ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



ตอบชัดๆ "วิตามินซี" ควรกินตอนไหน และกินอย่างไรให้ได้ผลที่สุด

การกินวิตามินซีเป็นหนึ่งในรูปแบบการดูแลสุขภาพเพื่อเสริมภูมิต้านทานของคนยุคนี้ แต่เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดก็ควรศึกษาวิธีการกินวิตามินซีที่ถูกต้อง ว่าควรกินในปริมาณเท่าไหร่และควรกินในช่วงเวลาไหน เพื่อให้อาหารเสริมอย่างวิตามินซีทำงานในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

คำถามคาใจ...วิตามินซีกินตอนไหนดี?

วิตามินซี ควรกินตอนไหน? ช่วงที่เหมาะกับการกินวิตามินซีมากที่สุดคือ "ให้กินพร้อมมื้ออาหาร" อาจจะทั้งมื้อเช้าและมื้อเย็น หรือเลือกกินมื้อใดมื้อหนึ่งก็ได้ (ปริมาณ 500-1,000 มิลลิกรัม/มื้อ) แล้วให้ดื่มน้ำตามมากๆ ไม่แนะนำให้กินวิตามินซีตอนท้องว่างหรือก่อนนอน เพราะอาจระคายเคืองกระเพาะอาหารได้

ปกติวิตามินซีที่กินเข้าไปจะถูกร่างกายขับออกมาภายใน 2-3 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้ ไม่ควรกินวิตามินซีเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะหากร่างกายได้รับวิตามินซีมากเกินไป อาจทำให้ท้องเสียหรือถ่ายเหลวได้

แต่สำหรับกลุ่มผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ หรือโรคหวัดที่มีอาการเรื้อรัง แพทย์ก็อาจแนะนำให้กินวิตามินซีมากกว่า 2,000 มิลลิกรัมก็ได้เช่นกัน แต่ก็ควรให้เป็นไปตามดุลพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะอาการและร่างกายของผู้ป่วยแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน

วิตามินซี ห้ามกินคู่กับอะไร?

แม้ว่าวิตามินซีจะเป็นอาหารเสริมที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็มีข้อจำกัดในการกิน เช่น จำกัดปริมาณที่ควรกินต่อวัน และห้ามไม่ให้กินพร้อมกับยาบางชนิด เพราะวิตามินซีอาจไปออกฤทธิ์ต่อต้านการรักษาโรค หรือส่งผลเสียกับร่างกายได้ ยกตัวอย่างชนิดยาที่ไม่ควรกินพร้อมวิตามินซี ดังต่อไปนี้

ยากลุ่มผู้ป่วยโรคไต

ยากลุ่มเคมีบำบัด

ยากลุ่มคุมกำเนิด

ยาเคลือบกระเพาะ

ยาลดกรด

ยารักษาโรคเบาหวาน

ยาละลายลิ่มเลือด (Aspirin)

ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Warfarin)

ยาลดไขมันสแตติน (Statin) และไนอะซิน (Niacin)

หมายเหตุ : ผู้ที่ใช้ยาประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนกินวิตามินซี

เคล็ดลับการกินวิตามินซีให้ได้ผลดีที่สุด

การกินวิตามินซีพร้อมมื้ออาหาร หรือหลังมื้ออาหารทันที จะช่วยลดอาการระคายเคืองกระเพาะอาหาร

แนะนำให้กินวิตามินซีในปริมาณครั้งละ 500 มิลลิกรัม เพราะหลังจากนั้นร่างกายจะขับออก หากกินในปริมาณมากๆ ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้เพียงเล็กน้อย ที่เหลือก็จะขับออกทางปัสสาวะ

หากจะกินวิตามินซี 1,000 มิลลิกรัม ก็ควรกินเพียงวันละ 1-2 มื้อ เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินซีในปริมาณที่พอดี ไม่มากจนเกินไป ไม่งั้นอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้

วิตามินซีแบบเม็ดฟู่ ควรรอจนกว่าเม็ดจะละลายในน้ำจนฟองหมด แต่ในบางรายกินแล้วอาจมีแก๊สแน่นเฟ้อในท้องภายหลังได้ จึงเหมาะกับผู้สูงอายุที่มีปัญหากลืนยาเม็ดใหญ่ยาก

การเลือกกินวิตามินซีแบบเคี้ยว ควรเลือกชนิดที่มีปริมาณน้ำตาลน้อย ไม่เช่นนั้นอาจทำให้ฟันผุได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็กๆ ผู้ปกครองควรดูแลเพิ่มเติม

วิตามินซีที่ระบุว่าเป็นประเภท Buffered, Sustained Release, Slow Release จะค่อยๆ ปล่อยวิตามินซีออกจากตัวแคปซูลช้าๆ ทำให้ออกฤทธิ์ได้นาน และไม่ทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร

ในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ รู้สึกว่าพักผ่อนน้อย หรือต้องเจอกับมลภาวะบ่อยๆ การกินวิตามินซีจะช่วยเสริมภูมิต้านทานให้ร่างกายได้

การกินผักและผลไม้มื้อละประมาณ 400 กรัม ก็จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินซีจากธรรมชาติ ในปริมาณ 210-280 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเทียบเท่าการกินวิตามินซีเสริมอาหาร

ประโยชน์ของวิตามินซีช่วยอะไร?

บางคนอาจเข้าใจผิดว่าการกินวิตามินซีช่วยเรื่องผิวขาว แต่จริงๆ แล้วประโยชน์ของวิตามินซีจะช่วยเรื่องการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นมากกว่าการมีผิวขาวอย่างที่เข้าใจกัน แต่ทั้งนี้วิตามินซีก็ถือเป็นอาหารเสริมที่หลายคนนิยมกินเพื่อลดริ้วรอย บำรุงผิวจากภายในสู่ภายนอกได้เช่นกัน

วิตามินซีช่วยเสริมระบบภูมิต้านทานของร่างกายให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนที่ป่วยง่าย เป็นหวัด หรือเป็นภูมิแพ้ง่าย หากกินวิตามินซีควบคู่การออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะช่วยป้องกันอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ได้

ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย ป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์และลดอาการอักเสบของหลอดเลือด ทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนต่างๆ ได้ยากขึ้น

เลือกซื้อวิตามินซียี่ห้อไหนดี 2022-2023?

ปัจจุบันวิตามินซีมีจำหน่ายเป็นอาหารเสริมในหลายรูปแบบ ทั้งวิตามินซีแบบเม็ดแคปซูลที่หลายคนคุ้นเคยกันดี, วิตามินซีแบบอัดเม็ด, วิตามินซีแบบเม็ดฟู่ละลายน้ำ, วิตามินซีสด หรือวิตามินซีแบบละลายสำหรับฉีดที่ช่วยบำรุงซ่อมแซมร่างกายได้ทันที แต่ควรสั่งยาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น (ห้ามซื้อมาฉีดเอง)

ส่วนการจะเลือกซื้อวิตามินซียี่ห้อไหนดีนั้น แนะนำให้ซื้อยี่ห้อที่มีความน่าเชื่อถือ วางจำหน่ายในแหล่งร้านค้าที่เชื่อถือได้ มีสลากรับรองความปลอดภัย โดยหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลือกซื้อวิตามินซียี่ห้อต่างๆ สามารถปรึกษาเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้รับวิตามินซีที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับร่างกายของแต่ละคนมากที่สุด

อ้างอิงข้อมูล : ศูนย์สื่อสารสาธารณะ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, โรงพยาบาลกรุงเทพ


อาการหนังตาตก ปัญหาที่หลายคนต้องเจอ

หนังตาตก ปัญหาตาไม่เท่ากัน และกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง แก้ไขและรักษาได้หรือไหม วันนี้ มาหาคำตอบไปพร้อมกัน

อาการหนังตาตกนั้น มีสาเหตุหลายประการที่เปลือกตาอาจหย่อนคล้อย หากกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นที่ปกติยกเปลือกตาขึ้นอ่อนแอลงจากการบาดเจ็บหรือโรคที่เป็นอยู่ หนังตาตกจึงเป็นผลมาจากความเสียหายต่อเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อเปลือกตา ซึ่งหนังตาตกนั้นส่วนใหญ่เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังและกล้ามเนื้อของเปลือกตาจะยืดออกและอ่อนลง อาการนี้สามารถแก้ไขและรักษาได้ด้วยการผ่าตัด และก่อนที่จะไปรู้ถึงวิธีในการรักษา มารู้จักกันก่อนว่าหนังตาตกคืออะไร และอันตรายหรือไม่

หนังตาตกคืออะไร

เปลือกตาตก หรือที่เรียกว่า ptosis อาจเกิดขึ้นเนื่องจากการบาดเจ็บ อายุ หรือความผิดปกติทางการแพทย์ต่างๆ อาการหนังตาตกนั้นอาจจะมาและไปหรืออาจจะเกิดขึ้นถาวร สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งเรียกว่าหนังตาตกแต่กำเนิด หรืออาจมีการพัฒนาได้ในภายหลัง ด้วยอายุที่มากขึ้น หรืออุบัติเหตุทางตา ซึ่งเปลือกตาบนที่หย่อนคล้อยนั้นอาจปิดกั้นหรือลดการมองเห็นได้มาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ขึ้นอยู่กับว่าเปลือกตาบนที่หย่อนคล้อยนั้นมากน้อยเพียงใด

อาการหนังตาตกคืออะไร

สัญญาณหลักของอาการหนังตาตกเลยคือ เปลือกตาข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างหย่อนยาน ไม่มีความเจ็บปวด แต่อาการนั้นสามารถบดบังสายตาและการมองเห็นของคุณได้ กรณีนี้อาจเกิดขึ้นได้หากเปลือกตาบนปิดลดลงมากจนบดบังการมองเห็นหรือทำให้สิ่งต่างๆ ดูพร่ามัว และการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะทำให้ไม่เกิดผลเสียในระยะยาว

หนังตาตกอันตรายไหม

หนังตาตกหรือหย่อนคล้อยลงนั้นมักจะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ แต่หากเปลือกตาของคุณบดบังการมองเห็น อาจทำให้เกิดอันตรายได้หากต้องใช้สายตาในชีวิตประจำวัน เช่น การขับรถ เพราะวิสัยทัศน์ในการมองเห็นจะลดลง รวมถึงอาจทำให้คุณใช้ชีวิตประจำวันที่ลำบากและไม่สะดวกขึ้นด้วย

หนังตาตกรักษาอย่างไร

หากอาการหนังตาตกในเด็กไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น แพทย์อาจตัดสินใจไม่รักษา แต่อาจใช้การรักษาภาวะตามัวแทน แล้วจึงพิจารณาเมื่อเด็กโตขึ้นว่าต้องทำการผ่าตัดหรือไม่ แต่สำหรับผู้ใหญ่นั้น การรักษาหนังตาตกขึ้นอยู่กับสาเหตุเฉพาะและความรุนแรงของหนังตาตก ซึ่งหนึ่งในการรักษาอาการหนังตาตกที่ดีและได้ผลคือการผ่าตัดศัลยกรรม วิธีนี้จะช่วยยกเปลือกตาขึ้นในตำแหน่งที่ต้องการ จะช่วยแก้ไขปัญหาหนังตาที่หย่อนคล้อย หรือตาไม่เท่ากัน ให้กลับมามองเห็นได้สะดวกและชัดเจนมากขึ้น ไม่มีเปลือกตามาบดบังอีกต่อไป

การรักษาอาการหนังตาตกด้วยการผ่าตัดศัลยกรรมนั้น นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาตาไม่เท่ากัน และกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงแล้วนั้น ยังช่วยเสริมความมั่นใจให้คุณมีบุคลิกภาพดีขึ้น ดวงตาดูสดใส โหงวเฮ้งดี แต่งหน้าหรือถ่ายรูปก็สวยขึ้นอีกด้วย ซึ่งหากคุณมีปัญหาหนังตาตกนั้น เพื่อให้การมองเห็นดีขึ้น และเพิ่มความมั่นใจ การผ่าตัดศัลยกรรมหนังตาที่ Lovely Eye & Skin Clinic นั้นช่วยคุณได้ ด้วยการใช้เทคนิคการตัดหนังตาส่วนเกินออก และเย็บชั้นตาให้สวยงาม ช่วยแก้ปัญหากล้ามเนื้อตาอ่อนแรงและหนังตาตกได้ ให้คุณเปิดตาและมองเห็นได้อย่างเต็มที่ ที่จะช่วยแก้ปัญหาอาการหนังตาตกได้อย่างถาวรและไม่กลับมาเป็นซ้ำ ทั้งยังทำให้ใบหน้าของคุณดูดียิ่งขึ้นอีกด้วย


ย้อนประวัติ "วัดอุโมงค์ เชียงใหม่" สัมผัสความสงบงามท่ามกลางเมือง

ในช่วงที่ผ่านมา จ.เชียงใหม่ กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม เนื่องจากความเรียบง่ายของคนเมือง วิถีชีวิตที่น่ารักอบอุ่น ตลอดจนมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย หนึ่งในนั้นคือ “วัดอุโมงค์ เชียงใหม่” วัดโบราณที่ตั้งอยู่กลางใจเมือง แต่กลับเงียบสงบ ร่มเย็น และเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงาม รอให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสความสงบ กราบพระขอพร และถวายสังฆทาน

วัดอุโมงค์ ประวัติที่มาเป็นอย่างไร?

จากตำนานเล่าว่า เดิมทีบริเวณวัดอุโมงค์ หรือสวนพุทธธรรม เป็นพื้นที่วัดของกษัตริย์ในยุคสมัยของพระเจ้ามังรายมหาราช เพราะพระองค์ได้ทำนุบำรุงพระศาสนา และสร้าง “วัดเวฬุกัฏฐาราม” (วัดไผ่ 11 กอ) ขึ้น

เมื่อยุคสมัยและการปกครองของผู้นำเปลี่ยนผ่าน ก็ยังมีการฟื้นฟูบริเวณวัดเรื่อยๆ จนเข้าสู่ยุคของพระเจ้ากือนาธรรมาธิราช พระองค์ได้ทำการบูรณะ ซ่อมแซมเจดีย์ และสร้างอุโมงค์ทางเดิน 4 ทิศ เพื่อให้เป็นที่จำพรรษาของพระมหาเถรจันทร์ และตั้งชื่อว่า “วัดอุโมงค์เถรจันทร์” หรือ “วัดอุโมงค์ เชียงใหม่”

จุดเด่นวัดอุโมงค์ เชียงใหม่ ที่ไม่ควรพลาด

1. อุโมงค์ทางเดิน 4 ทิศ

อุโมงค์ทางเดิน 4 ทิศขนาดใหญ่เป็นหนึ่งจุดเด่นสำคัญ เนื่องจากด้านในมีการเจาะช่องผนังสำหรับวางเทียน ทำให้ภายในอุโมงค์นั้นค่อนข้างมืด เงียบ และสงบ ตามทางเดินจะมีรูปจิตรกรรมฝาผนังเกือบตลอดเส้นทาง นอกจากนี้ภายในอุโมงค์จะมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ นักท่องเที่ยว สามารถเดินลอดใต้อุโมงค์เพื่อเข้ามากราบไหว้พระ ขอพร ตลอดจนชมความงดงามของภาพจิตรกรรมฝาผนังรูปต่างๆ ได้ เช่น ภาพจิตรกรรมนก ดอกโบตั๋น ดอกบัว เมฆ เป็นต้น

หากใครที่มีโอกาสได้ไปเที่ยวที่วัดอุโมงค์ เชียงใหม่ในช่วงฤดูฝน หรือปลายฝนต้นหนาว จะพบว่าบริเวณด้านหน้า หรือรอบๆ ของอุโมงค์มีมอสส์สีเขียวขึ้นปกคลุม สร้างความสวยงาม สบายตา ในขณะเดียวกันก็ร่มรื่นและเงียบสงบด้วย

2. เจดีย์ 700 ปี วัดอุโมงค์ เชียงใหม่

เจดีย์วัดอุโมงค์ เชียงใหม่ ตั้งอยู่บริเวณใกล้กับทางเข้าอุโมงค์ทางขึ้นลงเจดีย์มีบันไดนาคที่งดงามอยู่ด้านข้าง โดยจะเป็นสถาปัตยกรรมทรงระฆังกลม บริเวณทรงกรวยด้านบนของเจดีย์จะเป็นรูปกลีบดอกบัว บริเวณฐานส่วนล่างจะมีปูนปั้นลวดลายสวยงามตามแบบสถาปัตยกรรมของศิลปะพม่า ทั้งนี้เจดีย์วัดอุโมงค์ถือว่าเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมเก่าแก่และสะท้อนให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม

3. เศียรพระพุทธรูปฝีมือช่างพะเยา

อีกหนึ่งจุดเด่นวัดอุโมงค์ คือ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ที่บริเวณลานด้านข้างทางเข้าอุโมงค์จะมีการจัดตั้งเศียรพระพุทธรูปจำนวนมาก ซึ่งพระพุทธรูปส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นโดยชาวพะเยาที่มีฝีมือช่วง พ.ศ.1950-2100 เป็นหนึ่งในคุณค่าทางสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ

นอกจากนี้วัดอุโมงค์ เชียงใหม่ยังมีจุดเด่นอีกหลายๆ แห่งที่น่าสนใจและควรค่าแก่การมาเยี่ยมเยือน เช่น เสาหินอโศกจำลองจากประเทศอินเดีย หลักศิลาจารึกบันทึกประวัติความเป็นมาของวัดอุโมงค์ เชียงใหม่ หอสมุดธรรมโฆษณ์ โรงภาพปริศนาธรรม ตลอดจนมีสำนักปฏิบัติธรรมวัดอุโมงค์ สวนพุทธธรรม สำหรับผู้ที่สนใจปฏิบัติธรรมท่ามกลางความเงียบสงบ

วัดอุโมงค์ เปิดกี่โมง วันไหนบ้าง?

วัดอุโมงค์ เชียงใหม่ เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-20.00 น. นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ทั้งในช่วงกลางวัน และสามารถเดินทางมากราบไหว้ขอพรพระที่วัดอุโมงค์ช่วงกลางคืนได้ไม่เกินเวลา 2 ทุ่ม ทั้งนี้ควรงดใช้เสียงดัง และแต่งกายด้วยชุดสุภาพเหมาะสม

วัดอุโมงค์ เชียงใหม่ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม หากใครมีโอกาสได้เดินทางมาเชียงใหม่หรือเดินทางมายังภาคเหนือ ก็สามารถแวะเข้ามา วัดอุโมงค์ เชียงใหม่ ขอพร ถวายสังฆทาน ตลอดจนสัมผัสความเงียบสงบท่ามกลางเมืองใหญ่ได้ตลอดทั้งปี

ที่มา : วัดอุโมงค์ สวนพุทธธรรม จ.เชียงใหม่


"ดื่มเบียร์" เท่าไรดี มี-ไม่มี แอลกอฮอล์ แบบไหน บำรุงสุขภาพ สูง เช็คก่อน ดื่ม

คนรักสุขภาพ แต่เป็น นักดื่ม ต้องอ่าน "ดื่มเบียร์" เท่าไรดี มีหรือไม่มี แอลกอฮอล์ แบบไหน บำรุงสุขภาพ สูงสุด และ มีความสุข ที่สุด

คอเบียร์ ทั้งหลาย คงได้เฮกันไปบ้าง หลังจากมีผลวิจัยออกมายืนยันว่า การดื่มเบียร์ไม่ได้ให้แค่โทษเท่านั้น แต่ข้อดีของเบียร์ยังมีเพียบ แถมยังให้คุณประโยชน์มากมายอีกด้วย แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับสุขภาพของแต่ละบุคคล และปริมาณในการดื่มด้วย เพราะหากดื่มมากจนเกินไป ก็ไม่ส่งผลดีต่อร่างกายของเราอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นควรดื่มแต่พอดี แต่ดื่มพอดีขนาดไหน ถึงจะเรียกว่าพอดี และ ดีต่อสุขภาพ แถม เบียร์ มี หรือ ไม่มีแอลกอฮอล์ บำรุงสุขภาพได้ดีมากกว่ากัน

"หมอดื้อ" ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์ สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดื่มเบียร์ว่ารายงานในปี 2022 ซึ่งมีคำอุปมาว่า เบียร์วันละแก้วอาจช่วยไม่ให้ต้องพึ่งหมอ เหมือนกับที่เราเคยได้ยินได้ฟังว่า กินแอปเปิ้ลวันละลูก หมอไปไกล ๆ ได้เลย

ทั้งนี้ เป็นรายงานจากคณะผู้วิจัยจากประเทศโปรตุเกส ตีพิมพ์ในวารสาร Agriculture and food chemistry โดยเป็นการศึกษาวิจัยที่รัดกุม และมีตัววัด หรือประเมินโดยการวิเคราะห์จุลินทรีย์ หรือแบคทีเรียในลำไส้ ว่ามีความหลากหลายเพิ่มขึ้นหรือไม่ จุดประสงค์ใหญ่ของการศึกษาชุดนี้ น่าที่จะเป็นการประนีประนอมกันหรือไม่ กับกระแสการต่อต้านการดื่มแอลกอฮอล์ ที่เริ่มออกมาว่าไม่ควรจะดื่มเลยแม้แต่จะน้อยนิดก็ตาม

และในอีกประเด็นหนึ่งเพื่อที่จะพิสูจน์ว่า ตามตำนานความเชื่อที่ว่า เบียร์นั้นดีต่อสุขภาพ ช่วยระบบต่าง ๆ จิปาถะ จริงไหม และถ้าเบียร์ที่ว่าดีนั้น เกิดดีจริง การที่มีแอลกอฮอล์เข้าไปอยู่ด้วย จะไปเจือจางความดีจนหายไป และกลายเป็นโทษอย่างเดียว

ตามปกติ ในคำแนะนำของสหรัฐฯ ในปี 2020 ถึง 2025 Dietary Guidelines for Americans การดื่มเบียร์ จะมีระดับของแอลกอฮอล์ที่สามารถบริโภคได้คือ วันละหนึ่งแก้ว หรือหนึ่งดริ้งก์ นั่นก็คือมีปริมาณแอลกอฮอล์ 14 กรัมสำหรับผู้หญิง สำหรับผู้ชายนั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้ โดยถึงสองดริ้งก์ต่อวัน หรือเทียบเท่ากับ 28 กรัม โดยคิดง่าย ๆ ก็คือ ผู้ชายเท่ากับสองกระป๋อง กระป๋องหนึ่ง เท่ากับ 330 ซีซี ในขนาดแอลกอฮอล์คือ 4% (ผู้หญิงก็เป็นหนึ่งกระป๋องไป)

แต่ถ้าจะสั่งเป็นแก้ว เช่น หนึ่งไพท์ (pint) ปริมาณจะเยอะหน่อยในระบบอเมริกัน จะเท่ากับ 473 ซีซี ระบบอังกฤษเท่ากับ 568 ซีซี (ดังนั้นดูด้วย เวลาที่มีลดราคา เวลาแฮปปี้ happy hour เป็นไพท์ระบบไหน)

ดื่มเบียร์ยังไงดีต่อสุขภาพ

สำหรับหลักฐานทางประโยชน์ของเบียร์ หรือแอลกอฮอล์ มีอยู่หลายชิ้นพอสมควร ที่จะไปเพิ่มระดับของไขมันดี และลดระดับของไขมันเสีย มีการลดเลือดหนืดผ่านทางเกล็ดเลือด และบรรเทา การดื้ออินซูลิน แต่กระนั้นก็ตาม ประโยชน์ที่อาจจะพึงมีต่อเส้นเลือดในร่างกาย รวมกระทั่งถึงหัวใจและเบาหวาน จะถูกบดบังกับการที่ดื่มเบียร์แล้วอ้วนลงพุง ขี้เกียจ ไม่ออก กำลัง ร่วมกับกินอาหาร หรือกับแกล้ม ที่ก่อให้เกิดการอักเสบ และยังมีความเสี่ยงของการเป็นมะเร็ง

ที่คณะผู้วิจัยพรรณนาไว้ก็คือ ในเบียร์นั้นมีโพลีฟีนอล จากฮอปมาก ซึ่งในการเพาะบ่มเบียร์นั้น การที่ใส่ฮอปไปเพื่อกลิ่นรสและความขม และก็ยังมีพรีนิลฟลาโวนอยด์ ที่ชื่อ แซงโธฮิวมอล (xanthohumol) โดยการศึกษาระดับพริคลินิก คือศึกษาในสัตว์ทดลองไม่ใช่คน ได้ผลการศึกษาที่น่าสนใจ โดยสารดังกล่าว น่าที่จะลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคที่เกี่ยวพันกับสารอนุมูลอิสระ และก่อให้เกิดโรคเรื้อรัง ทั้งโรคอ้วนและเบาหวาน และในระหว่างกระบวนการเพาะบ่ม เบียร์ แซงโธฮิวมอลจะมีการปรับโครงสร้างกลายเป็น ไอโซแซงโธฮิวมอล ซึ่งมีฤทธิ์ในทางเป็นประโยชน์เช่นกัน

ส่วนประกอบโพลีฟีนอลในเบียร์ เมื่อตกถึงลำไส้ จะมีผลในการปรับสภาพของจุลินทรีย์ ทั้งปริมาณ ชนิดและความหลากหลาย ถึงจนกระทั่งมีเบียร์หลายยี่ห้อ มีส่วนประกอบเป็นจุลินทรีย์ดีเจือปนเข้าไปด้วย โครงการศึกษาจุลินทรีย์ในลำไส้ที่ใหญ่ที่สุดโครงการหนึ่ง โดยมีประชากรศึกษาเป็นจำนวน มาก ได้แก่ Flemish Gut Flora Project แสดงให้เห็นว่าการดื่มเบียร์ในคนที่มีสุขภาพแข็งแรง จะส่งผลในการปรับสภาพจุลินทรีย์ในลำไส้ให้เป็นตัวดี

ดื่มเบียร์อย่างไรดีต่อสุขภาพ

เพราะฉะนั้นการมี หรือไม่มีแอลกอฮอล์ จะส่งผลต่างกันหรือไม่ โดยคณะผู้วิจัยแบ่งผู้ร่วมการศึกษาเป็นสองกลุ่ม โดยมีอายุระหว่าง 18 ถึง 65 ปี และไม่มีโรคประจำตัวเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับระบบกระเพาะและทางเดินอาหาร รวมกระทั่งถึงโรคลำไส้หงุดหงิด และไม่มีโรคหัวใจขาดเลือด เบาหวาน เส้นเลือดตีบที่ขา ไม่มีโรคติดเชื้อเอชไอวี หรือไวรัสตับอักเสบ และไม่เคยใช้ยาปฏิชีวนะในช่วงระยะเวลา 4 อาทิตย์ก่อนหน้า และไม่ใช้ยาระบายในช่วงสองอาทิตย์ก่อนหน้า และไม่ใช่เป็นคนติดเหล้าติดยา หรือสารเสพติดอย่างอื่น การวิจัยลงทะเบียนใน clinical trials NCT 03513432

ตลอดช่วงเวลาของการวิจัย การออกกำลังและสภาพการทำงานจะอยู่ในระดับเดิม รวมกระทั่งถึงชนิดและปริมาณของอาหารการกิน อาสาสมัครจะไม่ทราบว่าดื่มเบียร์ มี (5.2%) หรือไม่มีแอลกอฮอล์ (0%) โดยเบียร์ที่ใช้เป็นลาเกอร์เบียร์ (lager beer) โดยที่ทราบปริมาณของไอโซแซงโธฮิวมอล และแซงโธฮิวมอล ด้วยการตรวจ HPLC–DAD หลังจาก SPE extraction ทั้งก่อนและหลังการศึกษา ที่กินเวลา 4 อาทิตย์ จะมีการเก็บอุจจาระ และวิเคราะห์เลือดอย่างละเอียด (serum cardiometabolic markers) และส่วนประกอบของร่างกาย ด้วยเครื่อง In Body และบันทึกผล ลักษณะชนิดประเภทของอาหารการกินด้วย food frequency questionnaire การวิเคราะห์ชนิดและความหลากหลายของจุลินทรีย์ด้วยการเตรียม DNA libraries (V3 และ V4 regions) จนถึงการวิเคราะห์มาตรฐานตามแบบที่เราใช้กัน

นอกจากการที่ดูความหลากหลายของจุลินทรีย์แล้ว ยังทำการประเมินดัชนีของการอักเสบในลำไส้ และมีการรั่วของเยื่อบุผนังลำไส้หรือไม่ โดยการหา fecal alka line phosphatase activity ผลของการศึกษาในอาสาสมัครกลุ่มละ 11 คน ที่ติดตามเป็นระยะเวลาสี่อาทิตย์ พบว่า ทั้งสองกลุ่มมีการเพิ่มของจุลินทรีย์ชนิดที่เป็นตัวดี หรือมีประโยชน์มากกว่า 20 ชนิด และไม่พบว่ามีความเปลี่ยนแปลงในน้ำหนัก ปริมาณและการกระจายตัวของไขมันในร่างกาย รวมกระทั่งถึงดัชนีชี้วัด สภาพคาร์ดิโอเมตาบอลิกในเลือด

ผลของการศึกษานี้ แตกต่างจากรายงาน ในวารสารแอลกอฮอล์ในปี 2020 ทำที่อริโซนา สหรัฐฯ โดยได้ทำการศึกษาทั้งชายและหญิงที่อยู่ในเม็กซิโก อายุระหว่าง 21 ถึง 53 ปี โดยให้ดื่มเบียร์ไม่มีแอลกอฮอล์วันละ 12 ออนซ์ (1 ออนซ์ ประมาณ 30 ซีซี) กับเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณ 4.9% เป็นเวลา 30 วัน โดยที่เห็นความดีงามในเฉพาะกลุ่มที่ดื่มเบียร์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ โดยที่มีการเพิ่มความหลากหลายของจุลินทรีย์

ทั้งนี้ การศึกษาในปี 2020 ไม่ได้จำเพาะเจาะจง โดยอาสาสมัครไม่ได้มีสุขภาพสมบูรณ์ทุกคน ซึ่งอาจอธิบายความแตกต่างของผลการศึกษาทั้งสองชิ้นนี้ได้

ดื่มเบียร์อย่างไรดีต่อสุขภาพ

บทสรุป การดื่มเบียร์ให้ได้ประโยชน์นั้น สำหรับคนที่สุขภาพแข็งแรงอยู่แล้ว ไม่ได้มีโรคประจำตัว น่าที่จะดื่มได้ทั้งชนิดไม่มีหรือมีแอลกอฮอล์ และที่น่าสนใจก็คือ เบียร์ลาเกอร์อาจจะดีกว่า โดยที่มีคุณสมบัติทำให้เยื่อบุผนังลำไส้มีความแข็งแรงขึ้น แต่ข้อจำกัดที่คนดื่มเบียร์ทุกคนทราบก็คือ เบียร์ไม่มีแอลกอฮอล์ดูรสชาติประหลาด และหัวหน้าทีมผู้วิจัยให้สัมภาษณ์ว่า รสชาติ "a bit wierd"

สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้วทางเมตาบอลิก อ้วนลงพุง เบาหวาน ความดันสูง ไขมันผิดปกติ โรคทางเส้นเลือด ท่าทางน่าจะอยู่กับเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ดีกว่า ทั้งนี้ โดยถือผลของจุลินทรีย์ในลำไส้ที่จะส่งผลก่อให้เกิดการอักเสบในลำไส้ ทะลุไปเข้าเลือดกระจายไปทั่วร่างกายแม้กระทั่งกระทบสมอง

ดังนั้น ถ้าอยากจะดื่มอย่างมีความสุข ก็ปรับสุขภาพให้เป็นปกติเร็วที่สุด จะได้รับอานิสงส์จากการดื่มเบียร์แอลกอฮอล์ได้

ที่มา : ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha