ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



หูตึงเกิดจากอะไร ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงแค่ไหน รักษาได้หรือไม่

หูตึง คือคำที่เรียกจนติดปากของโรคประสาทหูเสื่อม ซึ่งมักพบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันพบว่ามีหลายคนที่มีภาวะหูตึงก่อนวัย จึงเกิดคำถามว่าหูตึงเกิดจากอะไร รักษาได้หรือไม่

นอกจากอาการหูตึงในผู้สูงอายุแล้ว ปัจจุบันยังพบว่าพฤติกรรมบางอย่างส่งผลให้มีภาวะหูตึงก่อนวัยมากขึ้น นั่นคือการสวมใส่หูฟังเป็นเวลานานติดต่อกันหลายชั่วโมงต่อวัน บางคนใส่แล้วเปิดเสียงดังจนคนข้างๆ ได้ยิน รู้ตัวอีกทีก็รู้สึกว่าการได้ยินผิดปกติไม่ชัดเหมือนเดิม ซึ่งอาจเป็นอาการของ ‘โรคประสาทหูเสื่อม’ หรือที่เรียกกันติดปากว่า ‘ภาวะหูตึง’ ที่ปกติมักจะพบได้ในผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันกลับพบเจอได้มากขึ้นในกลุ่มคนที่ยังอายุไม่เยอะ

ผศ.พญ.กวินญรัตน์ จิตรอรุณฑ์ โสต ศอ นาสิก (Otolaryngology) นาสิกวิทยาและโรคภูมิแพ้ ศูนย์หู คอ จมูก เผยถึงอาการของโรคประสาทหูเสื่อม พร้อมแนะนำแนวทางการป้องกันและวิธีการรักษา เพื่อดูแลให้หูของเราสุขภาพดีตามวัย

หูตึงเกิดจากอะไร

โรคประสาทหูเสื่อม หรือหูตึง เกิดจากการสูญเสียการได้ยินเนื่องจากเซลล์ประสาทหูเสื่อมสภาพ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น อายุที่มากขึ้น การได้ยินเสียงดังบ่อยๆ การอักเสบ หรือติดเชื้อ เป็นต้น โดยเฉพาะช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป ร่างกายจะสร้างเซลล์ประสาทการได้ยินขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่ตายได้ไม่เท่าตอนอายุน้อย ทำให้การได้ยินเสื่อมลง เรียกว่าอาการประสาทหูเสื่อมตามธรรมชาติ อีกทั้งถ้ามีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ร่วมด้วย อาทิ กรรมพันธุ์ โรคเบาหวาน โรคทางระบบประสาทอื่นๆ ที่กระตุ้นให้การได้ยินเสื่อมเร็วขึ้นได้เช่นกัน

ด้าน ผศ.พญ.กวินญรัตน์ อธิบายเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมว่า “เรื่องการใส่หูฟัง จริงๆ ก็มีผลทำให้การได้ยินลดลงพอสมควร โดยเฉพาะหูฟังประเภทที่ใส่เข้าไปในรูหู พอเปิดเสียงดังมากๆ จะมีความดันเข้าไปในหู ทำให้เซลล์ประสาทหูทำงานหนัก ส่งผลให้สูญเสียการได้ยินก่อนวัยอันควร”

วิธีการสังเกตว่าเราเริ่มมีอาการประสาทหูเสื่อมหรือยังนั้นทำได้ง่ายๆ โดยอาการที่เห็นได้ชัดคือ

เปิดทีวี หรือลำโพงเสียงดังจนรบกวนคนอื่น

ไม่ได้ยินเสียงคนข้างๆ พูด

ได้ยินเสียง วี๊ๆ เหมือนเสียงลมในหู

ได้ยินเสียงซ่าๆ คล้ายเสียงทีวีเสีย

หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบมาพบแพทย์

โรคหูตึงเฉียบพลันภัยร้ายที่ไม่ทันตั้งตัว

โรคประสาทหูเสื่อม โดยทั่วไปจะค่อยๆ สูญเสียการได้ยิน ซึ่งมักเป็นไปตามวัย แต่มีอีกโรคหนึ่งที่มีผลกระทบต่อการได้ยินแบบฉับพลัน คือ ‘โรคหูตึงเฉียบพลัน’ ที่เกิดได้ในทุกช่วงวัย บางคนมีอาการตื่นมาตอนเช้าหูอื้อไปหนึ่งข้าง หรืออยู่ดีๆ ก็เวียนหัว และหูไม่ได้ยินขึ้นมา ซึ่งส่วนใหญ่เกิดโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่อาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยดังต่อไปนี้

การติดเชื้อ

ประสาทหูบาดเจ็บจากการได้ยินเสียงดัง (Acoustic Trauma)

อุบัติเหตุ

เนื้องอกบริเวณฐานสมอง

โรคอื่นๆ ที่มีผลต่อระบบประสาท

โดย ผศ.พญ.กวินญรัตน์ เผยถึงวิธีรักษาโรคนี้ว่า “โรคประสาทหูเสื่อมเฉียบพลันยิ่งมารักษาเร็วก็ยิ่งมีโอกาสหายสูง ซึ่งสามารถรักษาได้หลายวิธี ได้แก่ การให้สเตียรอยด์แบบรับประทาน (high dose steroids) เป็นเวลา 5-7 วัน การฉีดสเตียรอยด์เข้าไปในหูชั้นกลางผ่านเยื่อแก้วหู (intratympnanic steroid injection) เพื่อช่วยลดการอักเสบของประสาทหู นอกจากนี้ในปัจจุบันมีวิธีที่เรียกว่า Hyperbaric Oxygen Therapy ที่จะใช้ออกซิเจนความดันสูงช่วยในการรักษา จะช่วยเพิ่มโอกาสที่การได้ยินจะกลับมาดีขึ้น”

หูตึงรักษายาก แต่ป้องกันได้ก่อนเสียการได้ยินระยะยาว

ปกติแล้วโรคหูตึงถือว่าเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ เพราะการฟื้นฟูประสาทการได้ยินนั้นทำได้ยาก จึงทำได้เพียงประคับประคองไม่ให้เสื่อมเร็ว เช่น หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่เสียงดัง หากเป็นโรคเบาหวาน หรือโรคทางระบบประสาทอื่นๆ ก็ยิ่งต้องควบคุมอาการให้ดีเพื่อไม่ให้ไปกระตุ้นอาการประสาทหูเสื่อม อย่างไรก็ตามแม้ว่าโรคนี้จะไม่สามารถรักษาได้ แต่คนที่สูญเสียการได้ยินมากๆ ก็สามารถใส่เครื่องช่วยฟังได้เช่นกัน ซึ่งในปัจจุบันมีการพัฒนาจนมีขนาดกะทัดรัด และสามารถปรับระดับการได้ยินให้เหมาะสมกับแต่ละคน

“โรคประสาทหูเสื่อมถือเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติเมื่ออายุมากขึ้น แต่เมื่อในปัจจุบันเราเจอกับเสียงดังบ่อยขึ้นกว่าเดิมทั้งในและนอกบ้าน การเสื่อมของหูก่อนวัยอันควรอาจเกิดขึ้นกับหลายๆ คนได้ เราจึงควรป้องกันหูของเรา ด้วยการหลีกเลี่ยงเสียงดังที่ไม่จำเป็น เพื่อให้หูของเราได้ยินชัดตามวัย และไม่สูญเสียการได้ยินก่อนวัยอันควร” ผศ.พญ.กวินญรัตน์ จิตรอรุณฑ์ กล่าวทิ้งท้าย.

ภาพ : iStock


10 วิธีนอนหลับให้สบาย ช่วยยืดอายุและชะลอวัย

วิธีนอนหลับสบายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้คนทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุ เพราะอายุมากไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา เพราะการนอนหลับไม่เพียงพออาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพต่างๆ ได้ เช่น ภาวะซึมเศร้า โรคหัวใจ และความจำเสื่อม ฯลฯ มาดูกันว่ามีวิธีไหนที่จะช่วยให้หลับสบายขึ้นได้บ้าง

10 วิธีนอนหลับให้สบาย

สถาบันแห่งชาติเรื่องผู้สูงอายุ (National Institute on Aging) ซึ่งเป็นผู้นำด้านการวิจัยผู้สูงอายุของสหรัฐอเมริกา เผยวิธีนอนหลับให้สบายไว้ดังต่อไปนี้

ตั้งตารางการนอนให้เป็นเวลา เข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดียวกันทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์หรือเวลาไปเที่ยว การนอนหลับและตื่นนอนในเวลาเดียวกันจะช่วยให้ร่างกายของคุณเข้าสู่วงจรการนอนหลับได้ดีขึ้น

หลีกเลี่ยงการงีบหลับในช่วงบ่ายแก่ๆ หรือตอนเย็น เพราะการงีบหลับอาจทำให้นอนไม่หลับในตอนกลางคืนได้ หากง่วงให้งีบหลับในช่วงเช้าหรือช่วงกลางวัน และอย่าให้เกิน 30 นาที

สร้างกิจวัตรก่อนนอน ผ่อนคลายก่อนนอนทุกคืนด้วยการอ่านหนังสือ ฟังเพลงเบาๆ แช่ตัวหรืออาบน้ำอุ่น การผ่อนคลายก่อนนอนจะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น

หลีกเลี่ยงการดูโทรทัศน์หรือใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ตในห้องนอน เพราะแสงไฟจากอุปกรณ์เหล่านี้จะทำให้นอนหลับได้ยากขึ้น ส่วนรายการหรือภาพยนตร์ที่ต้องลุ้นหรือน่ากลัว เช่น ภาพยนตร์สยองขวัญ อาจทำให้ตาค้างและนอนไม่หลับได้

รักษาอุณหภูมิห้องนอนให้เหมาะสม ไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป และเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้

ใช้แสงไฟสลัวในช่วงเย็น และขณะเตรียมตัวเข้านอน

ออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกวัน แต่ไม่ใช่ภายใน 3 ชั่วโมงก่อนนอน

หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมื้อใหญ่ใกล้เวลานอน เพราะจะทำให้หลับยาก

หลีกเลี่ยงคาเฟอีนในช่วงบ่ายแก่ๆ เพราะคาเฟอีนในกาแฟ ชา โซดา และช็อกโกแลต อาจทำให้หลับยาก

อย่าลืมว่าแอลกอฮอล์ไม่ได้ช่วยให้หลับ แม้เพียงปริมาณเล็กน้อยก็อาจทำให้หลับยากได้

เคล็ดลับที่จะช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น

คุณอาจเคยได้ยินเคล็ดลับบางอย่างที่ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องนับแกะจริงๆ ก็ได้ แต่เรามีวิธีต่อไปนี้มาแนะนำ

การอ่านหนังสือก่อนนอนเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น

ลองใช้วิธีนับช้าๆ จาก 1 ถึง 100 แทน หรือเล่นเกมที่ต้องใช้ความคิดที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย มีสมาธิ ทำให้ใจสงบ จนเกิดอาการง่วง บางคนใช้เกมสะกดจิตเพื่อคลายเครียด เช่น บอกตัวเองว่าอีก 5 นาทีจะต้องตื่นแล้ว เลยขอนอนต่ออีกหน่อย ซึ่งก็จะทำให้เกิดอาการอยากนอนขึ้นมาทันที

การผ่อนคลายร่างกายจะช่วยให้นอนหลับ วิธีหนึ่งที่ทำได้คือจินตนาการว่านิ้วเท้าของคุณผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ จากนั้นจึงค่อยๆ ผ่อนคลายเท้าและข้อเท้าจนรู้สึกสบายขึ้น ทำต่อเนื่องไปจนทั่วร่างกาย บางครั้งอาจจะเผลอหลับไปก่อนจะผ่อนคลายถึงศีรษะก็เป็นได้ วิธีนี้จะคล้ายๆ กับท่าศพอาสนะในการเล่นโยคะ

ใช้ห้องนอนสำหรับการนอนหลับเท่านั้น เมื่อปิดไฟแล้ว ให้เวลาตัวเองประมาณ 20 นาทีในการหลับ หากยังตื่นอยู่และไม่รู้สึกง่วงนอน ให้ลุกออกจากเตียง และเมื่อรู้สึกง่วงนอน ให้กลับไปนอน

หากรู้สึกอ่อนเพลีย ทำอะไรไม่ค่อยไหวนานกว่า 2 หรือ 3 สัปดาห์ คุณอาจมีปัญหาในการนอนหลับ ควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการแก้ไขปัญหาการนอนหลับ

ปรับวิธีนอนหลับช่วยชะลอวัย

แน่นอนว่าการนอนหลับให้สบายจะช่วยยืดอายุให้กับเราได้ในระยะยาว แต่ถ้าหากต้องการชะลอวัยให้ผิวยังคงอ่อนเยาว์ได้ยาวนานยื่งขึ้น การปรับวิธีนอนหลับบางอย่างก็ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยได้เช่นกัน เพราะเรามักมีนิสัยบางอย่างที่ทำให้แก่ขึ้นโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่น ลืมทาครีมกันแดดเวลาไปทะเลในช่วงหน้าร้อน ดื่มเหล้าหนักเกินไปช่วงสุดสัปดาห์ หรือแม้แต่รับประทานอาหารที่อาจไม่ค่อยดีต่อผิวพรรณของเรา

ไม่นอนคว่ำหน้าหรือนอนตะแคงเป็นเวลานาน

นิสัยการนอนบางอย่างก็ส่งผลเสียต่อผิวเช่นกัน การนอนตะแคงหรือนอนคว่ำหน้าอาจทำให้เกิดริ้วรอยและใบหน้าดูแก่กว่าวัย ทั้งนี้ ดร.เอรัม อิลเลียส (Erum Ilyas) แพทย์ผิวหนัง ได้ให้ความกระจ่างว่า

“ถ้าคุณเป็นคนที่นอนคว่ำหน้าหรือนอนตะแคงซ้าย-ขวา เป็นเวลานานๆ ผิวจะถูกกดทับและเกิดแรงอัด ทำให้เหมือนถูกบีบหน้าอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะส่งผลให้ผิวหน้าเริ่มเกิดริ้วรอย เพราะคอลลาเจนใต้ผิวเริ่มสลายตามบริเวณที่ถูกกดทับเป็นประจำ”

นิสัยการนอนแบบนี้บ่อยๆ แม้จะไม่เป็นสาเหตุหลักของริ้วรอยถาวร แต่หากทำประจำเป็นเวลานานก็อาจทำให้เกิดริ้วรอยได้ ดร.ดัสทิน พอร์เทลา แพทย์ผิวหนังและศัลยแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ กล่าวกับ Sleepopolis ว่า “การนอนตะแคงซ้ำๆ จะทำให้ผิวหน้าด้านหนึ่งโดนกดทับมากกว่าอีกด้าน ส่งผลให้คอลลาเจนใต้ผิวบริเวณนั้นสลายตัว และอาจทำให้เกิดริ้วรอยได้”

การนอนตะแคงหรือนอนคว่ำเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าและตามร่างกายได้

...แพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ ดร.เดแอนน์ มราซ โรบินสัน (Deanne Mraz Robinson) กล่าวกับ Allure ว่า แม้ว่าท่าการนอนเพียงอย่างเดียวอาจไม่ทำให้เกิดสัญญาณของความชรา แต่ก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นผิวของคนที่โตเต็มวัยที่ไม่ยืดหยุ่นเท่าผิวที่อ่อนเยาว์

“ท่าการนอนไม่ได้เป็นตัวการหลักของการเกิดริ้วรอย แต่อาจเป็นตัวเร่งและทำให้ริ้วรอยบนหน้าอก คอ และใบหน้าเห็นได้ชัดขึ้น ริ้วรอยที่เกิดจากท่าการนอนจะเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นบนผิวที่หย่อนคล้อย ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงเห็นริ้วรอยบนหน้าอกของผู้ใหญ่ แต่ไม่ค่อยเห็นในเด็ก”

แล้วคนที่ติดนอนตะแคงหรือนอนคว่ำจะทำอย่างไร

สำหรับคนที่ติดนิสัยในการนอนคว่ำหรือนอนตะแคงจะมีคำถามว่า หากต้องชะลอวัย ควรต้องเปลี่ยนท่าเป็นนอนหงายอย่างเดียว เพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอยหรือไม่ เพราะการเปลี่ยนท่านอนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากคนส่วนใหญ่ก็นอนท่าเดิมๆ มาตลอดชีวิต สำหรับเรื่องนี้ ดร.เอลมา บารอน (Elma Baron) หัวหน้าแพทย์ผิวหนังจากมหาวิทยาลัย Case Western Reserve กล่าวว่า

“เมื่อพูดถึงเรื่องริ้วรอยของผิว ไม่จำเป็นต้องกังวลมากจนเกินไป หากเป็นเพียงเรื่องท่านอนที่คุณคุ้นเคย นอนไม่ดีอาจจะไม่ได้ก่อริ้วรอยโดยตรงเท่าไร แต่การนอนหลับให้สนิทต่างหากที่ให้ประโยชน์มากกว่าเยอะ” ในทางกลับกันการนอนที่ไม่ดีสามารถส่งผลต่อสุขภาพและทำให้แก่เร็วได้

วิธีดูแลผิวพรรณช่วยชะลอวัยในระยะยาว

จะสู้กับผิวแก่ก่อนวัยได้ต้องมีวินัย เช่น ให้ความสำคัญกับการนอนหลับให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน ไม่ว่าจะออกนอกบ้านหรือไม่ก็ตาม และบำรุงผิวเป็นประจำด้วยสกินแคร์ที่ดี ทั้งมอยส์เจอไรเซอร์และเรตินอล เมื่อไรก็ตามที่ตื่นขึ้นพร้อมตาแพนด้าที่บวมคล้ำ นั่นคือสัญญาณของการนอนไม่พอ

เรเน รูโลว์ (Renée Rouleau) ผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม ระบุว่า “ยอมรับเลยว่า การทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันเป็นวิธีชะลอวัยผิวที่เห็นผลได้อย่างชัดเจน การทาครีมกันแดดในปริมาณที่พอเหมาะเป็นประจำทุกเช้า จะช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องลึก และจุดด่างดำอย่างเห็นได้ชัด” และควรเสริมด้วยเซรั่มเรตินอลและวิตามินซีเพื่อช่วยต้านริ้วรอยด้วย นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว เพื่อสุขภาพผิวที่ดีจากภายในสู่ภายนอก

สำหรับคนที่อยากลองเปลี่ยนท่านอนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอย สามารถใช้หมอนลดริ้วรอยหรือหมอนข้างช่วยได้ ดร.เบรนแดน แคมป์ แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง เผยกับ Today ว่า

“หมอนลดริ้วรอยได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับศีรษะทั้งสองข้าง และช่วยให้อยู่ในท่าหงายขณะนอนหลับ” พร้อมกันนี้ ดร.เดแอนน์ มราซ โรบินสัน ได้แนะนำให้ใช้ปลอกหมอนผ้าซาตินหรือผ้าไหมแทนผ้าคอตตอน เพราะจะช่วยลดการเสียดสีของผิวหน้ากับปลอกหมอน แถมยังช่วยให้สุขภาพเส้นผมดีขึ้นอีกด้วย

ที่มา : National Institute on Aging, Health Digest


รู้จักโรคลูปัส ที่คร่าชีวิตโจวไห่เม่ย อดีตนางเอกดังชาวฮ่องกง

โจวไห่เม่ย อดีตนางเอกดังชาวฮ่องกงในตำนานแห่งยุค 90 ได้เสียชีวิตลงในวัย 57 ปี หลังจากป่วยหนักด้วยโรคลูปัส ที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมีความผิดปกติ เป็นเหตุให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา

โรคลูปัส เกิดจากอะไร

โรคลูปัส หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Systemic Lupus Erythematosus (SLE)) หรือที่คนไทยมักจะเรียกกันว่า โรคพุ่มพวง เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้มีการสร้างภูมิคุ้มกันหลายชนิดต่อเนื้อเยื่อของตนเอง มีผลทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย โรคลูปัส เกิดจากหลายสาเหตุร่วมกัน เช่น

พันธุกรรม

ปัจจัยทางสภาพแวดล้อม เช่น แสงแดด (รังสีอัลตราไวโอเลต) ความเครียด

การติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อโรคอื่นๆ

การใช้ยาบางตัว เช่น Methyldopa, Procainamide, Hydralazine, Isoniazid, Chlorpromazine เป็นต้น

อาการโรคลูปัส

โรคลูปัสมักพบในวัยหนุ่มสาว อายุ 15-40 ปี พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย รวมทั้งยังมีอาการที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยที่ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องมีทุกอาการดังต่อไปนี้ เช่น

มีไข้

อ่อนเพลีย

ปวดข้อ

มีผื่นแดงตามใบหน้า

ผื่นแพ้แดด

ผมร่วง

มีแผลในปาก

บางรายมีอาการซีด

ติดเชื้อง่าย

มีจุดเลือดออกหรือเส้นเลือดอักเสบ

นิ้วซีดเขียวเวลาถูกความเย็น

ขาบวม

ปัสสาวะผิดปกติ

มีความผิดปกติทางไต

เหนื่อยหอบ

เจ็บหน้าอก

ชักหรือมีปัญหาทางระบบประสาทได้

โรคลูปัส รักษาได้ไหม

โรคลูปัส หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องใช้ระยะเวลารักษายาวนาน รวมทั้งต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้จะเป็นช่วงที่ไม่มีอาการก็ตาม โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและวางแผนการรักษา การเลือกใช้ยาให้เหมาะสมนั้นจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ยาที่ใช้ในการรักษา เช่น ยาปรับภูมิคุ้มกัน ยากดภูมิคุ้มกัน หรือกลุ่มยาสเตียรอยด์แล้วแต่กรณี

วิธีดูแลตัวเองของผู้ป่วยโรคลูปัส

สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคลูปัสควรมีวิธีปฏิบัติตนดังต่อไปนี้ เพื่อรักษาภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย

นอนหลับให้เพียงพอ

ควบคุมความเครียด

เลี่ยงการออกแดด หากต้องออกแดดควรสวมใส่เสื้อผ้าที่ป้องกันแดด และทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF มากกว่า 55

หลีกเลี่ยงการติดเชื้อด้วยการทานอาหารที่สะอาด

ทานยาตามที่แพทย์สั่งเสมอ

ตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ การทำฟัน ถอนฟัน ควรรับประทานยาปฏิชีวนะก่อนและหลังทำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์

หากไม่สบายไม่ควรซื้อยากินเอง ควรพบแพทย์และบอกแพทย์ด้วยว่าเป็นโรคลูปัส เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม และแพทย์จะได้หลีกเลี่ยงยาบางตัวที่อาจทำให้โรคกำเริบขึ้น

นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรทราบว่าโรคนี้มีความรุนแรงแตกต่างกัน บางคนอาจมีอาการเล็กน้อย แต่บางคนอาจมีอาการรุนแรงได้ แม้ว่าผู้ป่วยมีอาการเล็กน้อย ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาการอาจรุนแรงมากขึ้นได้ โรคนี้เป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งมีอาการกำเริบและสงบสลับกันไป ดังนั้นควรมารับการตรวจรักษาจากแพทย์โดยสม่ำเสมอ รับประทานยาตามสั่งโดยเคร่งครัด ไม่ควรหยุดยาหรือลดยาเอง เพราะอาจทำให้โรคกำเริบขึ้น

ถ้าโรคยังไม่สงบ ไม่ควรตั้งครรภ์ เนื่องจากโรคอาจกำเริบขณะตั้งครรภ์ได้ อาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยและทารก นอกจากนี้ยาที่รับประทานเพื่อควบคุมโรคในผู้ป่วยบางรายอาจมีผลต่อทารกในครรภ์ ถ้าโรคสงบแล้ว สามารถตั้งครรภ์ได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อน และขณะตั้งครรภ์ควรมารับการตรวจร่างกายอย่างใกล้ชิดมากกว่าเดิม เพราะบางครั้งโรคอาจกำเริบได้

การรักษาโรคแพ้ภูมิตัวเอง เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพราะการรักษาที่สม่ำเสมอช่วยทำให้โรคสงบได้ โดยแพทย์จะเริ่มทำการรักษาจากการประเมินความรุนแรงของอาการที่ผู้ป่วยเป็นว่ามากน้อยแค่ไหน เพราะแต่ละคนอาการจะมีความรุนแรงของโรคไม่เท่ากัน หลังจากนั้นจึงวางแผนการรักษาและการให้ยา ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมาก เกิดการอักเสบของร่างกายในหลายระบบ แพทย์อาจพิจารณาการใช้ยาสเตียรอยด์หรือยากดภูมิเพื่อคุมโรค ดังนั้นผู้ป่วยแต่ละคนจึงได้ยาแตกต่างกันตามความรุนแรงของโรค

ข้อควรปฏิบัติของผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) คือ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการออกแดด ลดและหลีกเลี่ยงการติดเชื้อด้วยการทานอาหารที่สะอาด รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ ไม่ลดหรือเพิ่มยาเอง มาตรวจหรือพบแพทย์ตามนัดอย่าให้ขาด เพราะการพบแพทย์และได้รับรักษาอย่างถูกวิธีจะช่วยให้ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

ข้อมูลอ้างอิง : คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, รพ.พญาไท


ผลักดัน'จิ้งหรีดพิษณุโลก'ส่งขายโรงงานแปรรูปส่งออกสู่ตลาดโลก

จังหวัดพิษณุโลกเดินหน้าส่งเสริมการเลี้ยงจิ้งหรีด "จิ้งหรีดพิษณุโลกสู่ตลาดโลก" พร้อมลงนามบันทึกข้อตกลงการซื้อขายจิ้งหรีดล่วงหน้า เลี้ยงจิ้งหรีดส่งขายให้กับโรงงานนำไปแปรรูป ส่งออกต่างประเทศ

ที่ทำการกลุ่มวิสาหกิจชุมชนพืชสมุนไพรทรัพย์ไพรวัลย์ หมู่3 ตำบลแก่งโสภา อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานายภูสิต สมจิตต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ได้ไปเปิดงานส่งเสริมการเลี้ยงจิ้งหรีด "จิ้งหรีดพิษณุโลกสู่ตลาดโลก" และการลงนามบันทึกข้อตกลงการซื้อขายจิ้งหรีดล่วงหน้า (MOU) ระหว่างบริษัท ล้านฟาร์มฮัก จำกัด ประธานวิสาหกิจชุมชนขวัญใจฟาร์ม กับประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนพืชสมุนไพรทรัพย์ไพรวัลย์ เพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพการผลิตและส่งเสริมการเลี้ยงจิ้งหรีด ที่สามารถเพิ่มมูลค่าสินค้าและมีตลาดรองรับการจำหน่าย และสามารถสร้างอาชีพเสริมนำไปสู่รายได้หลักในครัวเรือนได้อย่างยั่งยืน

นอกจกานี้ นายภูสิต สมจิตต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ยังได้ไปเยี่ยมชมบ่อเลี้ยงจิ้งหรีดของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนพืชสมุนไพรทรัพย์ไพรวัลย์และเยี่ยมชมโรงงานผลิตและแปรรูป ณ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนขวัญใจฟาร์ม หมู่ที่ 7 ตำบลแก่งโสภา อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก พร้อมชิมจิ้งหรีดทอด อีกด้วย

นายนนทวัฒน์ บางเอี่ยม กรรมการผู้จัดการบริษัท ล้านฟาร์มฮัก จำกัด ปัจจุบัน มีผู้นิยมนำจิ้งหรีดมาใช้เพื่อการบริโภคเป็นอาหารและใช้เป็นอาหารสัตว์ จึงมีการส่งเสริมให้เลี้ยงจิ้งหรีดในฐานะเป็นสัตว์เศรษฐกิจ มากขึ้น โดยทางบริษัท ล้านฟาร์มฮัก จำกัด ได้เป็นโรงงานแปรรูปจิ้งหรีด ส่งจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ที่รับซื้อจิ้งหรีด จากกลุ่มเกษตรกร 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก พิจิตร อุตรดิตถ์ และเพชรบูรณ์ เดือนหนึ่งทั้ง 5 จังหวัดประมาณ 1 ตัน โดยราคาที่รับซื้อ จิ้งหรีดทองดำ ราคา 95 บาท ต่อกิโลกรัม จิ้งหรีดสะดิ้ง หรือจิ้งหรีดบ้าน 82 บาทต่อกิโลกรัม จิ้งหรีดทองแดง หรือจิ้งโก่ง ราคากิโลกรัมละ 200 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งส่วนใหญ่ทางโรงงานก็จะนำไปแปรรูป เป็นจิ้งหรีดอบแห้ง ใช้ในการเลี้ยงสัตว์, ผลโปรตีนจิ้งหรีด สามารถนำไปใช้ในกลุ่มวัตถุดิบผสมขนมปัง ให้โปรตีนที่สูง โดยตลาดที่ส่งจำหน่าย ทั้งในห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ ส่วนต่างประเทศส่งออกที่ประเทศออสเตรียเลีย

ปัจจุบันมีเกษตรกรผู้เลี้ยงจิ้งหรีดในประเทศไทยมีไม่ต่ำกว่า 20,000 ราย เนื่องจากจิ้งหรีดเป็นแมลงเศรษฐกิจที่นิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลาย รสชาติอร่อย มีโปรตีนสูง ทั้งยังเป็นที่ต้องการของตลาดโลกเป็นการยกระดับอาหารภูมิปัญญาพื้นบ้าน สู่ตลาดโลก ส่วนใหญ่ผู้เลี้ยงจะนำจิ้งหรีดมาประกอบอาหารด้วยการคั่ว ทอดขายตามท้องตลาด หรือแปรรูปด้วยการผลิตเป็นจิ้งหรีดอัดกระป๋องเพื่อเพิ่มมูลค่าและเพิ่มช่องทางการขาย โดยมีทั้งฟาร์มขนาดเล็กที่ผลิตเพื่อจำหน่ายภายในประเทศและฟาร์มขนาดใหญ่ที่ผลิตเพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากเดิมที่เคยจับตามธรรมชาติก็เปลี่ยนแปลงไป ด้วยปริมาณที่ได้รับไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดจึงได้ทำการเพาะเลี้ยงเอง

ดังนั้น จังหวัดพิษณุโลก จึงพร้อมผลักดันให้จิ้งหรีดพิษณุโลกไปสู่ตลาดโลก เป็นการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับชาวพิษณุโลกต่อไป


ญี่ปุ่นช็อก! ปลาตายเกลื่อนหลายพันตัน หลังปล่อยน้ำบำบัดกัมมันตรังสีจากฟุกุชิมะ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กรณีมีปลาซาร์ดีนและปลาแมคเคอเรลจำนวนมากถูกคลื่นซัดมาเกยชายหาดที่เกาะฮอกไกโด ทางภาคเหนือสุดของญี่ปุ่นเมื่อไม่กี่วันก่อน จนสร้างความตื่นตะลึงว่ากำลังก่อให้เกิดความสงสัยและความกังวลใจตามมา

เนื่องจากปรากฏการณ์ปลาซาร์ดีนและปลาแมคเคอเรลตายเกลื่อนชายหาดมากมายมหาศาลขนาดนี้และยังไม่ทราบสาเหตุ เกิดขึ้นเพียงแค่ราว 3 เดือน หลังจากทางการญี่ปุ่นตัดสินใจให้ปล่อยน้ำบำบัดกัมมันตรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟุกุชิมะ ลงสู่ทางทะเลและเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค

ขณะเดียวกัน กรณีดังกล่าวสร้างความตื่นตะลึงก่อให้เกิดความสงสัยและความกังวลใจของประชาชนเป็นอย่างมาก เพราะมีซากปลาคาดว่ามีน้ำหนักรวมหลายพันตัน ถูกคลื่นซัดเข้าฝั่งจนลอยเป็นแพสีเงินเหนือผิวน้ำทะเลริมชายหาด เป็นระยะทางยาวถึงเกือบ 2 กม.

อย่างไรก็ตาม ทางนักวิจัยที่สถาบันประมงเมืองฮาโกะดาเตะ ได้แสดงความเห็นถึงกรณีนี้ว่า อาจเกิดขึ้นเนื่องจากปลาเหล่านี้หมดแรงเพราะขาดออกซิเจน ขณะฝูงปลาจำนวนมากกำลังว่ายอยู่ในบริเวณน้ำตื้น หรือปลาอาจจะว่ายมายังเขตน้ำเย็นอย่างกะทันหันระหว่างการอพยพ และเกิดอาการช็อก

นอกจากนี้ ทางเทศบาลเมืองกำลังเร่งหาสาเหตุของปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้น โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเดียวกับฤดูกาลที่ปลาซาร์ดีนจะอพยพจากฮอกไกโดลงไปทางใต้พอดี