ขอโทษก็ไม่หาย .. เห็นว่าทาง “เสี่ยอ๊อด ไซด์ไลน์” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เจ้าของวรรคเสี่ยงตาย “ตำรวจแค่ไซด์ไลน์ เล่นหุ้นนิยมมาก” ต้องไปไล่ขอโทษ ขอโพยเพื่อนตำรวจตามกลุ่มไลน์จ้าละหวั่น .. จั่วหัวขอโทษ “เพื่อนข้าราชการตำรวจที่รัก” ไม่เคยคิดดูแคลนอาชีพสีกากี แถมมีพลิกลิ้นแผล็บๆ ว่า ภาคภูมิใจในอาชีพหนักหนาเสียด้วย .. ไม่ว่า “พี่น้องตำรวจ” คิดอ่านอย่างไร แต่เชื่อเถอะ ประชาชนผู้เสียภาษี รับไม่ได้หรอก ที่ระดับนายพลหัวหน้าหน่วยงาน มองอาชีพข้าราชการเป็นแค่อาชีพเสริม เสมือนเป็น “บัน ได” ในการแสวงหาผลประโยชน์ด้านอื่น .. แล้วเอาเข้าจริง “บิ๊กอ๊อด” อาจจะไม่ได้เต็มที่ กับชีวิต “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” มานมนานกาเลแล้วด้วยซ้ำ .. ก็เส้นทางอายุน้อยร้อยล้านของ “เสี่ยอ๊อด” เริ่มขึ้นเมื่อช่วงปี 2534-2535 สมัยยังเป็นแค่ “รองฯ อ๊อด” ติด “พันตำรวจโท” ..ที่คิดการใหญ่ไปเป็นผู้ “ร่วมลงขัน” ในช่วงตั้งไข่ให้กับ “ค่าย เอส.อี.ซี.” ผู้บุกเบิกธุรกิจ รถนำเข้า หรือที่หลายคนคุ้นในฐานะ “เจ้าพ่อเกรย์มาร์เกต” พ.ศ.นั้น ถามว่า เอส.อี.ซี.ใหญ่ แค่ไหน ต้องบอกว่า “บอย ยูนิตี้” ขาใหญ่วงการเกรย์วันนี้ก็เป็นแค่เซลส์ของ SEC มาก่อน .. “รองฯ อ๊อด” ถือหน้าเสื่ออยู่พอสมควร ด้วยการระดมเงินทุนจากคนรอบข้าง นำมา “ปล่อยกู้-ปล่อยรถ” สนุกสนาน มีนายตำรวจน้อยใหญ่เห็นช่อง หลงไปร่วมลงทุนด้วยไม่น้อย .. จาก “รองฯ อ๊อด” ก็เลยกลายเป็น “เสี่ยอ๊อด” ในหมู่เพื่อนฝูง ก่อนที่ “ค่าย เอส.อี.ซี.” จะเริ่มมี ปัญหา และเจ๊งไปในที่สุด .. ทว่า “เสี่ยอ๊อด” หูไวตาไว ชิงถอนทุนก่อนแบบไม่สะกิดเพื่อนฝูง ทำเอาเจ็บตัวกันไปไม่น้อย .. เจ็บขนาดไหนต้องลองไปถาม สายแข็งอย่าง พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก อดีต รมช.มหาดไทย และอดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ดูได้ ..
เดือดร้อนกันถ้วนหน้า .. ใครก็ตามที่มีชื่อข้องแวะกับประเด็นร้อน “ทุ่งใหญ่นเรศวร ภาค 2561” ไม่ว่า “ทีมฮีโร่- ทีมนายพราน” ต่างอยู่ไม่สุข เจอสอบปากคำ เจอไล่สัมภาษณ์ แถมมีคดีแบบไม่รู้ตัวกันไปหมด .. เว้นก็แต่พระเอกในท้องเรื่อง “เจ้าสัวเปรม” เปรมชัย กรรณสูต บิ๊กบอสอิตาเลียนไทยฯ ที่ถูกจับกุม ณ จุดเกิดเหตุ พร้อมหลักฐานคาตา หลังจาก ได้รับประกันตัวก็หายจ้อย ไปผึ่งพุงอยู่หนใด ขนาดศรีภรรยา ยังไม่รู้ .. ข่าวว่าถือ โอกาสไป ศึกษาธรรมชาติแถวประเทศเพื่อนบ้าน ไม่รู้จริงเท็จเช่นไร ก็หวังว่าเมื่อถึงคิวเข้าฉาก “เจ้าสัวเปรม” คงไม่ต้องพึ่งแสตนด์อิน หรอกน้าาา ..
รายของ วิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก ที่เป็นหัวหน้าชุดจับกุม ก็ตกท้องร่อง ปล่อยให้ “แก๊งพรานไฮโซ” เข้าพื้นโดยไม่ เก็บค่า ธรรมเนียม ก็ถูกนัดสอบปากคำไม่เว้นวัน .. เช่นเดียวกับ กาญจนา นิตยะ ผอ.สำนัก อนุรักษ์ สัตว์ป่า ที่แจ้ง “หัวหน้าวิเชียร” ทางวาจา นั่นก็พลอยซวย ถึงขนาดแย้มๆ พร้อมทิ้งตำแหน่ง ก่อนวัยเกษียณที่เหลือแค่ปีเดียว .. “จิ๊กซอว์สำคัญ” ตอนนี้อยู่ที่ นพดล พฤกษะวัน อดีตข้า ราชการกรมอุทยานแห่งชาติ ที่วันนี้กินเงินเดือนเป็นที่ปรึกษาอิตาเลียนไทย ในฐานะ “ไอ้ โม่ง” หรือ “อดีตบิ๊กข้าราชการ” ที่ล่าตัวกันอยู่ .. ด้วยถูกระบุว่าเป็นผู้ประสานให้ “เสี่ยเปรมแอนด์เดอะแก๊ง” เข้าพื้นที่ไปสอยเสือดำ-เก้ง-ไก่ฟ้า สนองตัณหา ..
หลังจากเพิ่งจบปาร์ตี้ฉลองวันเกิด สำหรับดาราสาว ‘เอมมี่ มรกต’ ที่มีสามีและกลุ่ม เพื่อนสนิมมาร่วมยินดีกันอย่างสนุกสนาน โดยสาวเอมมี่ก็ขอ ใช้เวลาวันหยุด สุดสัปดาห์นี้ ให้คุ้มค่าด้วยการเที่ยวพักผ่อนกับสามีถึงทะเลภูเก็ต
โดยทริปนี้ ‘เอมมี่’ และสามีนัดกันหิ้วชุด ว่ายน้ำไปอาบแดดและเล่นน้ำ ในสระโรงแรม หรู แต่แม้อากาศและแสงแดดจะร้อนแค่ไหน เมื่อมาเจอกับความ ฮอตของสาว เอมมี่ก็ยังต้อง ยอมหลีกทางให้
ทริปนี้ดูแล้วทำเอาหลายคนต่างอิจฉากันเป็นแถวๆ
พล.ต.ท. สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการ บช.ปส. ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ถึงเน็ตไอดอลลายสักเต็มตัว ที่มีการท้าชกต่อยกัน โดยระบุว่า "ไปถามพวกนั้นรู้จัก สมหมายไหม ไม่ได้ตื่นเต้นด้วยเลย คุณเป็นใคร สักลายเต็มตัวเลย แล้วก็ท้ากันไปท้ากันมา คุณเห็นสื่อมวลชนเป็นอะไร เสียเวลาอ่านข่าวพวกนี้รกสมอง ไม่ได้ก้าวหน้าสำหรับชีวิตเลย มันเป็นใคร ประเทศไทยตกต่ำเลยเจอพวกนี้เยอะ ๆ"
ล่าสุด รายการทุบโต๊ะข่าว ทางช่อง AMARIN TV ได้สัมภาษณ์ นายอภิรักษ์ ชัชอานนท์ หรือเสี่ยโป้ กล่าวว่า ตนเองรู้และเข้าใจที่ พล.ต.ท. สมหมาย ได้มีการออกมาพูดเตือน ตนเองรู้จักดีว่า พล.ต.ท. สมหมาย เป็นคนตรงไปตรงมา ใครทำผิดก็จัดการอย่างจริงจัง
ตนยืนยันว่าไม่ได้ทำผิดอะไร และยินดีที่จะให้ตรวจสอบ ซึ่งในเรื่องของยาเสพติดนั้น ยอมรับว่าเคยเข้าไปเกี่ยวข้องเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว และคดีก็จบไปนานแล้ว ตอนนี้ก็ไม่ได้ ยุ่งเกี่ยวอีก ส่วนในเรื่องของการชกมวยกับอิกคิวซังนั้น คงจะไม่มีการเปิดเผยต่อสื่ออีก จะชกกันแบบเงียบ ๆ ตนเองต้องขอโทษสื่อมวลชนและพี่ น้องประชาชนด้วยที่ ตนเองเป็น ตัวอย่างที่ไม่ดีต่อสังคม ซึ่งตนยอมรับว่าตอนนี้เครียดและนอนไม่หลับ ที่ถูกกระแส สังคม โจมตีมาก ตนเข้าใจ พล.ต.ท. สมหมาย ที่ออกมาให้สัมภาษณ์เตือนสติ หลายครั้งที่ตน ทำอะไรผ่านโซเชียลเป็นตัวอย่างไม่ดี แต่ตนไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ตนต้องขอกราบขอโทษ พล.ต.ท. สมหมาย ด้วย หากทำอะไรผิดพลาดไป ตอนนี้ตนอยากให้ สังคมเอาเวลา ไปติดตาม ข่าวอื่นจะดีกว่า
นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภาและอดีต ส.ส.พรรคพลังประชาชน มอบอำนาจให้ นายอุดม โปร่งฟ้า ทนายความ เดินทางมาเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ , นายภาษิต หรือไก่ อภิญญาวาท , น.ส.พิชญทัฬห์ หรือไบรท์ จันทร์พุฒ และบริษัท บีอีซี มัลติมีเดีย จำกัด หรือช่อง 33 HD เป็นจำเลยที่ 1-4 เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหายจำนวน 100 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 นับแต่วันฟ้อง
กรณีการดำเนินรายการ “ชูวิทย์มีเรื่องเล่า” ออกอากาศสถานีโทรทัศน์ช่อง 33 HD โดยให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกัน หรือแทนกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นจำนวนเงิน 100 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป โดยศาลนัดพร้อมคู่ความ ในวันที่ 21 พ.ค.นี้
นอกจากนี้ยังได้ ยื่นฟ้องนายชูวิทย์, น.ส.อรชพร ชลาดล และบริษัท ทริปเปิล วี บรอดคาสท์ จำกัด หรือช่องไทยรัฐทีวี 32 เป็นจำเลยที่ 1-3 เรื่อง ละเมิดเรียกค่าเสียหายจำนวน 100 ล้านบาท จากการดำเนินรายการ “ชูวิทย์ตีแสกหน้า” ออกอากาศทางช่องไทยรัฐรัฐทีวี 32 โดยให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นจำนวนเงิน 100 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป โดยศาลนัดพร้อมคู่ความในวันที่ 28 พ.ค. 2561
นายอุดม เปิดเผยว่า การฟ้องคดีนี้เนื่องจากการออกอากาศทั้ง 2 รายการดังกล่าว มีการกล่าวพาดพิงทำให้ประชาชนเข้าใจว่านายยงยุทธ เป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลเชียงรายยูไนเต็ด หรือสิงห์เชียงรายยูไนเต็ด มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ามนุษย์ การฟอกเงิน หรือการปั่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นความเท็จ ทำให้นายยงยุทธได้รับความเสียหาย โดยที่นายยงยุทธไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสโมสรฟุตบอลสิงห์ เชียงรายยูไนเต็ดแต่อย่างใด และไม่เคยร่วมกับบุคคลใดทำการฟอกเงินหรือปั่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้นายยงยุทธได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก แก้ไขกลับคืนมาได้ยาก
กองปราบกำลังเร่งตรวจสอบสำนวนการสอบสวนที่ได้รับโอนมาจากตำรวจภูธรภาค 7 อย่างละเอียด จากการตรวจสอบพบว่า สำนวนการสอบสวนดัง กล่าวให้น้ำหนัก ไปที่พยาน จำนวน 3 ปาก รายแรกคือ พยานที่ระบุว่าเป็นผู้พบเห็น นายปรีชา เดินอยู่ที่ตลาดเรดซิตี้ และเห็นสลากหมายเลขที่ถูกรางวัลที่ 1 โผล่มาจากกระเป๋าเสื้อ จึงเอ่ยขอแบ่งซื้อจำนวน 2 ใบ แต่นายปรีชาไม่ยอมแบ่งขายให้ โดยพยานปากนี้อ้างว่า จำหมายเลขที่เห็นทั้ง 6 ตัวได้อย่างชัดเจน
ส่วนพยานรายที่ 2 เป็นพยานที่ระบุว่า พบเห็น ร.ต.ท.จรูญ ก้มเก็บสลากที่ตกอยู่บนพื้น ระหว่าง ที่เดินอยู่ในตลาดเดียวกัน และเป็นเวลาไล่เลี่ยกันกับพยานคนแรก สำหรับพยานปาก สุดท้าย ให้การว่าขณะที่อยู่ในร้านเสริมสวยแห่งหนึ่งใน อ.เมืองฯ จ.กาญจนบุรี ได้ยินหญิง คน หนึ่งที่ อ้างว่าเป็นภรรยาของ ร.ต.ท.จรูญ พูดขึ้นมาว่าสามีของตนเองเก็บสลากรางวัลที่ 1 ได้
จากปาก คำของพยานทั้ง 3 ปากทำให้ตำรวจภูธรภาค 7 เห็นว่าสลากดังกล่าว น่าจะ เป็นของนายปรีชา อย่างไรก็ตาม ตำรวจภูธรภาค ไม่ได้นำหลักฐานทาง วิทยาศาสตร์และ นิติวิทยาศาสตร์ที่ตำรวจกองปราบปรามสืบสวนไว้มาประกอบ จึงทำให้เนื้อหาสำคัญ ในสำนวนการสอบสวนเกิดความคลาดเคลื่อน เพราะฟังแต่เพียงปากคำของพยานเท่านั้น และพยานทั้งสามก็เป็นเพียงพยานแวดล้อมซึ่งพยานลักษณะนี้ฟังไม่ขึ้นเนื่องจากไม่มีน้ำ หนักเพียงพอ จึงอาจจะทำให้คดีเกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นมาได้
นอกจากนี้ พยานบางปากในจำนวน 40 ปาก ที่ตำรวจภูธรภาค 7 สอบมานั้นยังให้ การคล้ายกับมีการวางแผนหรือเตรียมการมาก่อนเป็นอย่างดี ถือว่าเป็นคำ ให้การที่ผิด ปกติตามวิสัยของประชาชนทั่วไปจะให้การต่อพนักงานสอบสวน ขณะนี้ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก.ได้สั่งการให้พนักงาน สอบสวนพิจารณา สอบปากคำเฉพาะ พยานที่มีความจำเป็น โดยประเด็นสำคัญคือ ให้พยานแต่ละราย ยืนยันว่าจะให้การ ยืนยัน ตามคำให้การเดิม หรือจะให้ปากคำต่อพนัก งานสอบสวนกอง ปราบปรามใหม่อีกครั้ง ซึ่งการสอบสวนครั้งนี้ จะมีผลต่อการพิจารณาว่ามี ใครบ้างที่อยู่ใน ขบวนการแอบอ้าง เป็นเจ้าของสลากที่ถูกรางวัล และเกี่ยวข้องกับการดำเนิน คดีกับผู้ที่เกี่ยว ข้องด้วย เบื้องต้น มีผู้ที่เข้าข่ายจะถูกดำเนินคดีแล้ว 1 ราย ฐานกระทำความผิด ตามกฎหมาย อาญา มาตรา 174 คือ การให้การอันเป็นเท็จเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับโทษทางอาญา มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 5 ปี