ครบเครื่อง
ญ. อมตะ
ครบเครื่อง ญ.อมตะ 1 กันยายน 2561

ของเก่าๆ น่าเบื่อ ใหม่ๆ เร้าใจกว่าเยอะ พระเอกเก่าต้องขอหลบด่วน ฟิล์ม ธนภัทร หล่อประหาร หรืออีกฉายาของชาวมโนเพ้อมากคือ ‘ผัวขา 2018’ ยังๆ ถ้าไม่สาแก่ใจพอ ก็เชิญต่อไปอีกได้ ‘ผัวขา 2019’

ชั่วโมงนี้ต้องยกให้ฟิล์มเลย มีงานให้รับทรัพย์เกือบทุกวัน เรียกว่าวิ่งรอกหล่อๆ โกยเงินรวยๆ สนั่นเมือง บางวันก็รับเละถึง 2-3 งาน ฮอตในประเทศไม่หนำใจ กลางเดือนหน้าฟิล์มมีคิวจะบินไประเบิดความหล่อวิ้ง ที่ห้างเวียงจันทน์เซ็นเตอร์ ที่เมืองเวียงจันทน์ ลาว ค่าตัวไม่ต้องพูดถึง เยอะจริง! ต้องเยอะทวีคูณกว่ารับงานที่ไทยแน่นอน

ส่วนละครเรื่องหน้าของฟิล์ม จะยิ่งดังขึ้นเดิมหรือว่าจะแป้ก! เชื่อว่าแฟนคลับของฟิล์มพร้อมให้กำลังใจกันแน่นอยู่แล้ว ก็หล่อโดนใจใสโดนตาขนาดนี้ ไม่ให้หลงเลิฟยังไงไหว.

28 ส.ค. 61 “ทนายขวัญใจชาวไทย” ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ เปิดเผยผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก กรณี “เอมี่” อาเมเรีย จาคอป ที่ถูกจับในข้อหาครอบครองยาเสพติด ว่า

“ศาลจังหวัดมีนบุรี ยกฟ้อง!! จาคอป (ธิดาวานร) ข้อหาครอบครองยาไอซ์ 70 กรัม เพื่อจำหน่าย คงจำคุก 3 เดือน ข้อหาเสพยาเสพติดเท่านั้น พรุ่งนี้เวลา 10.00 น. เอมี่ จะแถลงเปิดใจชีวิตสิ้นอิสรภาพ 11 เดือนในเรือนจำ ที่มูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ จ.สมุทรสาคร ครับ”

“ทนายษิทรา” อธิบายเพิ่มเติมในช่องแสดงความเห็นว่า “พฤติกรรมของเอมี่ไม่ใช่ผู้ค้าครับ เขาแค่เสพ คนเสพจะให้ติดคุกตลอดชีวิตคงไม่ใช่ ข้อหาเสพทำผิดจริง เอมี่ก็รับสารภาพ ข้อหาค้าไม่ใช่เรื่องจริง ผมก็สู้”

ความแตกแยกขัดแย้งทางความคิด กระทั่งการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในสังคมไทย หาได้ “ปรองดอง” อย่างที่ใครพยายามประโคมข่าว เคลมเป็นผลงานหรอก .. เห็นได้ชัด จากกรณีที่เกิดไล่เลี่ยกัน โรคภัยที่ “สองคนดัง” มาเจ็บไข้ได้ป่วยในเวลาไล่เลี่ยกัน และอาการคล้ายคลึงกัน .. คนหนึ่ง พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ดารานักแสดง และผู้กำกับชื่อดัง ที่เกิดเหตุวูบกลางกองถ่ายละคร โดยเเพทย์วินิจฉัยสาเหตุเกิดจาก เส้นเลือดในสมองตีบ .. อีกคน “บาโฟ เจียม” สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล อดีตอาจารย์ ม.ธรรมศาสตร์ ที่ล้มป่วยเส้นเลือดในสมองแตก จนร่างกายขยับไม่ได้ .. ถือเป็นคนดังจาก 2 วงการ ที่บทบาทระยะหลังถูกยกให้เป็น “สัญสักษณ์สีเสื้อ”

ในขณะที่ “พงษ์พัฒน์” ถูกยกให้เป็น “เซเลปเสื้อเหลือง” อีกด้าน “สมศักดิ์” ก็ครองตำแหน่ง “เสื้อแดงตัวพ่อ” มาช้านาน .. แม้ว่าบทบาทของทั้งคู่จะหมิ่นเหม่ หรือแหลมคมเพียงใด แต่สิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น การแช่งชักหักกระดูกจาก “กองแช่งฝ่ายตรงข้าม” โดยเฉพาะในสังคมออนไลน์ ที่พยายามโยงไปว่า เป็น “ผลกรรม” ที่ต่างฝ่ายต่างก่อไว้ .. แล้วหากคิดอย่าง “ผู้มีปัญญา” ก็ควรมองว่า “ความแก่ ความเจ็บ ความตาย” เป็นเรื่องที่ไม่ว่าจะสั่งสม “กรรมดี - กรรมชั่ว” มาอย่างไรก็ “หนีไม่พ้น” ในขณะที่ “คนเสื้อเหลือง-กปปส.” รู้สึกโกรธแค้น “คนเสื้อแดง” ที่สาปแช่ง “พี่อ๊อฟ” ก็ไม่ควรไป “เอาคืน” ด้วยการสาปแช่ง “จารย์เจียม”ให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองเช่นกัน .. ใจเขาใจเรา ช่วงเวลา เจ็บ ป่วย หรือ ตาย ควรเป็นช่วงเวลาแห่งการ “เว้นวรรค” อคติที่มีอยู่ในใจ .. ไม่ถึงกับต้องส่งกำลังใจให้คนที่ไม่ชอบ ขอแค่ไม่ไปซ้ำเติมอะไรให้เป็นประเด็นบาดหมางกันก็พอ .. ฝากไว้ให้ได้คิด ดึงสติกันซักหน่อย คนล้มอย่าข้ามฉันใด คนป่วยก็ไม่ควรไปแช่งเขาฉันนั้น

เพจ "Gen. Prayut Chan o-cha ทีมงาน" ได้เผยแพร่ภาพ มุมน่ารัก ๆ ของ"ลุงตู่" พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในอิริยาบทผ่อนคลาย สบายๆ โดยนั่งอยู่บนเก้าอี้พักผ่อนส่วนตัวที่บ้านพัก มีสุนัขพันธุ์บางแก้วที่ซื้อมาจากจังหวัดพิษณุโลกเมื่อครั้งเดินทางไปลงพื้นที่ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ตั้งชื่อว่า "เจ้าหมี" นั่งอยู่ที่ตักโดยมีแคปชั่นที่ภาพว่า “ห้วงเวลาพักผ่อนกับ เจ้า”หมี” / เจ้าหมีคงรอพรุ่งนี้ เจ้านายกลับฮะ”

ทั้งนี้ภาพดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้ถ่ายเซลฟี่ด้วยตัวเอง พร้อมส่งให้ทีมงานเพื่อลงในเพจดังกล่าว ซึ่งเจ้าหมีเป็นสุนัขตัวล่าสุดที่พล.อ.ประยุทธ์ให้ความเอ็นดูอย่างมากเนื่องจากชอบมาคลอเคลียตลอดเวลา อย่างไรก็ตามพล.อ.ประยุทธ์ มีสุนัขหลายตัวที่เลี้ยงไว้

คำให้สัมภาษณ์ของ สุรศักดิ์ คีรีวิเชียร กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกมาอัพเดตคดีดัง ทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด “GT 200” ในชั้น ป.ป.ช.ว่า “วินิจฉัยยาก เป็นเหมือนพระเครื่อง ที่เจ้าหน้าที่ ที่นำไปใช้แล้วเขารู้สึกว่าคุ้มค่า” .. จนอาจจะกล่าวได้ว่าเป็น “ตรรกะที่วิบัติที่สุด” ตั้งแต่มีมวลมนุษยชาติมาเลยทีเดียว .. ด้วยหน้าที่ของ “ป.ป.ช.”ต้องไต่สวนคดีทุจริต ที่ต้องอาศัย “หลักฐาน” มาประกอบการตัดสิน หาใช่ใช้ “ความเชื่อ-ความศรัทธา”มาอยู่เหนือ “ข้อเท็จจริง” ..บอกไปหลายหนแล้วว่า “ไม้ล้างป่าช้า GT200” คือ ยุทธภัณฑ์ทางทหารที่ “ลวงโลกที่สุด” ตั้งแต่มีมวลมนุษยชาติมาเช่นกัน .. ในต่างประเทศมีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์-ทางยุติธรรมชัดเจน หลือแต่ประเทศไทย ที่คดีไม่ค่อยคืบหน้าอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งที่ข้อมูลประจักษ์หลักฐานมีแทบจะสมบูรณ์แบบ .. ย้อนความกันอีกที เหตุที่ “GT 200” เป็นประเด็นและถูกจับได้ว่า “ลวงโลก”ในประเทศไทย ก็เกิดจากเมื่อครั้งเหตุการณ์วินาศกรรม “คาร์บอมบ์”ระเบิดข้างโรงแรมเมอร์ลิน จ.นราธิวาส ในวันที่ 6 ต.ค.52 และตลาดสด จ.ยะลา เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 52 แต่ “GT 200”กลับตรวจไม่พบ .. หลังความสูญเสียครั้งนั้นเป็นที่มาของการพิสูจน์ในหลายเวที จนเปลือยความลวงโลกออกมาจนล่อนจ้อน ที่มาที่ไปเช่นนี้ ที่หักล้างคำที่ว่า “เจ้าหน้าที่รู้สึกว่าคุ้มค่า” ได้อย่างหมดจด “ทั่นสุรศักดิ์” ทราบหรือไม่ ..

แล้ว “ทั่นสุรศักดิ์” รวมทั้ง ป.ป.ช.ภายใต้การนำของ “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ที่ถือคดี “GT 200” อยู่มากกว่า 10 สำนวน ทราบสรุปผลการตรวจสอบการจัดซื้อ GT200 ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ระบุถึง “ความไม่ชอบมาพากล” ของกระบวนการจัดซื้อที่สูญงบประมาณไปมากกว่า “พันล้านบาท”บ้างหรือไม่ .. เอาแค่ว่าการจัดซื้อ ระหว่างปี 2548-2553 ที่หน่วยงานของรัฐไทยไม่น้อยกว่า 15 หน่วยงาน ซื้อ “GT200” หรือแฝดน้อง “Alpha 6” มาใช้รวมกันถึง 1,398 เครื่อง แต่ละครั้งที่จัดซื้อราคาแทบไม่ซ้ำกันเลย .. มีตั้งแต่ต่ำสุดเครื่องละ 4.26 แสนบาท และแพงสุด 1.38 ล้านบาท ในขณะที่ “ศาลอังกฤษ”พิสูจน์แล้วพบว่า ต้นทุนการผลิตแต่ละตัวอยู่แค่ไม่ถึง “1 พันบาท” .. ที่ว่ามาคร่าวๆ น่าจะเพียงพอที่จะก้าวข้าม “ความรู้สึก”แล้วใช้ “ข้อเท็จจริง”ในการตัดสินคดี .. อย่าปล่อยให้ “ไม้ล้างป่าช้า GT200” กลายเป็น “วัตถุมงคล” และทำให้ “ศรัทธาอยู่เหนือศาสตรา” เหมือนดังวลีฮิตในภาพยนตร์ “ขุนพันธ์ 2”เลยนะขอรับเจ้านาย

ศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาด้วยเสียงข้างมาก ยกฟ้อง ทักษิณ ชินวัตร คดีที่ ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดมาตรา 157 กรณีอนุมัติให้ กระทรวงการคลัง เข้าฟื้นฟูกิจการ บริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือทีพีไอ เนื่องจากเป็นความยินยอมของธนาคาร เจ้าหนี้ ลูกหนี้ สหภาพแรงงาน และเป็นไปตามคำสั่งของศาลล้มละลายกลาง จึงไม่ได้มีเจตนาที่จะแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเอง

หลังจาก พระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วย วิธีพิจารณาความของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง พ.ศ 2560 มีผลบังคับใช้ เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว คดีนี้ นับเป็นคดีแรก ที่มีการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาฟ้องเอาผิดทักษิณใหม่ และศาลมีคำพิพากษาออกมาคือ ยกฟ้องทักษิณ

กฎหมายวิธีพิจารณาคดีความอาญาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฉบับใหม่นี้ ศาลพิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้ เพื่ออุดช่องโหว่ ที่จำเลย หลบหนีคดี ไม่มาศาล ศาลต้องยุติการดำนเนินคดีไว้ก่อน จนกว่า จะนำตัวจำเลยมาขึ้นศาล หลายๆคดีที่ทักษิณ เป็นจำเลย จึงถูกจำหน่ายออกจากสารบบชั่วคราว ในคดีที่มีจำเลยร่วมหลายคน การพิจารณาคดีในส่วนของทักษิณคนเดียว ต้องยุติไว้ก่อน

คดีทีพีไอ นี้ แม้ทักษิณ จะไม่มาศาล และไม่ได้ตั้งทนายต่อสู้คดี คงมีแต่พยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์ ฝ่ายเดียว แต่องค์คณะผู้พิพากษา เสียงข้างมาก ก็ยังเห็นว่า ข้อกล่าวหาที่โจทก์ฟ้อง ยังไกลเกินกว่าเหตุ ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอรับฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดตามมาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต