ครบเครื่อง
ญ. อมตะ
ครบเครื่อง ญ. อมตะ 9 พฤษภาคม 2563

'ทุ่งแสลงหลวง' คืนสู่ธรรมชาติที่สมบูรณ์พบฝูงสัตว์ออกหากินเพียบหลังปิด อช.ช่วงโควิด

อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง นำภาพสัตว์ป่าออกหากินมาเผยแพร่ พบครอบครัว "หมูป่า" วิ่งไปทั่วหลังกรมอุทยานฯสั่งปิดกว่า 1 เดือนช่วงสถานการณ์โควิด-19 อีกทั้งยังพบกระทิง หมี กวาง หมาจิ้งจอก ฯลฯ ออกหากินที่ "ทุ่งนางพญา" เส้นทางไปหน่วยพิทักษ์ฯหนองแม่นา "หน.ทุ่งแสลงหลวง" เผยตลอด 1 เดือนได้ตั้งกล้องพบเห็นสัตว์หายาก เหตุธรรมชาติฟื้นตัวได้เร็ว

วันที่ 1 พ.ค.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นับตั้งแต่นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช มีหนังสือคำสั่งประกาศปิดห้ามคนเข้าในอุทยานแห่งชาติและวนอุทยาน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า ฯลฯ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หรือโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.63 เป็นต้นไปนั้น

นายวิทูร เดชประมวลพล หัวหน้าอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 11 (พิษณุโลก) เปิดเผยว่า หลังมีคำสั่งปิดอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศ นักท่องเที่ยวไม่ได้เดินทางมาเที่ยว ถือเป็นครั้งแรกที่ป่ารอบๆ ทุ่งแสลงหลวงไม่มีใครรบกวน ทำให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟูตัวเอง

"ผืนป่าและทุ่งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งที่อาศัยและเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของสรรพสัตว์น้อยใหญ่ในอาณาเขตของผืนป่านามว่า "ทุ่งแสลงหลวง" ในช่วงที่ปิดแหล่งท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ได้เกิดการฟื้นตัวของทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า เช่น กระทิง หมี กวาง สุนัขจิ้งจอก เก้งหม้อ เม่น และหมูป่า สรรพสัตว์เหล่านั้นได้ออกล่า หาอาหารตามวิถีทางการดำรงชีพและออกมายลโฉมให้พบเห็นช่วงการปิดแหล่งท่องเที่ยวในช่วงนี้" หัวหน้าอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง กล่าว

พร้อมกล่าวต่อว่า หลังจากปิดอุทยานฯไป 1 เดือนเศษๆ พบว่าสัตว์ป่าได้ใช้ชีวิตออกหากินตามธรรมชาติ โดยเฉพาะครอบครัวหมูป่าที่มีลูกน้อย ออกมาวิ่งเล่น เป็นจำนวนมาก บริเวณทุ่งโล่งใกล้แหล่งน้ำ เนื่องจากไม่มีกลิ่นและเสียงของมนุษย์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เปิดดูกล้องที่ตั้งไว้อัตโนมัติพบว่าสามารถบันทึกภาพสัตว์ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืนจำนวนมาก จุดที่พบสัตว์เห็นครั้งนี้คือบริเวณ "ทุ่งนางพญา" ต.หนองแม่นา อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ อยู่ไม่ห่างจาก "ทุ่งหญ้าสะวันนา" มากนัก ซึ่งเป็นเส้นทางไปหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ สล.8 (หนองแม่นา) อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์

"นอกจากนี้ตามเส้นทางตรวจป่าจากที่ทำการทุ่งแสลงหลวง กม.80 เส้นทางไปหน่วยพิทักษ์ฯหนองแม่นาประมาณ 25 กิโลเมตร สองฝากเส้นทางตัดผ่านนั้นก็เป็นป่าเบญจพรรณจะพบสัตว์ป่าออกมาหากินตามข้างทาง และลึกเข้าไปจึงเป็นทุ่งหญ้าสะวันนา ทุ่งหญ้าเมืองเลน ทุ่งโนนสนและทุ่งนางพญา นอกจากนี้ยังพบพันธุ์ไม้ดอกกำลังผลิจำนวนมาก และเป็นช่วงฤดูแล้งต่อเนื่องเข้าฤดูฝน ป่าเริ่มเป็นสีเขียว ทำให้สัตว์ออกมาใช้ชีวิตกินอยู่บริเวณทุ่งหญ้าต่างๆ" นายวิทูร กล่าว

อนึ่ง เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2502 ได้กำหนดป่าทุ่งแสลงหลวง จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดเพชรบูรณ์ และป่าอื่นๆ 14 ป่า เป็นอุทยานแห่งชาติ กระทั่งปี พ.ศ. 2503 ตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 3 ของประเทศ ถือเป็น "ทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งเมืองไทย" เนื้อที่ประมาณ 789,000 ไร่ ครอบคลุม อ.วังทอง อ.นครไทย อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก และ อ.เขาค้อ อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์ ชื่อของอุทยานฯ

สันนิษฐานว่า พันธุ์ไม้ชนิดหนึ่ง คือ ต้นแสลงใจ เป็นไม้ยืนต้นขึ้นอยู่เป็นจำนวนมากจึงตั้งชื่อว่า "ทุ่งแสลงหลวง" มีป่าหลายชนิดและสัตว์ป่าชุกชุม ประกอบด้วย 1.ป่าดิบเขา 2. ป่าดิบชื้น 3. ป่าดิบแล้ง 4. ป่าสนเขา 5. ป่าเบญจพรรณ 6. ป่าเต็งรัง 7. ทุ่งหญ้า ซึ่งเป็นพื้นที่โล่งกว้าง จึงมักพบสัตว์ป่าที่ อาทิ ช้างป่า กระทิง ลิงกัง ค่างแว่นถิ่นเหนือ กวางป่า หมูป่า กระต่ายป่า กระแต กระรอก กระเล็น หนูท้องขาว นกและ งู หลากหลายชนิด

ดวงอาทิตย์ "อ่อนแรง" ผิดปกติ เมื่อเทียบกับดาวฤกษ์ที่คล้ายกัน

แม้ในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ดวงอาทิตย์ได้เกิดปรากฎการณ์ปะทุพลังงานรุนแรง เช่นการเกิดเปลวสุริยะหรือโซลาแฟลร์ รวมทั้งพายุสุริยะที่สร้างความเสียหายแก่เครือข่ายเทคโนโลยีต่าง ๆ บนโลกหลายครั้ง แต่เมื่อนำข้อมูลความเคลื่อนไหวทางแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ไปเปรียบเทียบกับดาวฤกษ์ดวงอื่น ๆ แล้ว นักดาราศาสตร์กลับพบว่าดวงอาทิตย์ของเรายังจัดว่าอ่อนแรงกว่าเพื่อนอยู่หลายเท่า

ทีมนักดาราศาสตร์จากสถาบันมักซ์พลังค์เพื่อการวิจัยระบบสุริยะ (MPS) ในเยอรมนี ตีพิมพ์รายงานวิจัยล่าสุดลงในวารสาร Science โดยระบุว่าพวกเขาได้ตรวจสอบระดับความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงในกิจกรรมทางแม่เหล็กไฟฟ้าของดวงอาทิตย์ย้อนหลังไปหลายพันปี โดยวิเคราะห์จากข้อมูลหลายประเภท

ข้อมูลที่สามารถชี้ถึงความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทางแม่เหล็กไฟฟ้าของดวงอาทิตย์ ตลอดช่วงเวลาอย่างน้อย 9,000 ปีที่แล้ว ได้แก่จำนวนของจุดมืดที่ปรากฎบนดวงอาทิตย์ในแต่ละปี ซึ่งมีการจดบันทึกไว้อย่างชัดเจนเป็นระบบตั้งแต่ปี 1610 รวมทั้งการกระจายตัวของไอโซโทปกัมมันตรังสีของธาตุอย่างคาร์บอนและเบริลเลียม ซึ่งอยู่ในวงปีของต้นไม้และชั้นน้ำแข็งเก่าแก่ที่นักวิทยาศาสตร์ขุดเจาะขึ้นมา

ทีมผู้วิจัยพบว่า ตลอดช่วงเวลาเกือบหมื่นปีซึ่งเป็นเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ ของช่วงชีวิตอันยาวนานถึง 4.6 พันล้านปีของดวงอาทิตย์นั้น มีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทางแม่เหล็กไฟฟ้า เช่นความผันแปรของการส่องสว่างและการปะทุพลังงานหลากหลายแบบ ในระดับความรุนแรงที่แทบไม่ต่างไปจากช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา

เมื่อนำข้อมูลที่วิเคราะห์ได้นี้ไปเปรียบเทียบกับดาวฤกษ์ที่คล้ายคลึงกับดวงอาทิตย์ ซึ่งได้แก่ดาวฤกษ์ที่มีอายุ, คาบการหมุนรอบตัวเอง, อุณหภูมิพื้นผิว และสัดส่วนของธาตุหนักที่เป็นองค์ประกอบใกล้เคียงกัน จำนวนทั้งสิ้น 369 ดวง ผลที่ได้กลับชี้ว่าดวงอาทิตย์มีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทางแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทรงพลังน้อยกว่าเพื่อนถึง 5 เท่า

ดร. ทีโม ไรน์โฮลด์ ผู้นำทีมวิจัยบอกว่า "ผลการศึกษาของเราชี้ว่า ดวงอาทิตย์กำลังอยู่ในช่วงสงบนิ่งมาแล้วอย่างน้อย 9,000 ปี ซึ่งแสดงว่าก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์มีความเข้าใจเรื่องการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์ไม่ตรงกับความเป็นจริง"

อย่างไรก็ตามทีมผู้วิจัยระบุด้วยว่า ภาวะสงบนิ่งและอ่อนแรงผิดปกติของดวงอาทิตย์อาจไม่ได้เกิดขึ้นอย่างถาวร และอาจมีความเคลื่อนไหวตื่นตัวทางแม่เหล็กไฟฟ้าที่สูงขึ้นอย่างมากในอีกหลายแสนหรือหลายล้านปีข้างหน้าได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น การที่ดวงอาทิตย์ค่อนข้างนิ่งเงียบ ไม่ปะทุพลังงานรุนแรงในยุคปัจจุบัน ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับภาวะเศรษฐกิจและวิถีชีวิตประจำวันของชาวโลก ซึ่งจะไม่ได้รับผลกระทบหนักจากปรากฎการณ์อย่างพายุสุริยะ

ท่านอน มีผลต่อสุขภาพ! เช็คลิสต์ 7 ท่านอน ท่าไหนดีต่อใจที่สุด

ท่านอนเพื่อสุขภาพมาแชร์ต่อ ดูให้รู้ อ่านให้เก็ท ทั้งหมดนี้คือ ท่านอนที่นอนสบายและส่งผลดีที่สุดต่อสุขภาพของเรา จะมีท่านอนแบบไหนบ้าง เราไปดูพร้อมๆ กันเลย

เปิดมาที่ท่านอนท่าแรก ท่านอนหงาย จัดว่าเป็นท่านอนเบสิคๆ ที่หลายๆ คนทำกัน แต่รู้มั้ยว่าท่านี้ มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง เอาแบบท่าพื้นฐานทั่วไปเลยนะ รู้มั้ยว่าการนอนหงายช่วยลดอาการปวดเมื่อยที่คอและป้องกันการเกิดกรดไหลย้อนได้ค่อนข้างดี ซึ่งแน่นอนว่า มีข้อดีแล้ว ก็ต้องมีข้อเสียด้วยเช่นเดียวกัน

การนอนท่านี้ ว่ากันว่าไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคปอดและโรคหัวใจ เพราะท่านอนหงาย เป็นท่าที่จะทำให้กล้ามเนื้อกะบังลมกดทับปอด ทำให้หายใจไม่สะดวก ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักมากยิ่งขึ้น

วิธีการนอนหงายที่ถูกต้องคือ ระดับของศีรษะ ลำคอ และหลังอยู่ในแนวตรง เวลาเลือกหมอนที่จะใช้หนุน ให้เลือกแบบที่ไม่สูงมาก นอนเป็นแนวราบได้จะดีมากๆ เลย แล้วท่านี้ ก็เป็นอีกหนึ่งท่าที่ตอบโจทย์สาวๆ อย่างเราม้ากมาก! ตรงที่เขาจะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้าของเราได้ด้วย แหม! สงสัยต้องนอนท่านี้บ่อยๆ ซะแล้ว

ท่านอนที่ 2 เป็นอีกหนึ่งท่ายอดฮิตเช่นเดียวกัน ท่านอนคว่ำ นักวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นค้นพบว่า การนอนคว่ำหน้าจะช่วยลดความดันโลหิตสูง ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี ป้องกันการนอนกรน และไม่ทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก ซึ่งในจุดๆ นี้ทางเราก็ไม่แน่ชัด ถ้าอยากรู้ว่าจริงมั้ย ต้องลองค่ะ!

แต่ในความน่ามหัศจรรย์ของมัน รู้มั้ยว่า ท่านอนคว่ำเป็นท่านอนที่เราไม่ค่อยอยากจะแนะนำให้นอนกันเท่าไหร่ เพราะหากเรานอนท่านี้เป็นเวลานานๆ บ่อยๆ จะทำให้กระดูกสันหลังส่วนเอวโค้งไปทางด้านหน้ามากขึ้น แล้วถ้านอนแบบหันหน้าออกด้านข้าง ก็มีโอกาสที่จะทำให้กระดูกต้นคอบิดไปอีก! คือพูดง่ายๆ อะ ว่าข้อเสียเยอะอยู่พอสมควรเลย

แต่ถ้าใครรู้สึกว่า ฉันติดการนอนท่านี้ แนะนำว่าให้หาหมอนใบเล็กๆ มารองบริเวณกระเพาะอาหารและบริเวณอุ้งเชิงกราน เพื่อป้องกันการเจ็บกระดูกสันหลัง ถ้าเลิกไม่ได้ ก็ต้องป้องกัน โอเคนะ

ท่านอนที่ 3 ท่านอนตะแคงซ้ายและขวา มีผลต่างกันนะคุณ! ท่านอนตะแคงไปทางซ้าย เป็นท่าที่ช่วยลดอาการปวดหลัง เพิ่มความดันในตับ ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น เวลานอนท่านี้อะ ควรมีหมอนข้างเอาไว้กอดและพาดขาข้างขวาด้วย เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้ายจากการนอนทับเป็นเวลานาน

ข้อเสียของการนอนท่านี้คือ จะทำให้หัวใจเต้นค่อนข้างลำบากและเป็นท่าที่ไม่เหมาะกับคนป่วยเป็นโรคปอดด้วยเหมือนกัน เพราะจะทำให้ปอดของเราขยายตัวได้ไม่เต็มที่

วิธีนอนที่ถูกต้อง สำหรับคนที่นอนตะแคงซ้ายบ่อยๆ ไม่ควรนอนหนุนหมอนที่ต่ำจนเกินไป เพราะอาจทำให้ปวดต้นคอได้ ให้เลือกนอนหนุนหมอนที่มีความสูงเท่ากับความกว้างของบ่าซ้าย เวลานอนตะแคงจะได้สบาย ไม่ทำให้เราปวดคอจากการตกหมอนไงค่ะ

ท่านอนที่ 4 ตะแคงซ้ายไปแล้ว มาดูกันที่ ท่านอนตะแคงไปทางขวา กันบ้างดีกว่า รู้มั้ยว่าท่านอนตะแคงขวาคือท่านอนที่ดีที่สุด เพราะการนอนท่านี้ จะช่วยทำให้หัวใจเต้นสะดวก ช่วยให้อาหารที่ติดข้างอยู่ในกระเพาะ ถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ยิ่งไปกว่านั้นการนอนท่านี้ยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้ด้วย ที่สำคัญคือ การนอนหันหน้าไปทางขวา ไม่มีผลข้างเคียงต่อหัวใจและปอดด้วยนะ

ถ้าใครที่ชอบนอนตะแคงขวา แนะนำว่าให้เลือกใช้หมอนที่ไม่ต่ำจนเกินไป เพราะอาจจะตกหมอนและคอเคล็ดได้นั่นเองค่ะ

ท่านอนท่าที่ 5 ใครเคยนอนท่านี้กันบ้าง ท่านอนขดตัว จะหันซ้ายหรือขวาก็ได้ แล้วงอหัวเข่าขึ้นมาชิดกับหน้าอกและก้มหน้าลง การนอนท่านี้ มีข้อดีอยู่นะทุกคน ว่ากันว่า ท่านอนท่านี้จะช่วยทำให้เรานอนกรนน้อยลงและเป็นท่าที่เหมาะสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ด้วย เพราะท่าขดตัวจะทำให้เลือดไหลเวียนไปสู่ทารกได้ดี และช่วยลดแรงกดทับของมดลูกที่อยู่ตรงบริเวณตับได้

แถมท่านอนท่านี้ยังเหมาะกับคนที่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์หรือผู้ป่วยพาร์กินสันอีกด้วยนะ เพราะการนอนขดตัวจะช่วยทำให้ของเสียจากสมองถูกกำจัดออกไปจากระบบประสาทได้ดีกว่าการนอนหงายหรือนอนคว่ำ

วิธีการนอนขดตัวที่ถูกต้องคือ ไม่ควรนอนนานจนเกินไป โอเค เขามีข้อดีมากมาย แต่แน่นอนว่า ข้อเสียก็มีเช่นกัน ถ้าเรานอนท่านี้นานไป อาจจะทำให้หายใจไม่สะดวก เพราะฉะนั้นควรเปลี่ยนท่านอนบ้างนะจ๊ะ

พูดตรงๆ เลยนะว่า ท่านอนปลาดาว เป็นท่านอนที่ดูๆ แล้ว สบายที่สุด! กางมันออกไป ทั้งแขนทั้งขา แบบนี้จะไม่ให้สบายได้ยังไงค่ะ! ท่านอนปลาดาว ข้อดีของเขาก็คือ เป็นท่านอนที่จะช่วยทำให้กระดูกสันหลังได้รับการรองรับในแนวราบตลอดคืน แถมใบหน้าไม่เผชิญการกดทับกับหมอนด้วย ลดโอกาสในการเกิดสิวและริ้วรอยบนใบหน้าได้ดีเช่นเดียวกับการนอนหงายปกติ

แต่ข้อเสียของการนอนท่านี้ ก็แอบน่ากลัวเบาๆ เพราะอาจจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการนอนกรน สภาวการณ์หยุดหายใจในขณะที่นอนหลับและการเกิดกรดไหลย้อนได้ เห็นมั้ยว่าความสบายๆ ก็มีความไม่สบายแอบซ้อนอยู่เหมือนกันนะ

และท่านอนสุดท้าย มันก็คือ ท่านอนตะแคง นั่นแหละ เพียงแต่ว่า ท่านอนท่อนซุง จะมีความแข็งทื่อมากกว่า ตรงไปหมดเลยจริงๆ ขนาดแขนทั้งสองข้างยังวางไว้ข้างลำตัวเลย

ซึ่งข้อดีของการนอนท่านี้ ว่ากันว่าเป็นท่านอนที่ค่อนข้างดีต่อสุขภาพนะ เพราะเป็นท่านอนที่กระดูกสันหลังยังคงอยู่ในลักษณะที่เป็นไปอย่างปกติธรรมชาติ ทั้งยังเป็นท่านอนลดอาการปวดหลังและคอได้ดี อีกทั้งยังช่วยบรรเทาและลดอาการกรน กรดไหลย้อนได้ด้วย

ส่วนข้อเสียของการนอนท่าท่อนซุงนั้นก็คือ อาจจะทำให้คุณรู้สึกปวดหลังหรือปวดสะโพกได้ ฉะนั้นควรหาวัสดุรองรับหัวเข่าไม่ให้ตกลงบนที่นอนโดยตรง เช่น หมอนบางๆ หรือหมอนข้าง ก็พอจะช่วยได้แล้ว แต่ถึงยังไงก็อย่านอนนานเกินไปนัก เปลี่ยนท่านอนบ้างก็ดี

โอ้โห! นี่มันก็ท่านอนที่เรานอนกันอยู่ทุกวัน เอางี้ ลองนอนตามท่านอนที่เราหยิบมาฝากในวันนี้ดู ซึ่งท่านอนแต่ละท่า ก็จะมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ก็ลองเลือกดูว่าท่านอนแบบไหนเหมาะที่สุด แล้วลองทำตามกันดูนะ

6 ผลไม้ลดน้ำหนัก กินบ่อยๆ รับรองผิวสวยใส แถมได้หุ่นเป๊ะเวอร์

ในปัจจุบันมีสาวๆ หลายคนที่กำลังกังวลเรื่องน้ำหนัก เพราะจากการทำงานที่เหนื่อยล้ารวมถึงขาดการออกกำลังกาย และเนื่องจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น ย่อมทำให้ระบบการเผาผลาญในร่างกายลดน้อยลง แต่เมื่อมองไปรอบๆ แล้วมีแต่อาหารที่น่ากิน ทำให้น้ำหนักยิ่งเพิ่มขึ้นและอาจมีโรคต่างๆ ตามมา ดังนั้นวันนี้เราลองมาเปลี่ยนอาหารที่กินจากแป้งและไขมัน เป็นผลไม้กันดีกว่า เพราะนอกจากจะช่วยในการลดน้ำหนักแล้ว ยังทำให้มีผิวสวยใสสุขภาพดีอีกด้วย ว่าแล้วอย่ารอช้า ตามมารู้จักกับผลไม้ลดน้ำหนักที่กินแล้วหุ่นสวย ผิวใสกันดีกว่า

1.มะละกอ (Papaya)

เป็นผลไม้ที่สามารถหากินได้ง่ายและมีประโยชน์ โดยสามารถกินได้ทั้งสุกและดิบ ซึ่งในมะละกอจะมีส่วนช่วยในการดูดซับไขมันในลำไส้และขับออกจากระบบทางเดินอาหาร ที่สำคัญมะละกอยังมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยชะลอความชรา บำรุงสายตาและป้องกันการเกิดมะเร็งได้อีกด้วย

2.แอปเปิ้ล (Apple)

เป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อเรื่องการลดน้ำหนักโดยเฉพาะในแอปเปิ้ลเขียว ซึ่งมีเส้นใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ เมื่อกินเข้าไปจะทำให้รู้สึกอิ่มได้นาน และแอปเปิ้ลเขียวยังช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ทำให้มีสิ่งตกค้าง สามารถกระตุ้นการขับถ่ายได้ดี และที่สำคัญแอปเปิ้ลยังสามารถยับยั้งการเกิดมะเร็งได้อีกด้วย

3.ฝรั่ง (Guava)

เป็นผลไม้ที่อร่อยน่ากิน ที่สำคัญยังเหมาะสำหรับการลดน้ำหนักอีกด้วย เพราะฝรั่งแคลอรี่ต่ำ กินแล้วอิ่มท้องง่ายและอิ่มนาน แถมยังช่วยดูดซับน้ำตาลและไขมันในร่างกายให้ขับออกไปพร้อมการขับถ่ายได้อีกด้วย

4.กล้วยน้ำว้า (Banana)

เป็นผลไม้พื้นบ้านที่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงหัวใจ บำรุงสมอง และให้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้าน ที่สำคัญยังช่วยดูดซับน้ำตาลและไขมันก่อนที่ร่างกายจะขับออกทางผ่านระบบขับถ่าย จึงเป็นการช่วยลดน้ำหนักที่ได้ผลดีไปในตัว

5.แตงโม (Watermelon)

ไม่ว่าจะกินเป็นชิ้นๆ หรือทำเป็นเมนูน้ำปั่น แตงโมก็ให้ความสดชื่นต่อร่างกายได้ดีเสมอ ซึ่งแตงโมก็มีสรรพคุณที่สำคัญคือ ช่วยลดสารพิษตกค้างในร่างกายโดยขับออกมาในรูปของปัสสาวะ และยังช่วยบำรุงผิวให้เปล่งปลั่ง เหมาะสำหรับสาวๆ ที่ต้องการลดน้ำหนักและยังทำให้สาวๆ มีผิวสวยใสไม่แห้งกร้านอีกด้วย

6.สับปะรด (Pineapple)

สับปะรดอาจจะมีน้ำตาลเยอะกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ แต่หากกินร่วมกับสลัดผัก หรือผลไม้ชนิดอื่นก็จะเกิดการดูดซับน้ำตาล แล้วขับออกทางปัสสาวะ จึงช่วยในการลดน้ำหนักได้ นอกจากนี้สับปะรดยังช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงสมอง กระตุ้นระบบขับถ่ายในร่างกายจึงทำให้สาวๆ มีผิวพรรณที่สวยใสสุขภาพดี

เป็นอย่างไรกันบ้างคะสาวๆ จะเห็นว่าผลไม้ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลไม้ลดน้ำหนักที่น่ากินทั้งสิ้น เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์สูง บางชนิดก็มีส่วนประกอบของน้ำอยู่เพียบ กินแล้วจะทำให้อิ่มง่ายและอิ่มนาน แถมยังอุดมไปด้วยวิตามินแร่ธาตุที่นอกจากจะช่วยเสริมสุขภาพให้ดีแล้ว ยังทำให้ผิวสวยใสอีกด้วย