ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



ครบเครื่อง ญ.อมตะ 23 มกราคม 2564

รู้จัก "มะระขี้นก" หวานเป็นลม ขมเป็นยา สรรพคุณสมุนไพรไทย

สมุนไพรไทยเปรียบเสมือนตู้ยาริมรั้วที่มีสรรพคุณในการป้องกันโรคต่างๆ "มะระขี้นก" ก็เป็นพืชสมุนไพรและผักพื้นบ้านที่พบได้ทุกภาคของประเทศไทย ปลูกง่าย ราคาถูก มีประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการสูง สามารถปรุงอาหารเป็นเมนูเพื่อสุขภาพได้ แถมยังมีผลวิจัยจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกที่ระบุว่า มะระขี้นกสามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย

ทำความรู้จัก “มะระขี้นก” หวานเป็นลม รสชาติขมเป็นยา

มะระขี้นก (ชื่อวิทยาศาสตร์ Momordica Charantia) มักถูกเรียกในภาษาอังกฤษว่า Bitter Gourd เป็นพืชไม้เถาเลื้อยที่อยู่ในตำราสมุนไพรไทยมาช้านาน นิยมปลูกในประเทศเขตร้อน ผลมีลักษณะคล้ายกระสวย ผิวเปลือกขรุขระ มีสีเขียวอ่อนไปจนถึงสีเขียวแก่ สำหรับหลายคนที่สงสัยว่ามะระขี้นกกินสดได้ไหม? ส่วนใหญ่จะไม่นิยม เนื่องจากมะระขี้นกมีรสชาติขมจึงนำไปลวกหรือต้มสุกก่อนเพื่อให้รสชาติอ่อนลง ใช้เป็นผักลวกกินคู่กับน้ำพริก ถือเป็นพืชสมุนไพรที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ให้ทั้งสรรพคุณทางยาและสรรพคุณทางโภชนาการคุณค่าสูง

ประโยชน์และสรรพคุณของมะระขี้นก

ภูมิปัญญาไทยแต่โบราณรู้จักใช้ส่วนต่างๆ ของมะระขี้นกเป็น "ยา" ในการรักษาบรรเทาและป้องกันโรคต่างๆ เช่น ใช้ใบเป็นยาลดไข้ ใช้รากรักษาอาการโลหิตเป็นพิษ ใช้ผลบรรเทาอาการข้ออักเสบและโรคเกาต์ ภายหลังมีผลวิจัยทางการแพทย์ทั้งของไทยและนานาชาติที่อธิบายถึงประโยชน์และสรรพคุณของมะระขี้นกเพิ่มเติมว่า มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่สามารถออกฤทธิ์ต้านเบาหวาน ช่วยลดน้ำตาลในเลือด และรักษาระดับความดันเลือดให้เป็นปกติ

ทั้งนี้ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก รายงานผลวิจัยที่ใช้มะระขี้นกทดลองในผู้ป่วยเบาหวาน ด้วยการใช้มะระขี้นกปริมาณ 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลานาน 6 เดือน พบว่าไม่มีผลข้างเคียงและไม่เป็นอันตรายต่อตับ อีกทั้งสาร Charantin ในมะระขี้นกช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้จริง ทำให้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นอาหารและยาในการรักษาโรคเบาหวานได้อย่างปลอดภัย

• ใบมะระขี้นก : นำใบมะระมาต้มใช้เป็นยาแก้โรคนอนไม่หลับและบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ สามารถนำใบมาคั้นเป็นน้ำเพื่อดื่มเป็นยาแก้อาเจียน ช่วยขับลม ช่วยขับพยาธิ นอกจากนี้เมื่อนำใบมะระขี้นกมาตำให้แหลกหยาบๆ มีฤทธิ์ช่วยสมานแผล

• ผลมะระขี้นก : นำผลสดมาต้มเป็นยาที่มีสรรพคุณลดปริมาณน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคเบาหวาน ช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย แก้อาการจุดเสียด อาการแน่นท้อง แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ หรือจะนำผลไปตากแห้งแล้วนำมาต้มเป็นชาก็ได้เช่นกัน

• รากมะระขี้นก : หากมีปัญหาเรื่องท้องผูก ให้นำรากของต้นมะระขี้นกมาต้มแล้วดื่ม เพราะมีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ ปรับสมดุลระบบทางเดินอาหารให้ทำงานปกติ บรรเทาอาการบิด ถ่ายเป็นเลือด และบรรเทาโรคริดสีดวงทวาร

• ดอกมะระขี้นก : สำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้หรือมีปัญหาทางเดินหายใจติดขัด ให้นำดอกมะระขี้นกสดมาต้มให้เป็นน้ำ แล้วดื่มเพื่อแก้อาการคัดจมูก จะช่วยให้หายใจโล่งขึ้น ถือเป็นพืชสมุนไพรที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน

ของขวัญจากธรรมชาติ เมนูเพื่อสุขภาพจากมะระขี้นก

นอกจากจะมีสรรพคุณทางยาแล้ว มะระขี้นกยังได้รับความนิยมในการนำมาทำเครื่องดื่มและปรุงอาหารเป็นเมนูต่างๆ สำหรับเมนูที่ทำได้ง่ายที่สุดคือ "มะระขี้นกปั่น" เพียงแค่หั่นผลมะระขี้นกให้มีขนาดเล็ก ใส่น้ำเชื่อมและเติมเกลือเล็กน้อยเพื่อลดรสขม หลังจากนั้นใส่น้ำแข็ง แล้วนำไปปั่นเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ช่วยแก้อาการร้อนในและขับเสมหะ หากใครที่อยากให้รสขมจางลงแนะนำให้นำมะระขี้นกไปแช่ตู้เย็นหรือต้มให้สุกก่อนนำมาทำเครื่องดื่ม

ส่วนเมนูอาหารอื่นๆ ก็สามารถใช้ผลของมะระขี้นกเป็นส่วนประกอบได้ เช่น เมนูมะระขี้นกผัดไข่, แกงเผ็ดมะระขี้นก, ยอดมะระขี้นกลวกกะทิกุ้งสด, แกงมะระขี้นกยัดไส้, มะระขี้นกผัดไข่ใส่ใบโหระพา เป็นต้น นอกจากอิ่มอร่อยแล้ว ยังได้จานอร่อยที่มีโภชนาการสูง เพียบพร้อมด้วยสรรพคุณทางยาที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

ข้อระวังสำหรับการกินมะระขี้นก

แม้มะระขี้นกจะมีประโยชน์สารพัด แต่ก็มีข้อควรระวังในบางกลุ่มที่ไม่ควรกินมะระขี้นกในปริมาณที่มากเกินไป เช่น สตรีมีครรภ์และเด็กที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากมะระขี้นกมีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด อาจทำให้ผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอยู่แล้วได้รับอันตรายได้

สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานหรือต้องการกินเพื่อรักษาโรค ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอื่นๆ ให้เหมาะสมด้วย ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่, การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ, การพักผ่อนที่เพียงพอ และควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอรับคำแนะนำที่ถูกวิธี ทั้งนี้ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดให้บริการประชาชนในการสอบถามเรื่องการใช้ "มะระขี้นก" เป็นยารักษาโรค สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์ 0-2149-5678

ที่มา : คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, หมอชาวบ้าน, กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก


ภาพแปลกตา! ทะเลทรายซาฮาราหิมะตกครั้งเเรกในรอบ 100 ปี

19 ม.ค.64 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดหิมะตกในภูมิภาค Aseer ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งมีอากาศลดลงเหลือเพียง -2 องศาเซลเซียส ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นบอกว่าไม่เคยเกิดขึ้นแบบนี้มาก่อนในรอบกว่า 100 ปี ชาวบ้านจำนวนมากจึงแห่ไปที่ทะเลทรายเพื่อชมหิมะที่หายากแบบนี้ และยังมีช่างภาพมาเก็บภาพอูฐที่ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะสีขาวในทะเลทราย

ขณะเดียวกัน นายคาริม บูเชตาตา ช่างภาพชาวแอลจีเรีย บันทึกภาพที่สวยงามแปลกตา ทั้งแกะและอูฐทะเลทราย ต่างออกมาเดินอยู่ท่ามกลางหิมะปกคลุมบริเวณทะเลทรายซาฮาร่า ในแอลจีเรีย ท่ามกลางอุณหภูมิต่ำถึง -3 องศาเซลเซียส ส่วนประชาชนก็ออกมาดูหิมะที่ตกลงมาแบบไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้น บางคนบอกว่ารู้สึกดีใจที่มีหิมะตก ในขณะเดียวกันก็วิตกว่าเกิดอะไรขึ้นกับสภาพอากาศโลกในทุกวันนี้


เที่ยว ‘น่าน’ ชม ‘ดอกซากุระ’ บานสะพรั่งรับ นทท.อุทยานแห่งชาตินันทบุรี

อุทยานแห่งชาตินันทบุรี ยังเปิดบิการตามปกติ โดยนักท่องเที่ยวต้องเตรียมความพร้อมก่อนเข้าอุทยานแห่งชาติ ช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ลงทะเบียนเข้า-ออก แอปพลิเคชัน"ไทยชนะ" รักษาระยะห่าง ลดความเสี่ยงรับ หรือแพร่เชื้อ ปฏิบัติตามกฎระเบียบของอุทยานแห่งชาติ และช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมโดย สวมหน้ากาก ตรวจวัดอุณหภูมิ ใช้เจลแฮลกอฮอล์

อุทยานแห่งชาตินันทบุรี มีบริการบ้านพัก ลานกางเต้นท์ ร้านค้าสวัสดิการ มุมพักผ่อน นั่งเล่น จิบกาแฟ และโซนกางเต้นท์แห่งใหม่ ( อุทยานฯ ใช้ไฟปั่น เปิด - ปิดเป็นเวลา) สอบถามเส้นทาง และการเดินทางล่วงหน้า โทร. ID / LINE 065 4168 853 หน่วยศึกษาพัฒนาการอนุรักษ์ต้นน้ำน้ำคาง อ.ท่าวังผา จ.น่าน สอบถามเพิ่มเติม 096 180 3262

การเดินทางด้วยรถยนต์ จากตัวเมืองน่าน ใช้ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1080 สายน่าน-ทุ่งช้าง ไปยังอำเภอท่าวังผาแล้วเลี้ยวไปตามทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1148 สาย อ.ท่าวังผา - อ.สองแคว ประมาณ 1.5 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายมือ ไปตามทางหลวง 1082 สายบ้านนาหนุน - บ้านสบขุ่น ถึงหลักกิโลเมตรที่ 27 มีทางแยกขวามือเข้าไปอุทยานแห่งชาตินันทบุรี ( เส้นทางลูกรัง ) อีก 3 กิโลเมตร ถึงที่ทำการอุทยานฯ ไป หน่วยศึกษาพัฒนาการอนุรักษ์ต้นน้ำน้ำคาง (ดอยวาว) อีก 1 กิโลเมตร

ทั้งนี้ระหว่างวันที่ 27-31 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา ตามเส้นทางการเดินทางของผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้เดินทางเข้ามาในจังหวัดน่าน และเข้าท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เพื่อให้เป็นตามข้อสั่งการข้างต้น จึงได้ประกาศให้ปิดอุทยานแห่งชาติเป็นการชั่วคราวจน กว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติหรือทางราชการสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้ ซึ่งอุทยานทั้ง 4 แห่งที่ประกาศปิด ได้แก่ อุทยานแห่งชาติขุนน่าน ปิดตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม เป็นต้นไป อุทยานแห่งชาติศรีน่าน อุทยานแห่งชาติขุนสถาน และอุทยานแห่งชาติดอยภูคา และเพิ่มเติมอุทยานแห่งชาติแม่จริม ประกาศล่าสุด ปิด เพิ่ม อีก1 แห่ง เพื่อเป็นการควบคุมและลดความเสี่ยงการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และเพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เสี่ยงต่อการสัมผัสกับผู้ป่วยมีเวลากักตัวและเฝ้าระวังตนเองเป็นระยะเวลา 14 วัน รวมทั้งเพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ทำความสะอาดฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อตามจุดให้บริการนักท่องเที่ยวและสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดังกล่าว

สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีการจองบ้านพักหรือลานกางเต็นท์ไว้ในระบบของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช สามารถยื่นขอรับเงินค่าจองคืนจากเว็บไซต์ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช หรือโทร 02 579 6666 ต่อ 1743, 1744 ในเวลาราชการ ทั้งนี้อุทยานแห่งชาติทั้ง 4 แห่งยังปฏิบัติงานตามภารกิจปกติของ กรมอุทยานแห่งชาติฯ จึงสามารถติดต่อได้ในเวลาราชการตามประกาศนี้

สรุปรายชื่อแหล่งท่องเที่ยว โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านจำหน่ายของฝากของที่ระลึก และกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวที่ปิดให้บริการชั่วคราว เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 หรือ (COVID-19) ระลอกใหม่ https://www.facebook.com/.../a.253701868.../762522624700466/ นักท่องเที่ยวสามารถสอบถามโดยตรง กับทางอุทยานแห่งชาติ 7 แห่งของจังหวัดน่าน ดังนี้

อุทยานแห่งชาติขุนน่าน 084 483 7240

อุทยานแห่งชาติขุนสถาน 087 173 9549 / 095 148 1645 / 091 826 1684

อุทยานแห่งชาติถ้ำสะเกิน 089 045 9831 / 061 562 1020 (ภูลังกา) / 098 008 6585 (ภูลังกา)อุทยานแห่งชาตินันทบุรี 065 416 8853

อุทยานแห่งชาติแม่จริม 080 679 9070

อุทยานแห่งชาติศรีน่าน 098 685 3293 / 093 242 2914

7.อุทยานแห่งชาติดอยภูคา 054 556 537 / 082 194 1349

สอบถามข้อมูลโรคโควิด-19 ได้ที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดน่าน โทรศัพท์ 084-2128070 / โรงพยาบาลน่าน ในเวลาราชการ โทร 054-719000 / สายด่วน 1669 หรือที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

ททท.สำนักงานน่าน ให้บริการข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยวแบบ Digital Online โดยเปลี่ยนจากการแจกกระดาษแผ่นพับโบรชัวร์เป็นการสแกน e-Brochure นักท่องเที่ยว สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยวได้ทาง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานน่าน

วันจันทร์-วันศุกร์ สำนักงานเปิดให้บริการตั้งแต่ 08.30 น.-16.30 น. 054-711-217 ถึง 8 โทรสาร 054-711-219 วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ให้บริการข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยวผ่านช่องทาง Online หรือ 062-595-2257 / 062-595-3447 FB : TAT NAN ททท.สำนักงานน่าน Twitter : @tatnanofficial IG : tatnan_office เที่ยวน่านปลอดภัยไม่ประมาทการ์ดอย่าตก


เรียนรู้ข้อปฏิบัตเรื่องความปลอดภัยของอาหาร

ความปลอดภัยเกี่ยวกับอาหารเป็นสิ่งสำคัญที่ควรใส่ใจในการดูแลสุขภาพโดยเฉพาะในยามที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นี้ จากการที่มีคนอยู่บ้านมากขึ้นรวมทั้งการทำงานที่บ้าน มีคนเป็นจำนวนมากที่ประสบปัญหาอาหารเป็นพิษจากความเชื่อและมีพฤติกรรมผิดๆ ข้อมูลจาก อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพ (สหรัฐอเมริกา) กรรมการบริหาร มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ เปิดเผยว่า The Academyof Nutrition and Dietetics ให้คำแนะนำเรื่องข้อปฏิบัติเรื่องความปลอดภัยของอาหารที่คนส่วนใหญ่มักจะมีพฤติกรรมผิดประจำ ซึ่งควรแก้ไขหรือหลีกเลี่ยงดังนี้

คนส่วนใหญ่มักจะใช้การชิมอาหารเป็นการทดสอบว่าอาหารเสียหรือไม่ ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติที่ผิดๆ

ไม่ควรใช้การชิมเพื่อตัดสินว่าอาหารยังดีอยู่หรือไม่ เพราะแบคทีเรียที่ทำให้อาหารเริ่มเสียอาจยังไม่เปลี่ยนรส สี หรือกลิ่นของอาหาร การชิมเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะอาหารเป็นพิษได้ควรจะทิ้งไปเสียไม่ต้องเสียดาย ดีกว่าจะปล่อยให้แบคทีเรียเจริญในระบบย่อยเรา

ปลอดภัยที่จะเก็บอาหารสุกหรืออาหารพร้อมรับประทานในภาชนะเดียวกับเนื้อสัตว์ดิบ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะจะทำให้เกิดการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียในเนื้อสัตว์ดิบ ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษได้ ดังนั้นควรแยกภาชนะในการเก็บเนื้อสัตว์ นอกจากนี้ควรแยกเขียง หรือมีด หรือเครื่องมือที่ใช้กับเนื้อสัตว์ดิบ ไม่ควรนำไปใช้กับอาหารที่ปรุงสุกแล้ว

ละลายอาหารแช่แข็งบนเคาน์เตอร์ครัว หรือทิ้งไว้ให้ละลายในครัว เป็นสิ่งที่เรามักจะเห็นกันอยู่เสมอ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเด็ดขาด เพราะเชื้อโรคที่มากับอาหารจะเจริญอย่างรวดเร็ว เมื่ออุณหภูมิอยู่ระหว่าง 4.4°- 60° เซลเซียส ควรละลายอาหารแช่แข็งในช่องธรรมดาของตู้เย็น หรือใส่ถุงพลาสติกแช่ในน้ำเย็น หรือละลายในไมโครเวฟ

ล้างเนื้อสัตว์หรือสัตว์ปีกก่อนปรุงอาหาร ไม่ควรล้างเนื้อสัตว์ดิบ หรือสัตว์ปีกก่อนปรุง เพราะน้ำที่ล้างจะกระจายเชื้อแบคทีเรียในอ่างที่ล้าง หรือบริเวณใกล้เคียงที่วางอาหาร ทำให้เกิดการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียได้ ให้ล้างเฉพาะผักและผลไม้สด

ตั้งอาหารทิ้งไว้ให้เย็นก่อนแช่ตู้เย็น เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ไม่ควรตั้งอาหารทิ้งไว้นอกตู้เย็นเกินกว่า1-2 ชั่วโมง หากอุณหภูมิสูงเกิน 32° เซลเซียส เชื้อโรคจะเจริญได้รวดเร็ว เมื่ออาหารที่เสียง่ายถูกตั้งไว้ในอุณหภูมิที่เชื้อโรคชอบ (4.4°-60° เซลเซียส) ควรรีบเก็บเข้าตู้เย็นเสมอ เวลาที่ซื้ออาหาร หากจะต้องเดินทางกลับบ้าน หรือไปปิกนิกก็ตาม ควรจะมีถังคูลเลอร์และน้ำแข็งแช่อาหารเหล่านั้น มิฉะนั้นอาหารจะเสียได้ก่อนถึงเวลากิน

ไม่ควรกินอาหารที่มีส่วนผสมไข่ดิบ เช่น แป้งคุกกี้เพราะไข่จะมีเชื้อซัลโมเนลล่า ซึ่งทำให้เกิดอาหารเป็นพิษได้ควรปรุงไข่ให้สุก แม้แต่แป้งเบเกอรี่ก็ไม่ควรชิมดิบเพราะอาจมีเชื้ออีโคไลทำให้ป่วยได้

ระวังอย่าให้เนื้อสัตว์ หรืออาหารทะเลที่หมักไว้สัมผัสกับอาหารปรุงสุกแล้ว เพราะจะทำให้อาหารที่สุกแล้วเกิดการปนเปื้อนเชื้อโรคได้ หรือไม่ควรหมักและทิ้งไว้บนเคาน์เตอร์ในครัว เพราะเชื้อโรคในอาหารจะเจริญอย่างรวดเร็วในโซนอุณหภูมิอันตราย (4.4°-60°)ควรเก็บอาหารที่หมักไว้รอการปรุงในตู้เย็น น้ำหมักที่เหลือหากจะนำมาใช้อีกควรต้มให้เดือดก่อนนำมาใช้หมักกับเนื้อสัตว์อื่นๆ

เนื้อสัตว์ทุกชนิดและไข่ครึ่งสุกครึ่งดิบไม่ปลอดภัยในการบริโภค อาหารปรุงสุกปลอดภัยเสมอ เมื่ออุณหภูมิใจกลางเนื้อสัตว์สูงพอที่จะฆ่าเชื้อโรคที่อันตราย อาจใช้เทอร์โมมิเตอร์ในการตัดสินว่าอาหารสุกจริง ไม่ใช่เพียงการดูสี หรือดมกลิ่น หรือใช้การชิมเป็นการตัดสิน

เชื้อโรคและแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคมีอยู่ทุกที่รวมทั้งที่มือของเรา จึงควรล้างมือเสมอเมื่อปรุงอาหาร โดยล้างมืออย่างน้อย 20 วินาที ด้วยสบู่และน้ำอุ่นให้น้ำไหลผ่านมือขณะล้าง ทั้งก่อนและหลังปรุงหารทุกครั้ง

ฟองน้ำ หรือผ้าขี้ริ้ว เป็นอุปกรณ์ที่สกปรกที่สุดในครัว เพราะเป็นแหล่งสะสมเชื้อที่ก่อให้เกิดโรคและมีความเสี่ยงสูงต่อสุขภาพ ควรจะล้างฟองน้ำและผ้าขี้ริ้วด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทุกวันและใช้ไม่เกิน 1-2 สัปดาห์

ปัจจุบันอาหารออร์แกนิคได้รับความนิยมในวงการโภชนาการและอาหารสุขภาพอย่างมาก สิ่งที่ผู้บริโภคมักกังวลคือการใช้ยาฆ่าแมลงในพืชที่ใช้กันทั่วไปซึ่งอาจทำให้เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งโดยเฉพาะเกษตรกร อาหารออร์แกนิคในบ้านเราอาจจะมียาฆ่าแมลงตกค้างน้อยกว่าอาหารที่กินตามปกติ สำหรับการศึกษาเพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคอาหารออร์แกนิคกับความเสี่ยงโรคมะเร็งยังมีน้อย

งานวิจัยน่าสนใจที่ลงในวารสาร JAMA Internal Medicine (October 2018) รายงานถึงงานวิจัยNutriNet-Sante ในประเทศฝรั่งเศสแบบ web-based prospective cohort study ซึ่งเริ่มในปี 2009 และติดตามต่อเป็นเวลา 7 ปี เมื่อดูความสัมพันธ์ระหว่างโภชนาการและสุขภาพโดยการตอบคำถามออนไลน์เพื่อติดตามแบบแผนการกิน พฤติกรรมทางไลฟ์สไตล์และประวัติสุขภาพของอาสาสมัครชายหญิง 70,000 คน 3 ใน 4 เป็นผู้หญิง อายุเฉลี่ย 40 ปี โดยที่อาสาสมัครตอบคำถามเกี่ยวกับอาหารที่บริโภค การออกกำลังกายมากน้อยเพียงใด สูบบุหรี่หรือไม่ อายุ ระดับการศึกษา และในแต่ละปีอาสาสมัครจะต้องรายงานสภาวะของสุขภาพ รวมถึงการวินิจฉัยโรคมะเร็งด้วย

ในระหว่างการติดตามงานวิจัย 7 ปี อาสาสมัคร 1,340 คน เป็นมะเร็งโดยมีมะเร็งเต้านม 459 คน มะเร็งต่อมลูกหมาก 180 คน มะเร็งผิวหนัง 135 คน มะเร็งลำไส้ 99 คน มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด

Non-Hodgkin 47 คนและอีก 15 คน เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดอื่น นักวิจัยได้แบ่งอาสาสมัครออกเป็น 4 กลุ่ม โดยขึ้นกับความบ่อยในการบริโภคอาหารออร์แกนิคจาก “การบริโภคเกือบทุกครั้ง ถึงไม่เคยบริโภคเลย” และเปรียบเทียบอัตราการเกิดมะเร็งในอาสาสมัคร 4 กลุ่ม

นักวิจัยพบว่า อาสาสมัครที่บริโภคอาหารออร์แกนิคบ่อยๆ มีแนวโน้มการเกิดมะเร็งลดลงร้อยละ 75 โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมในหญิงวัยหมดประจำเดือน มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดอื่นๆ รวมทั้งชนิด Non- Hodgkin นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ที่บริโภคอาหารออร์แกนิคเป็นผู้ที่บริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพที่ประกอบไปด้วยใยอาหาร ถั่วต่างๆ ผัก ผลไม้ ซึ่งมีฤทธิ์ในการป้องกันมะเร็ง อย่างไรก็ตาม นักวิจัยแนะว่า ยังต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมก่อนที่จะใช้เป็นข้อแนะนำให้ประชากรทั่วไปบริโภคอาหารออร์แกนิคเพื่อป้องกันมะเร็ง

ผศ.(พิเศษ)ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์

ประธานกรรมการ มูลนิธิคุณแม่คุณภาพ


อันตรายจากการ "นอนน้อย"

อุทาหรณ์เตือนใจสำหรับคนนอนน้อย ที่ไม่มีทางรู้หากภัยยังมาไม่ถึงตัว ถ้าไม่จำเป็น อย่าอดนอนนักเลย เพราะร่างกายคนเราไม่อึดถึกทนขนาดนั้น ถนอมไว้ใช้ให้นานๆ

1. สมองไม่ตอบสนองสมองเป็นอวัยวะที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย นั่นแปลว่าหากสมองไม่ตอบสนองหรือตอบสนองช้า อวัยวะทุกส่วนจะรวนตามไปด้วย ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดแห่งสหราชอาณาจักร พบว่า การที่คนเรานอนน้อยกว่า 7-8 ชั่วโมง จะส่งผลให้สมองสร้างโปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นตัวทำลายเซลล์สมองขึ้นมา และยังส่งผลถึงระบบภูมิคุ้มกันทั้งหมดของร่างกาย ที่ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้ามาทำลายเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย

ดังนั้น การนอนน้อยส่งผลเสียต่อสมองโดยตรง เมื่อสมองไม่ได้พัก การซ่อมแซมตัวเองก็ทำได้น้อย สมองจะเบลอ ไม่มีสมาธิ มึนงง สมองสั่งการช้า ร่างกายก็จะทำกิจวัตรอื่นๆ ช้าไปด้วย และมีผลต่อการจดจำสิ่งต่างๆ

2. มีปัญหาเรื่องความทรงจำ

การศึกษาจากสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) ระบุว่า คนที่นอนหลับในช่วง 4 ทุ่ม ถึง 5 ทุ่ม พบว่า มีผลต่อความจำ ความมีสมาธิ อย่างมีนัยสำคัญ สืบเนื่องมาจากการทำงานของสมอง เมื่อสมองไม่ได้พักผ่อน ไม่ได้ซ่อมแซมตัวเองได้ดีเท่าที่ควร ประสิทธิภาพด้านการคิด การใช้เหตุผล การแก้ปัญหา สมาธิลดลง และส่งผลต่อความจำ ทำให้มีอาการขี้หลงขี้ลืมได้บ่อยๆ จนอาจเกิดภาวะสมองล้าหรือ Brain Fog ได้ ซึ่งก็จะเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ในอนาคตอันใกล้

3. อารมณ์ไม่นิ่ง

การอดนอนหรือนอนน้อย ทำให้นาฬิกาชีวิตทำงานผิดปกติ ซึ่งมีผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก และความคิดอย่างแน่นอน ยิ่งอดนอนมาก สมองของเราก็ยิ่งตื้อ ขาดสมาธิ ความจำก็แย่ พอมีอะไรมากระทบนิดหน่อยก็หงุดหงิดเสียแล้ว มีอารมณ์แปรปรวน ความอดทนต่ำ เข้าหาคนอื่นยาก และอาจก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้าขึ้นได้ด้วย ซึ่งอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตาย เพราะอาการที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คือ อาการนอนไม่หลับ โดยอาจมีผลให้กลายเป็นคนนอนไม่หลับเรื้อรัง ดังนั้น การนอนให้เพียงพอจะทำให้มีความสุขง่ายขึ้น รวมถึงกระตุ้นความตื่นตัวให้กับร่างกาย

4. น้ำหนักเพิ่ม อ้วนง่าย

การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอนั้นไปรบกวนการทำงานของระบบย่อยอาหาร ระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายจะรวน แม้ว่าจะกินเท่าเดิม แต่กลับเผาผลาญได้น้อยกว่าเดิม พลังงานจึงสะสมจนน้ำหนักเกินมาตรฐาน กลายเป็นโรคอ้วนในที่สุด และเมื่อระบบย่อยอาหารมีปัญหา ระบบขับถ่ายที่ทำงานต่อเนื่องกันก็ได้รับผลกระทบ ร่างกายที่ไม้ได้ขับถ่ายเอาของเสียออกจากร่างกาย ยิ่งนานก็ยิ่งอันตราย เสี่ยงจะป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ โดยจากการศึกษาและวิจัยพบว่า ในคนจำนวน 1,240 คน มีคนที่นอนไม่ถึง 6 ชั่วโมง มีอาการของมะเร็งลำไส้ถึง 47 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

5. สุขภาพแย่

การพักผ่อนน้อยมีผลต่อระบบภูมคุ้มกันของร่างกาย เมื่อภูมิคุ้มกันไม่มีประสิทธิภาพ ก็ไม่แปลกที่จะป่วยบ่อย ภูมิต้านทานต่ำ ร่างกายอ่อนเพลีย มีอาการบ้านหมุน และพร้อมที่จะน็อกได้ทุกเมื่อ เสี่ยงต่อภาวะหัวใจวาย และโรคภัยอื่นๆ ถามหา ทั้งเบาหวาน เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดและอินซูลินจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเสี่ยงต่อภาวะดื้ออินซูลิน โรคหลอดเลือดหัวใจ การอดนอนร่างกายจะโปรตีนเข้ามาเกาะสะสมที่หัวใจ ทำให้เส้นเลือดอุดตัน แถมยังมีโอกาสที่ความดันโลหิตสูงขึ้นได้อีกต่างหาก ซึ่งไม่ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตายโดยไม่รู้ตัว

ร่างกายที่เสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ อย่างช้าๆ สุดท้ายก็จะพัง โดยจะมีผลกระทบต่อสมอง หัวใจ หลอดเลือด ต่อมไร้ท่อ และภูมิคุ้มกันร่างกาย งานวิจัยที่ระบุว่า การที่คนนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืนนั้น โอกาสเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากอาการหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมองได้ และอันตรายต่อคนที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ความดันโลหิตสูง และอ้วนลงพุง

6. เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ

แน่นอนว่าการนอนน้อยทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ง่วงซึมระหว่างวัน หากเป็นคนที่นั่งทำงานอยู่กับที่ก็อาจจะไม่มีอะไรน่ากังวล แต่กับผู้ที่ทำงานขับรถ ทำงานกับเครื่องจักร หรือทำงานก่อสร้าง อาจเกิดอาการหลับในขึ้นได้ เมื่อหลับในขณะขับรถ หลับกลางอากาศในขณะที่ทำงานกับเครื่องจักรที่กำลังทำงาน หรือพลัดตกจากที่สูง ก็อาจจะกลายเป็นความสูญเสียที่เลวร้ายได้ อีกทั้งการอดนอนยังทำให้สมองประมวลผลได้ช้าลง จนขาดความระมัดระวังความปลอดภัยให้ตนเอง

ขอขอบคุณ

ข้อมูล :CNN Health

ภาพ :iStock