ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงเป็นเครื่องจักรแห่งการเติบโตสำหรับการท่องเที่ยวระดับหรู รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ฉบับใหม่จาก ลักชัวรี กรุ๊ป โดย แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล (Luxury Group by Marriott International) ได้ระบุถึงความคาดหวังและความชอบในการท่องเที่ยวใหม่ ๆ ในหมู่นักท่องเที่ยวที่อยู่ในกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง (HNW) ในเอเชียแปซิฟิก ทั้งนี้ จากทั่วทั้งภูมิภาค 68% วางแผนที่จะใช้จ่ายมากขึ้นสำหรับการท่องเที่ยวในอีก 12 เดือนข้างหน้า โดย 89% เป็นความเห็นจากผู้ตอบแบบสอบถามในหมู่ชาวอินเดีย ซึ่ง 74% วางแผนที่จะเดินทางภายในเอเชียแปซิฟิก และ 88% ระบุว่าประสบการณ์เรื่องอาหารเป็นเหตุผลสำคัญลำดับต้นในการเดินทาง และ 1 ใน 4 ของวันหยุดทั้งหมดที่วางแผนไว้ (25%) เป็นไปเพื่อการเฉลิมฉลอง ที่สำคัญ มีกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับหรูกลุ่มใหม่ 3 กลุ่มที่โดดเด่นขึ้นมา ได้แก่ 'Venture Travelist' คือ ผู้แสวงหาโอกาสทางธุรกิจในขณะเดินทาง 'Experience Connoisseur' ชาวมิลเลนเนียลที่เดินทางเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ และ 'Timeless Adventurer' ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีที่ออกแบบแผนการเดินทางของตัวเองและสำรวจสถานที่ต่าง ๆ ก่อนที่จะเป็นที่นิยม
"รายงาน New Luxe Landscapes ของเราให้ข้อมูลเชิงลึกด้านพฤติกรรมและแรงจูงใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูงจากเอเชียและแปซิฟิก" โอริออล มอนทัล กรรมการผู้จัดการฝ่ายธุรกิจระดับหรู ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าว "ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบประสบการณ์ด้านอาหารใหม่ ๆ การเดินทางกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง หรือการมองหาการสานสัมพันธ์กับชุมชนท้องถิ่น งานวิจัยของเราได้ระบุลักษณะของนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่และสร้างความเข้าใจใหม่ ๆ แก่แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนลในการให้บริการแก่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีรสนิยมและฉลาดเลือกเหล่านี้"
ประสบการณ์ที่ลึกซึ้งและยาวนานขึ้นกับกลุ่มคนที่พวกเขารัก
การวิจัยในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีฐานะมั่งคั่งในออสเตรเลีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และอินเดีย เผยให้เห็นว่าพวกเขาเดินทางบ่อยขึ้นและมีวันหยุดที่ยาวนานขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉลี่ยมีการวางแผนการท่องเที่ยวพักผ่อน 6 ครั้งภายในอีก 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่ 33% ของผู้ตอบแบบสอบถามวางแผนที่จะใช้วันหยุดอย่างน้อย 7 ครั้งในปีนี้ ซึ่งโดยเฉลี่ยการพักระยะสั้นหมายถึงการพัก 3 คืน ในขณะที่การพักระยะยาว คือ สองสัปดาห์ครึ่ง สำหรับหลาย ๆ คนแล้วความเป็นญาติมิตรและความสัมพันธ์ภายในกลุ่มเพิ่มความสมบูรณ์ของประสบการณ์การท่องเที่ยว โดยมากกว่า 70% เลือกที่จะเดินทางกับครอบครัวหรือเพื่อน
ออสเตรเลียเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยม (46%) ตามด้วยญี่ปุ่น (42%) และฮ่องกง, ประเทศจีน (27%) โดย 69% ของนักท่องเที่ยวชาวอินเดียที่มีฐานะมั่งคั่งกำลังวางแผนเดินทางไปออสเตรเลียอันเป็นจุดหมายปลายทางอันดับ 1 สำหรับนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และสิงคโปร์
อุปสงค์ (Demand) ที่เพิ่มขึ้นในอินเดีย
ในตลาดการท่องเที่ยวที่มีความกระตือรือร้นและมีส่วนร่วมมากที่สุดพบว่า 89% ของชาวอินเดียที่มีฐานะมั่งคั่งกล่าวว่าพวกเขากำลังวางแผนที่จะใช้จ่ายมากขึ้นสำหรับการท่องเที่ยว ครอบครัวและกลุ่มเพื่อนนิยมท่องเที่ยวด้วยกันเพื่อเฉลิมฉลองช่วงเวลาสำคัญ ร่วมงานหรือกิจกรรมที่เป็นส่วนตัว โดย 38% วางแผนเดินทางกับเพื่อน และ 33% กำลังวางแผนเดินทางเพื่อการเฉลิมฉลอง
ความหลงใหลในอาหาร
88% เลือกจุดหมายปลายทางสำหรับวันหยุดของพวกเขาจากการค้นพบเมนูอาหารหรือประสบการณ์ด้านอาหารใหม่ ๆ ด้วยความตระหนักถึงแนวโน้มด้านการท่องเที่ยวเพื่อลิ้มลองอาหาร เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม (49%) อธิบายว่าประสบการณ์การรับประทานอาหารระดับหรูเป็นการท่องเที่ยวยามค่ำคืนในอุดมคติ เพื่อเน้นย้ำประเด็นนี้ 83% จะเลือกจุดหมายปลายทางเพื่อที่จะไปเยือนร้านอาหารที่ได้รับรางวัล และ 35% เห็นด้วยว่าพวกเขาจะใช้จ่ายมากขึ้นสำหรับประสบการณ์ด้านอาหารที่ไม่เหมือนใคร สำหรับการเลือกโรงแรม 81% ของนักท่องเที่ยวที่มีฐานะมั่งคั่งทำการเลือกโดยอิงจากตัวเลือกอาหารระดับหรู และ 83% เลือกจุดหมายปลายทางที่พวกเขาจะได้ไปยังร้านอาหารที่มีชื่อเสียง
ตัวตน (Persona) ของนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่
ด้วยรายได้ที่สามารถใช้จ่ายได้มากขึ้นสำหรับวันหยุดประกอบกับประชากรนักท่องเที่ยวสูงอายุที่เพิ่มขึ้น งานวิจัยนี้ได้บ่งชี้ให้เห็นถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูง 3 กลุ่มใหม่ ได้แก่:
1) The ‘Venture Travelist’
Venture Travelist เป็นนักท่องเที่ยวประเภทที่ผสมผสานการทำงานเข้ากับการพักผ่อน (Bleisure) รุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับจุดหมายปลายทางวันหยุดที่จะสร้างโอกาสทางธุรกิจ ในขณะที่พวกเขาเพลิดเพลินกับวันหยุดกับครอบครัวและคนที่รัก พวกเขามักมองหาโอกาสที่จะทำธุรกิจเสมอ ด้วยจิตวิญญาณของผู้ประกอบการ พวกเขาสำรวจสถานที่ ซื้อผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และของโบราณ และมองหาการสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับสมาชิกในชุมชนท้องถิ่น
2) The ‘Experience Connoisseur’
Experience Connoisseurs ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มมิลเลนเนียล พวกเขาวางแผนการท่องเที่ยวพักผ่อนเพื่อเปิดโอกาสในการเพิ่มพูนประสบการณ์ส่วนตัว พวกเขาเดินทางอย่างไปทั่วทุกมุมโลกและมองว่าประสบการณ์เป็นการลงทุนเพื่อสร้างสุขภาวะทั้งทางจิตใจและร่างกาย พวกเขาต้องการสำรวจจุดหมายปลายทางอย่างลึกซึ้ง ให้คุณค่ากับการปรับให้เข้ากับความต้องการของแต่ละบุคคล (personalization) และมองหาประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ไม่เหมือนใครอย่างจริงจัง (exclusive one-of-a-kind experience)
3) The ‘Timeless Adventurer’
Timeless Adventurers ทลายทุกภาพจำของนักท่องเที่ยว 'ผมสีดอกเลา' ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป พวกเขาเป็นนักสำรวจที่กระตือรือร้น ต้องการดื่มด่ำกับจุดหมายปลายทางอย่างแท้จริง พวกเขาสนใจสถานที่ท่องเที่ยวน้อยลงและสนใจสิ่งที่ทำให้จุดหมายปลายทางนั้นเป็นสถานที่ที่มีความหมายซึ่งทำให้สถานที่นั้นไม่เหมือนใครและเป็นที่น่าจดจำ
ปัจจุบันโรคมะเร็ง เป็นโรคร้ายอันดับ 1 ที่คร่าชีวิตคนไทย จากสถิติองค์การอนามัยโลก พบว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนทั่วโลก และมีแนวโน้มว่าจะมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นในทุกๆ ปี อย่างไรก็ตาม สถิติโรคมะเร็งที่สูงนั้นสามารถลดลงได้ สามารถป้องกันและรักษาให้หายได้ หากตรวจพบและดูแลรักษาทันเวลา เพียงแค่ใส่ใจดูแลตนเองและตรวจสุขภาพเป็นประจำ
บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่าย ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร APCO สร้างความมั่นใจผู้บริโภค ตอกย้ำเอกลักษณ์ผลิตภัณฑ์ ผลิตจากธรรมชาติสร้างสมดุลภูมิคุ้มกันบำบัด เน้นเรื่องการดูแลสุขภาพด้วยการป้องกัน หยุดโรคก่อนเกิดการเจ็บป่วย ป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการเกิดการเจ็บป่วยในอนาคต เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่สารสกัดนวัตกรรมไทย “มังคุดเสริมฤทธิ์”ต้านโรคร้ายด้วย 3 พลังธรรมชาติ
APCO ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์สูตรที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นจากสารสกัด นวัตกรรมไทย “มังคุดเสริมฤทธิ์” เพื่อการป้องกันการเกิดโรคร้าย สร้างภูมิคุ้มกันด้วยการเพิ่มเซลล์ ทีพิฆาต(Killer T Cell) ด้วยวิธีการมุ่งเป้าปลอดภัยไร้ผลข้างเคียง จากหลักฐานการตรวจวัดทางวิทยาศาสตร์ พบว่า การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร APCO สามารถทำให้เม็ดเลือดขาวสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างสมดุลร่างกายจึงกลับไปสู่ภาวะปกติ ซึ่งคุณสมบัติของนวัตกรรมไทย “มังคุดเสริมฤทธิ์” คือ 3 พลังธรรมชาติ พลังที่ 1) ช่วยกระตุ้น T Cell ป้องกันโรคร้ายได้ต่อเนื่อง พลังที่ 2) ช่วยกระตุ้น Autophagy ทำให้ชะลอความชรา ลดโอกาสของการเกิดโรคความเสื่อม โรค NCDs และต้านโรคร้าย พลังที่ 3)ช่วยซ่อมสร้าง Telomere ทำให้ย้อนวัย ชะลอวัยพร้อมกับต้านโรคร้าย
การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในงานสัมมนา “นวัตกรรมไทย มังคุดเสริมฤทธิ์ ต้านมะเร็งดัวยพลังธรรมชาติ” โดย ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หัวหน้าคณะนักวิจัย Operation BIM พร้อมด้วยคณะนักวิทยาศาสตร์ รศ.ดร.ปรียา ลีฬหกุล ผู้เชี่ยวชาญด้าน Telomere ที่ปรึกษางานวิจัย APCO และ ศ.ดร.รมิดา วัฒนโภคาสินผู้เชี่ยวชาญด้าน Autophagy ร่วมให้ความรู้เรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันสมดุลสำหรับโรคร้าย ด้วยสารสกัดมังคุดเสริมฤทธิ์ มิติใหม่ของการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ณ บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน)
ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา กล่าวว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจากอาหารที่รับประทานกันเป็นประจำ เป็นการสกัดพืชผักพื้นบ้านไทย 5 ชนิด ได้แก่ มังคุด งาดำ ถั่วเหลือง ฝรั่ง ใบบัวบก เสริมฤทธิ์กันสร้างร่างกายให้มีสุขภาพดีในระดับโครโมโซม เพื่อให้ความผิดปกติของร่างกายกลับคืนสู่ภาวะปกติตามธรรมชาติ โดยร่างกายจะมีภาวะปกติตามธรรมชาติด้วยการที่เม็ดเลือดขาวทำงานในการสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างสมดุล ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัด และการเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ APCO ได้ที่ Hotline : 1154 www.bim100.com โทร.02-6464800 LINE : @bim100callcenter
Acute leukemia หรือ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน เกิดจากความผิดปกติของการสร้างและการเจริญเติบโตของเม็ดเลือดขาวในไขกระดูก โดยเป็นโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยที่สุดในเด็ก คิดเป็นร้อยละ 25-30 ของมะเร็งทั้งหมดในเด็ก สำหรับประเทศไทยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันพบได้ร้อยละ 38.1 ของมะเร็งทั้งหมดในเด็ก ในปัจจุบันสามารถแบ่งโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ได้แก่ Acute Lymphoblastic Leukemia (ALL) และ Acute Myeloid Leukemia (AML)
สาเหตุของการเกิดโรค
ข้อมูลจาก ศาสตราจารย์นายแพทย์ สุรเดช หงส์อิง ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และกองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ เปิดเผยว่า สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันส่วนใหญ่ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ปัจจัยที่พบว่าน่าจะมีความสัมพันธ์กับพยาธิสภาพการเกิดโรคนั่นคือ อาจเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม โดยเฉพาะสุขภาพของมารดาตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ อาจจะส่งผลให้เกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เช่น การสูบบุหรี่ โดยทำให้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของลูกได้
อาการและอาการแสดงทางคลินิก
ไขกระดูก หรือ bone marrow เป็นที่อยู่ของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (สเต็มเซลล์) และ เป็นอวัยวะหลักที่ทำหน้าที่สร้างเซลล์เม็ดเลือดต่างๆ ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และ เกล็ดเลือด ในผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน เซลล์ต้นกำเนิดในไขกระดูกจะถูกแทนที่ด้วยเซลล์มะเร็ง ทำให้การสร้างเม็ดเลือดต่างๆ บกพร่องไป ดังนั้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมาพบแพทย์ด้วยอาการและอาการแสดงที่สัมพันธ์กับความบกพร่องของการสร้างเซลล์เม็ดเลือดในไขกระดูก ได้แก่ อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ภาวะซีด จากการที่มีเม็ดเลือดแดงต่ำ อาการไข้ หรือการติดเชื้อ จากการที่มีเม็ดเลือดขาวชนิดปกติที่ต่ำ อาการเลือดออกง่าย เช่น จ้ำเลือด จุดเลือดออกตามตัว เลือดออกตามไรฟัน หรือเลือดกำเดา จากการที่มีเกล็ดเลือดต่ำผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการปวดกระดูกร่วมด้วยจากการที่มีเซลล์มะเร็งอัดแน่นอยู่ภายในไขกระดูก ในกรณีที่ผู้ป่วยมีก้อนมะเร็งในช่องอกผู้ป่วยอาจจะมีอาการผิดปกติทางระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบเหนื่อย หายใจไม่อิ่ม หรือมีความผิดปกติทางระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่นหน้าและคอบวม จากการที่ก้อนไปกดทับทางเดินหายใจ หรือระบบไหลเวียนโลหิตตามลำดับ
นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจจะมีอาการอื่นๆ ที่ไม่เฉพาะเจาะจงร่วมด้วย เช่น อาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลดเมื่อทำการตรวจร่างกายผู้ป่วย นอกจากจะพบว่าผู้ป่วยมีภาวะซีด ไข้ หรือภาวะเลือดออกผิดปกติแล้ว ผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันส่วนใหญ่จะพบว่ามี ตับม้ามโต และต่อมน้ำเหลืองโตสำหรับผู้ป่วยที่เซลล์มะเร็งลุกลามไปที่อัณฑะ จะพบว่ามีก้อนที่อัณฑะได้
ในผู้ป่วยที่เซลล์มะเร็งกระจายไปที่ระบบประสาทอาจจะพบว่ามีความผิดปกติของเส้นประสาทสมอง (cranial nerve) จากการตรวจร่างกาย อย่างไรก็ตาม พบว่าผู้ป่วยจำนวนหนึ่งอาจจะไม่มีความผิดปกติใดๆ เลย เว้นแต่มีเซลล์มะเร็งในน้ำไขสันหลังนอกเหนือจากอาการและอาการแสดงดังกล่าวข้างต้นผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันชนิด AML บางรายอาจจะพบว่ามีก้อนตามตัว(extramedullary myeloid tumor หรือ chloroma)มีเหงือกบวม หรืออาจพบก้อนกระจายที่ผิวหนัง
การวินิจฉัยโรค
การตรวจทางห้องปฏิบัติการเบื้องต้นในผู้ป่วยที่สงสัยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันสามารถทำได้โดยการตรวจนับเม็ดเลือด(complete blood count; CBC) และการตรวจดูลักษณะของเม็ดเลือดทางกล้องจุลทรรศน์(peripheral blood smear) ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะพบว่ามีจำนวนของเม็ดเลือดแดง และปริมาณของฮีโมโกลบินที่ต่ำร่วมกับมีจำนวนของเกล็ดเลือดที่ต่ำลง(thrombocytopenia) สำหรับจำนวนของเม็ดเลือดขาวอาจจะมีปริมาณปกติ ต่ำ หรือสูงก็ได้ แต่เมื่อตรวจดูลักษณะของเม็ดเลือดทางกล้องจุลทรรศน์ จะตรวจพบเซลล์มะเร็ง (peripheral blast) ได้ นอกจากนี้ การตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ อาจมีความจำเป็นเพื่อช่วยประเมินผลข้างเคียงของโรคเช่น การส่งตรวจ liver function test (LFT), renal function test (BUN และ creatinine), coagulation study, tumor lysis lab (potassium, phosphorus,calcium และ uric acid) เป็นต้น สำหรับการตรวจทางรังสีวิทยาเบื้องต้นด้วยการเอกซเรย์ปอดมีความจำเป็นในการช่วยประเมินผู้ป่วยว่ามีก้อนมะเร็งในปอดหรือไม่
สำหรับการส่งตรวจเพื่อยืนยันการวินิจฉัย และการตรวจหาชนิดของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน สามารถทำได้จากการตรวจดูลักษณะของเซลล์เม็ดเลือดในไขกระดูก (bone marrow aspiration and bone marrowbiopsy) (รูปภาพ) ร่วมกับการส่งตรวจพิเศษimmunophenotyping จากไขกระดูก เพื่อตรวจสอบแอนติเจนที่จำเพาะเจาะจงกับเซลล์มะเร็งแต่ละชนิดและการส่งตรวจความผิดปกติของโครโมโซมและความผิดปกติทางโมเลกุลอื่นๆ (cytogenetic และ molecular genetic abnormality) เพื่อช่วยประเมินระดับความเสี่ยงและการพยากรณ์โรคในผู้ป่วยแต่ละราย
ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันแล้ว ผู้ป่วยจะต้องได้รับการประเมินและตรวจหาการกระจายของโรคไปยังระบบประสาทส่วนกลาง ด้วยการเจาะน้ำไขสันหลังเพื่อทำการนับเซลล์ โดยการตรวจทางกล้องจุลทรรศน์ และการปั่น cytospin เพื่อส่งตรวจและย้อมพิเศษทางห้องปฏิบัติการ
การรักษา
การรักษาหลักในผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน คือ การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดโดยผู้ป่วยจะได้รับการรักษาตามระดับความเสี่ยงของโรค โดยอาศัยปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการพยากรณ์โรคของผู้ป่วย รวมถึงการตอบสนองต่อการรักษาในระหว่างที่ผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด โดยทั่วไประยะเวลาในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันชนิด ALL จะอยู่ที่2.5-3 ปี และระยะเวลาในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันชนิด AML จะอยู่ที่ 6-8 เดือน
ในผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันที่มีปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการพยากรณ์โรคที่ไม่ดี หรือผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดมาตรฐาน อาจจะได้รับการพิจารณาในการทำการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ ซึ่งในปัจจุบันผู้บริจาคสเต็มเซลล์ ไม่จำเป็นต้องมาจากพี่น้อง (โอกาสตรวจเนื้อเยื่อแล้วตรงกันเพียง ร้อยละ 25) ยังสามารถไปตรวจหาจากผู้บริจาคทั่วไปที่สภากาชาดไทย (โอกาสตรวจเนื้อเยื่อแล้วตรงกันเพียงร้อยละ 40) และยังสามารถใช้สเต็มเซลล์จากพ่อหรือแม่ได้อีกเช่นเดียวกัน (ในกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องตรงกัน)
นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรมในการผลิตยาโดยการตัดต่อพันธุกรรมของเม็ดเลือดขาวให้ไปทำลายมะเร็ง นั่นคือ chimeric antigen receptor T cell (CAR T cell) ซึ่งจะกล่าวต่อไปภายหลัง
กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ฯ คืนชีวิตใหม่..ให้ผู้ป่วยมะเร็งเด็ก
นับตั้งแต่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ทรงรับกองทุนโรคมะเร็งในเด็กไว้ในพระอุปถัมภ์ จวบจนปัจจุบันเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วที่ทรงมีพระเมตตาช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งเด็กที่ยากไร้ทั่วประเทศในโรงพยาบาลกว่า 20 แห่ง รูปแบบในการให้ความช่วยเหลือ คือ ช่วยค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษา รวมทั้งค่ายา ค่าเดินทางมาตรวจรักษา ค่าที่พัก เวชภัณฑ์ต่างๆ ด้วยสามารถร่วมบริจาคได้ที่บัญชี “กองทุนโรคมะเร็งในเด็กในพระอุปถัมภ์ฯ” SCB สาขาอ่อนนุช เลขที่บัญชี 133-2-08742-3 โทร.02-7183800 ต่อ 123ใบเสร็จนำไปลดหย่อนภาษีได้ รายละเอียดที่ http://www.thaichildrencancerfund.org/
13 กรกฎาคม นี้ เป็นวันคล้ายวันประสูติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลีกรมหมื่นสุทธนารีนาถ ขอเชิญชวนประชาชนร่วมกันถวายพระพร ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญมีพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ตลอดไป
พามากินเมนูเด็ดจาก "ปลาหมอคางดำ" สัตว์น้ำตัวแสบ "เอเลี่ยนสปีชีส์" ที่แพร่ระบาดทำลายระบบนิเวศบ้านเรา งานนี้ช่วยกันจับเอามากินแก้แค้นให้ธรรมชาติ ลูกปลา ลูกกุ้ง ของน่านน้ำไทยดีกว่า ฮาาา
ปลาหมอคางดำ กินได้ไหม อันตรายไหม
ยืนยันรับประทานได้ ไม่อันตราย "รสชาติ และเนื้อสัมผัสเหมือนปลานิล" พวกมันกินสัตว์น้ำเป็นอาหาร "ไม่ต่างจากปลาแม่น้ำประเภทอื่นๆ" เพียงแต่ที่ต้องช่วยกันกินเยอะๆเพราะพวกมันกำลังทำลายความอุดมสมบูรณ์ทางน้ำของไทยนั่นเอง
ประโยชน์ ข้อมูลคุณค่าทางโภชนาการ
ปริมาณ 100 g มีพลังงานทั้งหมด 77 กิโลแคลอรี่, โปรตีน 17 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 0 กรัม, ไขมัน 1 กรัม Cr. อ้างอิงจากข้อมูลปลาหมอ calforlife.com
ปลาหมอสีคางดำ ทำเมนูอะไรกินดี แล้วอร่อยไหม?
ข้อมูลจาก หนังสือปลาน้ำจืด โดย นณณ์ ผาณิตวงศ์ ครีเอทเมนู "ปลาทอดกรอบจิ้มซีฟู้ด" ระบุว่า "กลิ่นคาวกว่าปลานิล กลิ่นคล้ายๆปลาแปบ (ปลากินเนื้อขนาดเล็กตระกูลปลาตะเพียน) เผยปลาหมอคางดำ "รสชาติดี ไม่มีก้างฝอย" โดยมีชาวเน็ตมาคอมเมนท์เพิ่มเติมว่าทำเป็น ปลาราดพริก, ผัดกะเพรา หรือตากเค็ม ก็อร่อยเหมือนกัน
Dilip flower boy (ดีลิป ฟาวเวอร์ บอย ) กลายเป็นไวรัลสร้างความประทับใจไปทั่วโลก โดยเฉพาะที่ประเทศจีน เพราะมีสื่อใหญ่ตีข่าว เรื่องราวของเด็กหนุ่มวัย 17 ปีชาวศรีลังกา กับความพยามที่เขาทำมันออกจากใจ
เด็กหนุ่มชื่อ Dilip Madushanka ( ดีลิป มาดูชันก้า) เขาอาศัยอยู่ที่เมือง KOtmale คอทมาเลย์ ที่นั่นเป็นเมืองท่องเที่ยว ที่มีทิวเขาสวยงาม ครอบครัวของดีลิปฐานะยากจน พ่อแม่ของเขามีอาชีพขายผัก เมื่อรายได้ของครอบครัวไม่เพียงพอ เขาจึงต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่10 ขวบ เพื่อมาทำงานเป็นเด็กขายดอกไม้ เพื่อหารายได้ให้ครอบครัวทั้ง 6 ชีวิตรวมถึงตัวของเขาด้วย
ในทุกวันๆดีลิปจะจัดเตรียมช่อดอกไม้ไปขาย เพื่อแลกกับเงินเพื่อจะเลี้ยงชีพในแต่ละวัน โดยถนนสายนี้ที่เขาขายดอกไม้ เป็นถนนสายพิเศษ เป็นทางขึ้นลงเขาที่มีทางโค้งมากมาย เป็นระยะทางหลายกิโลเมตร ดีลิปยืนชูดอกไม้ดักรอรถบัสนักท่องเที่ยวอยู่ตามริมถนน ด้วยความกระตือรือร้น และรอยยิ้ม โดยไม่กีดขาวงจาราจร เขาพยามดึงดูดใจนักน่องเที่ยว แต่ส่วนมากนักท่องเที่ยวไม่ได้สนใจเขามากนัก
แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ยอมแพ้ เขาพยายามวิ่งลัดเลาะตามไหล่เขา เพื่อไล่ตามรถบัสของนักท่องเที่ยวชาวจีน เพียงเพื่อให้ขายดอกไม้ได้สักช่อเพื่อนำรายได้ไปจุนเจือครอบครัว แม้ว่าจะไม่มีใครสนใจแต่เขาทำมันอยู่ซ้ำๆ วิ่งตามรถบัสไปเรื่อยๆ ดักรอตามจุดโค้งที่รถผ่าน เด็กหนุ่มวิ่งไปเรื่อยๆ แม้เหนื่อยสายตัวแทบขาดใบหน้าของเขาก็มีแต่รอยยิ้ม เหงื่อเปียกไปทั้งตัว รูปร่างที่ผอมบาง ผิวที่เข้มจากการถูกแดดเผา เป็นตัวแทนที่แสดงให้เห็นว่าเขาทำงานหนักแค่ไหน
เมื่อได้มีนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มนึงได้สังเกตุเห็นเขา แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร และเมื่อรถบัสผ่านโค้งที่หนึ่งไปแล้ว ดาลิปกลับปรากฏตัวมาอีกครั้ง พร้อมกับชูดอกไม้และรอยยิ้มเช่นเดิม แต่รถก็ขับผ่านเขาไปต่อเป็นแบบนี้อยู่3-4ครั้ง จนในที่สุด นักท่องเที่ยวจีนเห็นความพยามของดาลิป ในที่สุดความพยายามก็สำเร็จ เมื่อรถบัสหยุดจอดรับ เด็กหนุ่มชาวศรีลังกาวัย 17 ปี
เขาถอดรองเท้าขึ้นมาบนรถบัส เพราะกลัวรถจะเปื้อนด้วยสภาพเหงื่อท่วมตัวและรอยยิ้มที่จริงใจ ทำให้นักท่องเที่ยวซื้อดอกไม้พร้อมกับถ่ายรูปกับเขา และแชร์เรื่องราวนี้ไปยังโลกออนไลน์ สิ่งนี้เองได้กลายเป็นความประทับใจให้ผู้คนที่ได้เห็นคลิปดังกล่าว
และหลังจากคลิปเหล่านี้กลายเป็นไวรัลได้มีผู้ใหญ่ใจดีเข้ามาช่วยเหลือเขามากมายทั้งมอบสินค้าต่างๆให้เค้าทั้งรองเท้า เสื้อผ้า โทรศัพท์มือถือ แม้กระทั่ง บินค่าน้ำข้ามทะเลเพื่อมหาเศรษฐีหญิงชาวจีนที่อยากได้ดอกไม้ของเขาจากมือ ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น ปัจจุบันดีลิปได้เป็นตัวแทน การท่องเที่ยวของศรีลังกา และได้มีโอกาสเข้าร่วมงานต่างที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว วันนี้ดอกไม้ของเค้าได้เบ่งบานไปทั่วโลกแล้ว
ศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติของ เม็กซิโก แจ้งเตือน เฮอร์ริเคนโอติส (Hurricane Otis) ขึ้นฝั่งเมื่อเวลาประมาณ 02.25 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 13.25 น. ตามเวลาไทย ซึ่งทวีกำลังความรุนแรงขึ้นเป็น พายุเฮอริเคน ระดับ 5 สูงสุด โดยมีความเร็วลมสูงสุด 330 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้รับผลกระทบแล้ว 2 เมือง บ้านเรือนเสียหาย เป็นวงกว้าง แต่ยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต
สำหรับความรุนแรงของพายุเฮอริเคนโอติส สามารถทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก ทั้งจากพายุฝนฟ้าคะนองหนัก ลมกระโชกแรง และคลื่นสูงซัดชายฝั่งที่เป็นภัยพิบัติรุนแรงได้ ปริมาณน้ำฝนอาจสูง 8-16 นิ้ว โดยบางพื้นที่ของรัฐเกร์เรโรและรัฐวาฮากา อาจมีปริมาณน้ำฝนสูงถึง 20 นิ้ว
ประธานาธิบดีอันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ ของเม็กซิโก ประกาศผ่านเอ็กซ์หรือทวิตเตอร์ ให้ ประชาชน ในรัฐเกร์เรโรย้ายไปหลบภัยยัง ศูนย์พักพิง โดยแนะประชาชนให้อยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย ห่างจากแม่น้ำ ลำธาร หุบเหว และให้ตื่นตัวไว้เสมอ พร้อมกล่าวว่า กองทัพเรือได้บังคับใช้แผนรักษาความปลอดภัยแล้ว
ขณะที่ข้อมูลจากเว็บไซต์ของศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติ (NHC) ระบุว่า พายุเฮอร์ริเคนระดับ 5 สามารถทำลายบ้านเรือนที่มีโครงเหล็ก ทำให้หลังคาปลิวหลุดและกำแพงพังทลายได้ นอกจากนี้ ไฟฟ้าดับจากพายุอาจกินเวลานานหลายสัปดาห์หรืออาจนานหลายเดือน และพื้นที่ส่วนใหญ่จะไม่สามารถอยู่อาศัยได้เป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน
ด้านนายฟิล คลอตบัค นักวิจัยด้านพายุเฮอร์ริเคน ประจำมหาวิทยาลัยโคโลราโด กล่าวบนโพสต์โซเชียลมีเดียก่อนหน้านี้ว่า ความเร็วลมสูงสุดของพายุเฮอร์ริเคนเพิ่มขึ้น 80 ไมล์ต่อชั่วโมง ในช่วง 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอัตราที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้ในแปซิฟิกตะวันออก นับตั้งแต่ยุคดาวเทียมเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2509