ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



เมาแล้วขับ มีโทษตามกฎหมายอย่างไรบ้าง

กฎหมายเมาแล้วขับรถยนต์ จะได้รับการลงโทษอย่างไร เสียค่าปรับเท่าไรบ้าง

กรณีเมาแล้วขับ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอันตรายบนท้องถนนเป็นลำดับต้นๆ ในประเทศไทย อาจรุนแรงไปถึงขั้นเกิดการสูญเสียได้เลย โดยโทษของเมาแล้วขับตามกฎหมาย ต้องเป่าแอลกอฮอล์ขึ้นเท่าไร มีค่าปรับ หรือจำคุกอย่างไรบ้างในปี 2566 นี้

กฎหมายการจราจรทางบก เมาแล้วขับ ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดต้องมีค่าเท่าไร เงื่อนไขอย่างไร ถึงได้รับโทษ

เมาแล้วขับ กรณีผู้ขับขี่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี

เมาแล้วขับ กรณีถือครองใบขับขี่รถยนต์ประเภทอื่นที่ใช้แทนกันไม่ได้

ถ้าเมาแล้วขับ กรณีมีใบขับขี่ อายุ 5 ปี และใบขับขี่ตลอดชีพ อายุเกิน 20 ปี ต้องมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ “ถือว่าต้องโทษเมาแล้วขับ”

เมาแล้วขับ มีโทษ และค่าปรับตามกฎหมายอย่างไร

กรณีที่ 1 : เป่าแอลกอฮอล์แล้วพบว่า ปริมาณแอลกอฮอล์เกินกำหนด ถือว่า “เมาแล้วขับ” ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ตามปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด) และถูกศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ (มาตรา 160 ตรี)

กรณีที่ 2 : หากไม่เป่าแอลกอฮอล์ จะถือว่า “เมาแล้วขับ” ทันที ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ (มาตรา 160 ตรี)

กรณีที่ 3 : เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี ปรับ 20,000-100,000 บาท ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

กรณีที่ 4 : เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตราย บาดเจ็บสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-6 ปี ปรับ 40,000-120,000 บาท และถูกศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

กรณีที่ 5 : เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี ปรับ 60,000-200,000 บาท ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

กรณีที่ 6 : ผู้ขับขี่ที่กระทำผิดซ้ำข้อหาเมาแล้วขับ หากทำผิดซ้ำภายใน 2 ปี นับแต่วันแรกที่กระทำความผิด จะเพิ่มอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับ 50,000-100,000 บาท ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

อัตราค่าปรับนั้นจะขึ้นอยู่กับปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดตามกฎหมายกำหนด โดยหลังจากโดนโทษข้อหาเมาแล้วขับ นอกจากจะต้องเสียค่าปรับ ขึ้นศาล และเสียประวัติแล้ว บางกรณีจะโดนคุมประพฤติ และต้องบำเพ็ญประโยชน์ พร้อมเครื่องติดตามตัวตลอด 24 ชม. และอาจมีคำสั่งห้ามออกจากที่พักตั้งแต่ 22.00-04.00 น. โดยระยะเวลาคาดโทษนั้น จะขึ้นอยู่กับศาลจะพิจารณาคดี เพื่อลดความเสี่ยงที่จะก่อความผิดซ้ำ

โทษของการเมาแล้วขับนั้น รุนแรงมากในประเทศไทย และยังก่อให้เกิดอันตรายบนท้องถนน จนไปถึงการสูญเสียที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ ผู้ขับขี่จึงต้องมีความรับผิดชอบ หากต้องสังสรรค์ กิน ดื่ม แนะนำว่าไม่ควรขับรถยนต์ หรือเลือกขนส่ง และบริการสาธารณะ เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้ขับขี่ และผู้ร่วมเส้นทางบนท้องถนน.

ข้อมูล : กระทรวงยุติธรรม


อนามัยโลกเตือนการบริโภค “สารให้ความหวานแทนน้ำตาล”

รายงานโดยองค์การอนามัยโลกระบุว่า สารให้ความหวานแทนน้ำตาล "ไม่มีคุณค่าทางอาหาร" และ "ไม่สามารถใช้เพื่อการลดน้ำหนักได้"...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 16 พ.ค. ว่า องค์การอนามัยโลก ( ดับเบิลยูเอชโอ ) เผยแพร่รายงานเมื่อวันอังคารว่า สารให้ความหวานแทนน้ำตาล หรือ เอ็นเอสเอส ( non-sugar sweeteners – NSS ) ไม่ได้ก่อให้เกิดผลประโยชน์ระยะยาวต่อร่างกาย ด้านการควบคุมหรือลดน้ำหนัก ไม่ว่าในผู้ใหญ่หรือเด็ก

ยิ่งไปกว่านั้น ผลการศึกษาวิเคราะห์บ่งชี้ด้วยว่า การบริโภคสารให้ความหวานแทนน้ำตาลต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจก่อให้เกิดผลกระทบไม่พึงปรารถนาต่อร่างกายในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของเบาหวานของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด และอัตราการเสียชีวิตในกลุ่มคนวัยผู้ใหญ่...

ทั้งนี้ ดับเบิลยูเอชโอแนะนำการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการเลือกรับประทานอาหาร เช่น กับการรับความหวานจากผลไม้แทน แต่ยังคงต้องเป็นในปริมาณที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มซึ่งมีสารปรุงแต่งอื่นทุกประเภท

ดับเบิลยูเอชโอ เน้นย้ำว่า สารให้ความหวานแทนน้ำตาล “ไม่มีความจำเป็นต่อร่างกาย” และ “ไม่มีคุณค่าทางอาหารแม้แต่น้อย” อย่างไรก็ตาม คำแนะนำดังกล่าวของดับเบิลยูเอชโอยกเว้นบุคคลซึ่งมีเบาหวานเป็นโรคประจำตัว.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES...


นักวิทย์คาด อุณหภูมิโลกจ่อเพิ่มเกินขีดจำกัด 1.5 องศา ภายใน 5 ปี

นักวิทยาศาสตร์คาด มีโอกาสสูงที่อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นจนเกินขีดจำกัดที่ 1.5 องศาเซลเซียสภายใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้ภัยธรรมชาติรุนแรงขึ้น

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวัน 17 พ.ค. 2566 ว่า นักวิทยาศาสตร์ขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ออกมาคาดการณ์ว่า มีโอกาศ 66% ที่อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นจนเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียสอันเป็นขีดจำกัดที่ไม่ควรข้ามผ่าน ภายใน 5 ปีข้างหน้า โดยเป็นผลจากก๊าซเรือนกระจกฝีมือมนุษย์ และปรากฎการณ์เอลนีโญ (El Nino) ที่กำลังใกล้เข้ามา

นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า อุณหภูมิโลกจะสูงขึ้นมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียสเพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่หากมันเกิดขึ้นทุกปีเป็นเวลา 10-20 ปี ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก เช่นคลื่นความร้อนปกคลุมนานขึ้น, พายุและไฟฟ้ารุนแรงขึ้น เป็นต้น

ตัวเลข 1.5 องศาเซลเซียสกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเจรจาเรื่องความเปลี่ยนของสภาพอากาศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยนานาประเทศตกลงร่วมกันเพื่อจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ภายใต้ความตกลงปารีส (Paris agreement) ที่กว่าร้อยประเทศร่วมลงนามในปี 2558

เกณฑ์ดังกล่าวหมายความว่า โลกอุ่นขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส จากช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 หรือก่อนที่ก๊าซเรือนกระจกจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในอุตสาหกรรมจะพุ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม การที่อุณหภูมิโลกเพิ่มเกินขีดจำกัด 1.5 องศาเซลเซียส ไม่ได้หมายความว่า ความตกลงปารีสล้มเหลว นักวิทยาศาสตร์ระบุว่ายังพอมีเวลาที่จะจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างมาก

ทั้งนี้ องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกประเมินโอกาสที่อุณหภูมิโลกจะเพิ่มเกิน 1.5 องศาเซลเซียสมาตั้งแต่ปี 2563 โดยในตอนนั้นพวกเขาคาดว่ามีโอกาสไม่ถึง 20% ที่อุณหภูมิจะเพิ่มเกินขีดจำกัดภายใน 5 ปีข้างหน้า แต่ปีก่อนตัวเลขกลับเพิ่มขึ้นมาเป็น 50% และ 66% ในปีนี้


ชวนชมเชิดหนังใหญ่วัดขนอน ไทย-เขมร ร่วมชูขึ้นทะเบียนมรดกโลกวัฒนธรรม

การแสดงกลางแจ้ง เชิดหนังใหญ่วัดขนอน อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ส่วนหนึ่งของการสาธิตการเชิดหนังใหญ่ให้กับนักท่องเที่ยวให้ได้ชม ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์

ก่อนที่จะมีการแสดงหนังใหญ่ร่วมกันระหว่าง หนังใหญ่ วัดขนอน ประเทศไทย และ วัดโบ ประเทศกัมพูชา ในช่วงเย็นของวันที่ 19 พ.ค. 66 เพื่อเตรียมความพร้อมเสนอการแสดงหนังใหญ่ของประเทศไทย ขึ้นเป็นมรดกวัฒนธรรมของมนุษยชาติต่อ ยูเนสโก โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย

พระครูพิทักษ์ศิลปาคม (เจ้าอาวาสวัดขนอน) ประธานศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราชหนังใหญ่วัดขนอน เปิดเผยว่า หนังใหญ่วัดขนอน เป็นศิลปะการแสดงที่เก่าแก่ของประเทศไทย ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2552 ซึ่งเมื่อปี พ.ศ.2550 ชุมชนวัดขนอนได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 6 ชุมชนดีเด่นของโลก ที่มีผลงานอนุรักษ์ฟื้นฟูมรดกวัฒนธรรมเชิงนามธรรมจากองค์กร ACCU (Asia-Pacific Cultural Centre for UNESCO)

และที่สำคัญ กรมส่งเสริมวัฒนธรรมอยู่ระหว่างเตรียมการยื่นขอขึ้นทะเบียนหนังใหญ่ต่อยูเนสโก ตามนโยบายของกระทรวงวัฒนธรรมและรัฐบาล ในการผลักดันหนังใหญ่ไปสู่การยกย่องเชิดชูในระดับนานาชาติ สู่การเป็น Soft Power สร้างกระแสความสนใจในวัฒนธรรมไทยมากยิ่งขึ้น มีผลช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว สร้างรายได้แก่คนในชุมชนและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง

ดังนั้น ในระหว่างวันที่ 18 – 19 พ.ค. 66 ทางวัดขนอน จึงได้จัดทำโครงการพัฒนาองค์ความรู้รากทางวัฒนธรรมของหนังใหญ่ ภายใต้การสนับสนุนของ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ และบันทึกรูปแบบการแสดงของคณะหนังใหญ่ ตลอดจนส่งเสริมให้นักวิชาการและสังคมหันมาให้ความสนใจมรดกภูมิปัญญาหนังใหญ่มากขึ้น เพื่อรองรับการเสนอขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมฯ กับยูเนสโก ต่อไป

โดยมีกิจกรรมหลัก วันที่ 18 พ.ค. 66 จะมีพิธีมหามงคล “บวงสรวง ไหว้-ครอบครูหนังใหญ่” ต่อด้วยพิธีเปิดนิทรรศการ “โครงการพัฒนาองค์ความรู้รากทำวัฒนธรรมของหนังใหญ่” และในช่วงบ่ายชมการแสดงหนังใหญ่ ชุด “จับลิงหัวค่ำ” ถวายครู โดย คณะหนังใหญ่วัดขนอน จังหวัดราชบุรี คณะหนังใหญ่วัดบ้านดอน จังหวัดระยอง และคณะหนังใหญ่วัดสว่างอารมณ์ จังหวัดสิงห์บุรี ทั้งนี้ ในช่วงเย็น จะมีการบันทึกเทปพิธีกรรมและการแสดงหนังใหญ่ของไทย การแสดงหนังใหญ่แบบไฟกะลา

ส่วนวันที่ 19 พ.ค.66 เวลา 18.30 น.เป็นต้นไป เป็นการแสดงหนังใหญ่ ตอน “ศึกนาคบาศ” และ ศึกทศกัณฐ์ครั้งที่ 5 “ยกรบ” ระหว่างหนังใหญ่วัดขนอน ประเทศไทย และ วัดโบ ประเทศกัมพูชา

โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย ติดตามรายละเอียดกิจกรรมได้ทาง www.culture.go.th หรือ แฟนเพจ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม และ วัดขนอนหนังใหญ่


น้ำผึ้ง อาหารชั้นเลิศจากธรรมชาติ ดีต่อสุขภาพผู้ชายกว่าที่เคยรู้

น้ำผึ้ง จัดว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย โดยเฉพาะคุณผู้ชายแล้วน่าจะชื่นชอบมากเป็นพิเศษ เพราะมีสรรพคุณช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ ให้มีความสมบูรณ์แข็งแรงยิ่งขึ้น สำหรับหนุ่มๆ ที่อยากเสริมสมรรถภาพทางเพศให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ น้ำผึ้งจัดว่าเป็นอาหารที่คุณไม่ควรพลาดกันเลย

ประโยชน์ของน้ำผึ้ง ที่หนุ่มๆ (อาจ)ยังไม่รู้

น้ำผึ้ง เป็นสารให้ความหวาน ที่สามารถใช้แทนน้ำตาลได้ เราสามารถนำน้ำผึ้งมาประกอบอาหาร และนำมาผสมกับเครื่องดื่มได้หลากหลายชนิด นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีสรรพคุณต่อร่างกายมากมาย โดยเฉพาะคุณผู้ชาย เพราะในน้ำผึ้งอุดมไปด้วย วิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิด ที่ดีต่อร่างกาย น้ำผึ้งมีประโยชน์ดีๆ สำหรับหนุ่มๆ อย่างไรบ้าง เรามาดูกันเลยดีกว่า

ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของอวัยวะเพศชาย น้ำผึ้งจัดว่าเป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยบำรุงร่างกาย โดยเฉพาะคุณผู้ชาย เพราะน้ำผึ้งอุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิดที่มีประโยชน์ช่วยบำรุงฮอร์โมนเพศ และกระตุ้นอารมณ์ทางเพศเช่น วิตามินบี วิตามินอี และแร่ธาตุสังกะสี ซึ่งสารต่างๆ เหล่านี้ จะช่วยส่งเสริมความแข็งแรงของทั้งร่างกาย และสุขภาพทางเพศได้เป็นอย่างดี

มีสารเสริมการผลิตฮอร์โมนเพศชาย

น้ำผึ้งมีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญบางตัว ที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างระดับฮอร์โมนสำคัญในเพศชาย อย่างฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้เป็นอย่างดี และหากมีการรับประทานเป็นประจำในปริมาณที่เหมาะสม รับรองได้ว่า จะกลับมาฟิตปึ๋งปั๋งอย่างหนุ่มๆ แน่นอน

ทางเลือกสำหรับคนที่มีบุตรยาก

น้ำผึ้งนอกจากจะมีสรรพคุณช่วยเพิ่มอารมณ์ทางเพศแล้ว การดื่มน้ำผึ้งเป็นประจำ ยังช่วยแก้ปัญหาการมีบุตรยากได้ด้วยเช่นกัน เพราะน้ำผึ้งมีส่วนสำคัญในการเพิ่มจำนวนอสุจิให้มากขึ้นได้ และทำให้ความแข็งแรงของอสุจิเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน สำหรับผู้ชายที่มีปัญหามีบุตรยาก การดื่มน้ำผึ้งจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ควรจะทำอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการมีบุตรยากนั้นมีสาเหตุมาจากคุณผู้ชายด้วยแล้ว การดื่มน้ำผึ้งเป็นประจำ จะช่วยแก้ปัญหาการมีบุตรยากได้อย่างแน่นอน

ช่วยให้ผ่อนคลาย ลดความเหนื่อยล้าจากการทำงาน

หากรู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลียอย่างหนัก การทานน้ำผึ้งจะช่วยบรรเทาได้ แถมยังช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายจากความเครียดได้อีกด้วย ใครที่มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าจากงานบ่อยๆ เพียงแค่นำน้ำผึ้งมาผสมกับเครื่องดื่ม หรือชงดื่มกับน้ำอุ่น เพียงแค่นี้ก็จะลดความเหนื่อยล้า อ่อนเพลียได้แล้ว

และนี่คือประโยชน์ดีๆ ของน้ำผึ้ง ที่มีต่อร่างกาย สำหรับคุณผู้ชายท่านใดที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพทางเพศ ก็ลองหันมาทานน้ำผึ้งดู แต่อย่าลืมว่าน้ำผึ้งมีรสชาติที่หวาน การทานมากไปเกินพอดีอาจจะก่อให้เกิดโทษได้เช่นกัน จึงควรทานในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ประโยชน์ดีๆ อย่างสูงสุดนั่นเอง