใช้

• ไม่แนะนำสำหรับหญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร

• ไม่แนะนำสำหรับผู้มีโรคประจำตัวโดยเฉพาะโรคตับ ไต

• ห้ามเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่กินยารักษาโรคประจำตัว เช่น วาร์ฟาริน แอสไพริน โคลพิโดเกรล และยาลดความดันโลหิต เพราะการกินรวมกันอาจทำให้ประสิทธิภาพออกฤทธิ์ไม่เหมือนเดิม

• กินติดต่อกันไม่เกิน 5 วัน หยุด 2 วัน ต่อเนื่องไม่เกิน 3 เดือน ทั้งนี้ ต้องพึงระวังอาการข้างเคียงอื่น ๆ ด้วย ข้อแนะนำนี้เกิดจากผลการศึกษาจากชิลีที่ช่วยให้การติดเชื้อหวัดลดลง

• ผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดควรหยุดใช้สมุนไพรนี้อย่างน้อย 2 สัปดาห์

ทั้งนี้ การกินยาฟ้าทะลายโจรเพื่อรักษาโรคหรือภาวะผิดปกติบางอย่าง ยังต้องหาหลักฐานยืนยันถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย จึงไม่ควรรับประทานตามคำอ้างต่าง ๆ โดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ


ผลวิจัยชี้ “กินผักมากๆ-ดื่มกาแฟ” อาจช่วยลดติดเชื้อโควิด

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า “นอร์ทเวสเทิร์น เมดิซีน” สถาบันดูแลสุขภาพในนครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยผลการวิจัยพบว่า การดื่มกาแฟมากกว่า 1 แก้วต่อวัน และรับประทานผัก ทั้งในรูปแบบผักสด และผักปรุงสุก มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ลดลง

โดยผลวิจัยข้างต้น ซึ่งใช้ข้อมูลอ้างอิงจาก “ยูเค ไบโอแบงก์” ฐานข้อมูลชีวการแพทย์และทรัพยากรการวิจัยแห่งสหราชอาณาจักร ที่เคยศึกษาไว้เมื่อปีที่แล้วในขณะที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ระบุว่า การดื่มกาแฟมากกว่า 1 แก้วต่อวัน อาจช่วยลดความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิดได้ราวร้อยละ 10 โดยเปรียบเทียบกับผู้ที่ดื่มกาแฟน้อยกว่า 1 แก้วต่อวัน เช่นเดียวกับการรับประทานผัก (ยกเว้นมันฝรั่ง) ในปริมาณ 0.67 หน่วยบริโภคต่อวัน ก็อาจช่วยลดความเสี่ยงติดเชื้อได้เช่นกัน

ส่วนผู้ที่รับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์แปรรูป ในปริมาณ 0.43 หน่วยบริโภคต่อวัน กลับพบว่า มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อไวรัสโควิด

ผลการวิจัยยังพบด้วยว่า ผู้ที่ได้รับน้ำนมแม่ในช่วงวัยทารก ก็ลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสโควิดร้อยละ 10 เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่เคยรับน้ำนมแม่ในช่วงวัยดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม คณะนักวิจัยยังไม่ทราบกลไกที่แน่ชัดถึงความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างองค์ประกอบในอาหารและเครื่องดื่มดังกล่าวกับไวรัสโควิด-19 ได้แต่เพียงระบุว่า กาแฟถึงแม้เป็นแหล่งคาเฟอีน แต่ก็มีสารประกอบอื่นๆ หลายสิบชนิด ที่อาจเป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ข้างต้นก็เป็นได้