ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



ครบเครื่อง ญ.อมตะ 19 มิถุนายน 2564

ปรากฏการณ์ "เมือกทะเล" ปกคลุมผิวน้ำนอกชายฝั่งตุรกี

ทางการตุรกีเร่งหาทางแก้ปัญหา หลังพื้นที่ชายฝั่งของตุรกี ถูกปกคลุมไปด้วยเมือกทะเล หรือน้ำมูกทะเลจำนวนมาก ซึ่งจะเกิดอันตรายต่อชีวิตสัตว์น้ำและการทำประมง

น้ำทะเลสีเทอร์ควอยซ์ของตุรกีในทะเลมาร์มารา ไปจนถึงทางใต้ของนครอิสตันบูลในตุรกี แปรสภาพไปเป็นสีขุ่นเหลือง หลังเกิดปรากฏการณ์เมือกทะเล หรือน้ำมูกทะเล จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ทำให้ผิวน้ำถูกปกคลุมไปด้วยเมือกเหนียว ซึ่งไม่เพียงก่อให้เกิดความรำคาญและลดความสวยงามของผืนทะเลเท่านั้น แต่ยังเป็นอันตรายต่อชีวิตสัตว์น้ำ และเป็นอุปสรรคต่อการเดินเรือและการทำประมง เพราะแม้สารที่เป็นครีมและเจลาตินโดยทั่วไปไม่เป็นอันตราย แต่สามารถดึงดูดไวรัสและแบคทีเรีย เช่น อีโคไล ที่คุกคามพืชและสัตว์ในทะเล ตลอดจนมนุษย์ที่สัมผัสกับน้ำปนเปื้อน นอกจากนี้ ยังไปเคลือบเหงือกของสัตว์ทะเล ทำให้สัตว์ขาดออกซิเจน และตายในที่สุด

ขณะที่ธุรกิจร้านอาหารริมทะเลต่างได้รับผลกระทบด้านการท่องเที่ยว หลังจากต้องปิดกิจการยาวนานในช่วงโควิด-19 แต่พอภาครัฐให้เปิดกิจการได้ก็ต้องมาประสบปัญหาเรื่องเมือกทะเลที่ทำให้ทัศนียภาพแหล่งท่องเที่ยวเสียไป จนไม่มีใครอยากมาพักผ่อน

ด้าน มุสตาฟา ส่าหรี ผู้เชี่ยวชาญทางทะเลของตุรกี ระบุว่า สาเหตุหลักสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว ก็คือการปล่อยของเสียลงทะเล จนมีการสะสมของมลพิษที่รุนแรงขึ้น ประกอบกับภาวะโลกร้อนที่ส่งผลให้อุณหภูมิในทะเลสูงขึ้น ทำให้เกิดเมือกทะเลจำนวนมากเช่นนี้ ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเมือกทะเลในตุรกี แต่นับว่าครั้งนี้มีความรุนแรงมากที่สุด และเกิดเมือกทะเลในปริมาณที่มากผิดปกติ ซึ่งทางการต้องเร่งหาวิธีแก้ปัญหาโดยเร็ว

โดยรัฐบาลตุรกีได้ร่วมประชุมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และกำลังหาแนวทางในการจัดการปัญหาอย่างเร่งด่วนแล้ว โดยจะตั้งทีมเฉพาะกิจจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ลงปฏิบัติการทำความสะอาดเก็บกวาดเมือกทะเลให้หมดโดยเร็ว.

ที่มา : อินเดียเอ็กซเพรส


แอฟริกาใต้ตื่นเพชร ชาวบ้านแห่ขุดก้อนหินหวังเป็นอัญมณีล้ำค่า

หมู่บ้านเล็กๆ ห่างไกลในจังหวัดควาซูลู-นาตัลของแอฟริกาใต้คลาคล่ำด้วยชาวบ้านหลายพันคนที่แห่กันมาขุดหาเพชรบนเนินเขา หลังจากคนเลี้ยงวัวเจอก้อนหินลักษณะคล้ายเพชรดิบเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทางการท้องถิ่นส่งผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ พร้อมเตือนอาจขุดกันเสียเที่ยวเปล่าและเสี่ยงต่อการแพร่โควิด-19 ด้วย

ชาวแอฟริกาใต้จำนวนมากเดินทางมาเสี่ยงโชคที่หมู่บ้านควาฮลาที ในจังหวัดควาซูลู-นาตัล ซึ่งอยู่ห่างจากนครโยฮันเนสเบิร์กทางตะวันออกเฉียงใต้มากกว่า 300 กิโลเมตร หลังจากมีข่าวว่าคนเลี้ยงปศุสัตว์รายหนึ่งเจอก้อนหินลักษณะใสเหมือนแก้วจำนวนหนึ่งที่ยังระบุไม่ได้ว่าคืออะไร ข่าวนี้แพร่สะพัดอย่างรวดเร็วและก่อกระแสที่เจ้าหน้าที่เรียกกันว่า "ตื่นเพชร" แม้รัฐบาลจะเตือนว่าก้อนหินเหล่านี้อาจไม่ใช่อัญมณีล้ำค่าอย่างที่พวกเขาคาดหวัง

เอเอฟพีรายงานเมื่อวันอังคารว่า ชาวบ้านจำนวนมาก มีทั้งผู้ชาย ผู้หญิงและเด็ก พร้อมพลั่วและเสียม บ้างก็ใช้มือเปล่า พากันขุดดินกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หลายคนเจอก้อนหินลึกลับที่ว่านี้ บางคนเชื่อว่าเป็นเพชรจริง

หญิงชื่อมากูดูเลเลาวัย 40 ปีเศษที่ต้องดิ้นรนเลี้ยงปากท้องลูก 3 คน บอกว่า เธอจะเอาเงินไปซื้อรถ ซื้อบ้าน และส่งลูกเรียนโรงเรียนเอกชน ส่วนชายชื่อทูลานี มันยาที เดินทางมาจากโยฮันเนสเบิร์ก พร้อมกับลูกสาวอีก 4 คน บอกว่าเขาจะไปอยู่ดูไบ ซื้อบ้าน 2 ชั้น หินที่ขุดได้เหล่านี้จะเปลี่ยนชีวิตของเขา

แอฟริกาคือถิ่นกำเนิดของเพชรคัลลิแนน ที่เป็นอัญมณีดิบขนาดใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งขุดพบเมื่อปี 2448 ในเมืองคัลลิแนน ว่ากันว่าเพชรก้อนนี้ ซึ่งมีน้ำหนักกว่า 3,000 กะรัตตอนยังไม่เจียระไน อยู่ใต้ดินลึกแค่ไม่กี่เมตร

มีข่าวด้วยว่า ชาวต่างชาติหลายคนขอซื้อก้อนหินเหล่านี้ในราคาไม่กี่ร้อยแรนด์ที่เมืองเลดีสมิธที่อยู่ใกล้กัน แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนบอกว่าไม่น่าเป็นได้อย่างยิ่งที่ก้อนหินเหล่านี้จะเป็นเพชร

ชายหนุ่มเบคูมูซี ลูวูโน วัย 18 ปี อวดหินที่เขาขุดได้เมื่อคืนและบอกว่า หินเหล่านี้ไม่ใช่เพชร ผู้คนที่นี่กำลังเสียเวลาเปล่า

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นขอร้องบรรดานักขุดเพชรทั้งหลายให้ออกจากพื้นที่ โดยอ้างข้อจำกัดในการควบคุมโรคระบาดโควิด-19 แต่ไม่มีใครฟัง

ในวันอังคาร รัฐบาลกลางส่งคณะผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิศาสตร์และเหมืองแร่ลงพื้นที่นี้ ซึ่งเต็มไปด้วยรูพรุนจากการขุดคุ้ย เพื่อเก็บตัวอย่างหินเหล่านี้ไปวิเคราะห์ ในพื้นที่นั้นมีรถตำรวจหลายคันจอดอยู่ด้วย เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย.


ระทึก! หลุมยุบสูบรถ จมน้ำหายทั้งคัน กู้ภัยช่วย 12 ชม.

เว็บไซต์ indianexpress.com รายงานเหตุน่าตกตะลึงเมื่อมีรถคันหนึ่งที่จอดอยู่ในลานจอดรถ ถูกหลุมยุบดูดกลืนรถจมหายลงไปในน้ำที่อยู่ใต้ดินจนมิดทั้งคัน โดยเหตุเกิดขึ้นที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย

รายงานระบุว่า รถคันดังกล่าวเป็นรถยนต์ยี่ห้อฮุนได ของนายคาราน โดชี แพทย์วัย 67 ปี โดยนายโดชีระบุว่า รถยนต์คันดังกล่าวปกติลูกชายจะเป็นคนใช้ แต่วันเกิดเหตุเป็นวันหยุดจึงจอดรถไว้ที่บ้าน

โดชีระบุว่า คนล้างรถสังเกตเห็นพื้นเริ่มแตกจึงมาเตือนตน แต่คอนกรีตเกิดยุบตัวลงเรื่อยๆ ตนจึงอัดคลิปดังกล่าวเอาไว้

รายงานระบุว่า ลานจอดรถดังกล่าวสร้างขึ้นมานาน 40 ปีแล้ว เดิมพื้นที่ดังกล่าวเป็นบ่อน้ำเก่าที่ใช้สำหรับอุปโภคบริโภคของคนในพื้นที่ ด้วยความเก่าและปูนที่บางส่งผลให้เกิดเหตุดังกล่าวขึ้น

ทั้งนี้หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องดูดน้ำออกจากบ่อเพื่อหาตำแหน่งของรถ ก่อนจะใช้เวลาถึง 12 ชั่วโมงกว่าที่จะกู้รถคันดังกล่าวขึ้นมาได้สำเร็จ


เจ้าลัทธิชาวอินเดียมีเมีย 39 ลูก9 4 ป่วยเสียชีวิตด้วยวัย 76

ชายชาวอินเดียเจ้าลัทธิที่มีเมียได้หลายคนและเป็นหัวหน้าครอบครัวขนาดใหญ่ที่สุดในอินเดียด้วยจำนวนสมาชิก 167 คน เสียชีวิตลงแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทิ้งภรรยา 39 คนเป็นหม้าย

รายงานของเพรสส์ทรัสต์ออฟอินเดียเมื่อวันจันทร์กล่าวว่า ซิโอนา ชานา ผู้นำลัทธิชานารุ่นปัจจุบัน ป่วยเป็นเบาหวานและความดันโลหิตสูง เขาเสียชีวิตที่โรงพยาบาลเมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน มุขมนตรีโซรัมทันกา ของรัฐมิโซรัม ทวีตแจ้งข่าวการเสียชีวิตของเขา โดยบอกว่า รัฐมิโซรัมและหมู่บ้าน Baktawng Tlangnuam กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของรัฐนี้ก็เพราะครอบครัวของเขา

สื่อของอินเดียอ้างว่า เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยจำนวนภรรยา 39 คน ลูก 94 คน และหลาน 33 คน รวมตัวเขาด้วยครอบครัวนี้มีสมาชิกอย่างน้อย 167 คน แต่จากรายงานของรอยเตอร์ เจ้าลัทธิมอร์มอนในแคนาดาชื่อวินสตัน แบล็กมอร์ มีลูกประมาณ 150 คนจากภรรยา 27 คน รวมเป็น 178 คน

เอเอฟพีและบีบีซีรายงานว่า ปู่ของซิโอนาเป็นผู้ก่อตั้งลัทธิชานาเมื่อปี 2485 ปัจจุบันลัทธินี้มีสมาชิกรวมกันเกือบ 2,000 คน

ข่าวรอยเตอร์กล่าวว่า ซิโอนาแต่งงานกับภรรยาคนแรกเมื่อเขาอายุ 17 ปี เขาเคยคุยว่ามีอยู่ปีหนึ่งเขาแต่งภรรยาถึง 10 คน ภรรยาของเขาอยู่รวมกันในหอพักใกล้กับห้องนอนของเขา คนท้องถิ่นกล่าวกันว่า ซิโอนาชอบให้ภรรยา 7-8 คนอยู่ข้างกายเขาตลอดเวลา

ลัทธิชานาที่ให้ชายมีภรรยาได้หลายคนนั้น อ้างอิงจากคำสอนของศาสนาคริสต์ ถึงแม้ว่าพวกผู้นำคริสตจักรเพรสไบทีเรียน ที่เป็นนิกายหลักในรัฐนี้ จะปฏิเสธปรัชญาการมีภรรยาหลายคนของลัทธินี้.


หนุ่มอินเดีย ซ่อนแฟนสาวในบ้านนาน 11 ปี คนในบ้านยังไม่รู้ อ้างกลัวคนไม่ยอมรับ

รักต้องซ่อน! หนุ่มอินเดีย ซ่อนแฟนสาวไว้ในบ้านตัวเองนาน 11 ปี แม้แต่คนในบ้านก็ยังไม่รู้ อ้างกลัวครอบครัวไม่ยอมรับความรักของทั้งคู่

ราห์มัน คานี ชายวัย 34 ปี จากรัฐเกรละ ประเทศอินเดีย กับแฟนสาว สาจิตา หญิงสาววัย 28 หญิงสาวที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ทั้งคู่เคยหนีไปด้วยกันเมื่อปี 2553 เพราะว่าราห์มันมันกลัวว่าครอบครัวของเขาจะไม่ยอมรับแฟนสาวของเขา เพราะว่าทั้งคู่นับถือคนละศาสนากัน

แต่หลังจากที่หนีไปได้ไม่นาน ราห์มันก็แอบพาแฟนสาวกลับเข้ามาอยู่ในบ้านของตัวเองอย่างลับ ๆ โดยสาจิตาก็ยอมเป็นฝ่ายที่ละทิ้งอิสรภาพของเธอ เพื่อให้รักนี้ยังไปต่อได้ แต่ด้วยความที่ราห์มันอาศัยอยู่ในบ้านที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่ และยังมีพ่อ แม่ น้องสาว ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเดียวกัน ทำให้ห้องนอนของเขาแคบ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ครบ แต่สาจิตาก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนั้นได้ โดยที่ไม่มีใครสงสัย

โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ราห์มันก็ได้พยายามทำทุกทาง เพื่อไม่ให้คนในบ้านเข้าไปยุ่งกับห้องของเขา โดยเขาจะล็อกประตูห้องอย่างแน่นหนาทุกครั้งที่ออกไป และบางครั้งเขาก็ปล่อยกระแสไฟฟ้าไว้ที่ประตู เพื่อไม่ให้คนในบ้านเปิดห้องของเขาได้ แต่ก็ใช่ว่าสาจิตาจะไร้อิสระโดยสิ้นเชิง เพราะราห์มันได้นำเหล็กดัดที่หน้าต่างห้องนอนออก ทำให้เธอสามารถออกไปยืดเส้น สูดอากาศข้างนอกในยามค่ำคืนได้

อย่างไรก็ตามความลับไม่มีในโลก เพราะความลับดังกล่าวก็ได้ถูกเปิดเผยหลังจากที่ทั้งคู่ตัดสินใจย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังอื่น โดยไม่ได้บอกใคร ด้านพ่อและแม่ของราห์มันก็ได้ขอให้ตำรวจช่วยตามหาลูกชายที่หายไปก่อนจะพบทั้งคู่อยู่ในบ้านเช่าหลังหนึ่ง ในหมู่บ้านที่อยู่ข้างเคียง

ด้านราห์มันได้ยอมรับกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าพวกเขาได้ย้ายออกมาอยู่ด้วยกันประมาณ 3 เดือนก่อนแล้ว และยังได้ซ่อนเรื่องราวความรักที่ต้องแอบซ่อนมานานนับทศวรรษ แน่นอนว่าในตอนแรกตำรวจก็ไม่อาจเชื่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่หลักฐานต่าง ๆ ก็เป็นไปตามคำกล่าวอ้างนั้น

ทำให้ในที่สุดเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้พาตัวคู่รักไปยังศาล และศาลก็ได้อนุญาตให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันได้ ก่อนที่เรื่องราวทุกอย่างจะจบลงอย่างสวยงาม และราห์มันกับสาจิตาก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในบ้านเช่าได้อย่างมีอิสระเสรี ไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป

ที่มา : The Sun / The Hindu