ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



5 เคล็ดลับการดูแลผิวผู้สูงวัยให้เปล่งปลั่ง อ่อนกว่าวัย

ช่วงวัยที่อายุมีเพิ่มมากขึ้น สัญญาณแห่งวัยที่อาจมองเห็นได้ชัดเจนจากผิวพรรณ โดยเฉพาะในช่วงอายุ 60 ปี ผิวจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และความผันผวนภายในร่างกาย เช่น คอลลาเจนและอีลาสตินที่ลดลง โดยคอลลาเจน และอีลาสตินเป็นโปรตีนที่ให้ความยืดหยุ่นแก่โครงสร้างผิว การที่ผิวหนังผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินได้น้อยลงเป็นผลมาจากอายุที่เพิ่มขึ้น นำไปสู่ริ้วรอย และผิวหนังที่หย่อนคล้อยสามารถเห็นได้ชัด นอกจากนี้ ผิวหนังยังมีการผลิตน้ำมันลดลง ทำให้เกิดความแห้งกร้าน จุดด่างดำเพิ่มขึ้น และการผลัดเซลล์ผิวลดลง

ลอร่า ชาคอน-การ์บาโต ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาด้านโภชนาการทั่วโลก และการฝึกอบรมที่เฮอร์บาไลฟ์ ได้ให้ข้อมูลในการดูแลผิวของคนวัย 60 ปีขึ้นไป ที่สามารถทำตามได้ง่ายๆ เพื่อปรับคืนความอ่อนเยาว์ และสร้างความสดชื่นกลับมาให้ผิวอีกครั้ง

5 เคล็ดลับการดูแลผิวผู้สูงวัย

ทำความสะอาดผิวหนังอย่างอ่อนโยน

การทำความสะอาดผิวหนังนั้น ไม่ควรใช้น้ำร้อนจัดในการล้างหน้า และตัว เพราะอาจทำให้ผิวที่บอบบางเกิดการระคายเคืองได้ โดยวิธีการทำความสะอาดที่ดีที่สุด คือ น้ำอุ่น หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีเนื้อนุ่มที่ปราศจากสารซัลเฟตในช่วงเช้า เพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่เกิดขึ้นในตอนกลางคืนโดยไม่ทำลายน้ำมันตามธรรมชาติบนผิว นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ยังสามารถคืนความสดชื่น สร้างความผ่อนคลาย และช่วยลดความแห้งกร้านของผิวได้

เลือกเซรั่มที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์บำรุงเสริมมีมากมายในท้องตลาด การเลือกเซรั่มนั้นต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิว ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากสำหรับคนที่มีอายุเพิ่มขึ้น หนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจคือ ผลิตภัณฑ์เซรั่มที่มีวิตามิน B3, C และ E วิตามินดังกล่าวเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และมีส่วนช่วยในการต่อต้านการเกิดออกซิเดชันของอนุมูลอิสระ ที่เป็นโมเลกุลที่คอยทำลายคอลลาเจนจนทำให้ผิวแห้งกร้าน และทำให้เกิดริ้วรอย

เลือกใช้ครีมกันแดดให้เหมาะสมกับผิว

เมื่ออายุมากขึ้น ผิวมีแนวโน้มบางลง ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเสียหาย และไวต่อรังสี UV จากแสงแดดมากขึ้น ดังนั้นการทาครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพป้องกันได้ครอบคลุมทั้งรังสี UVA และ UVB จะสามารถช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ ทั้งผิวหนังไหม้ ผิวหนังที่คอลลาเจนถูกทำลาย ริ้วรอย และจุดด่างดำ แนะนำครีมกันแดดที่มีสาร Broad Spectrum SPF ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของครีมกันแดดบนฉลากผลิตภัณฑ์ ที่สามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB รวมถึงครีมกันแดดที่ดียังมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวทำให้ผิวอ่อนนุ่มขึ้นอีกด้วย

ถ้าหากท่านใดจำเป็นต้องอยู่กลางแสงแดดเป็นเวลานาน ควรเลือกวิธีป้องกันอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การสวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว หมวก และแว่นกันแดด

หมั่นขัดผิว

การขัดผิวสัปดาห์ละสองครั้ง เป็นการช่วยผิวหนังผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว เนื่องจากเมื่ออายุเพิ่มขึ้น การผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวจะช้าลง นอกจากการขัดผิวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ยังช่วยส่งเสริมให้เซลล์ผิวมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเพิ่มขึ้นได้ไว การใช้ผลิตภัณฑ์ อาจจะต้องมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีสูตรอ่อนโยนร่วมด้วย และผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนังเพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ

รับประทานอาหารเสริม

การรับประทานอาหารเสริม เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน อาหารเสริม หรือไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน สามารถช่วยให้ร่างกายดูดซึม และนำไปใช้ได้ง่ายขึ้น เพื่อที่จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวพรรณได้ นอกจากนี้ บางผลิตภัณฑ์ยังมีประโยชน์เพิ่มเติมอื่นๆ เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ แร่ธาตุเพื่อบำรุงเล็บ และเส้นผมให้แข็งแรงได้ด้วย อย่างไรก็ตามควรมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีผลการศึกษาอ้างอิง และฉลากที่ชัดเจน เพื่อประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของผู้รับประทาน

อายุที่มากขึ้น การบำรุงผิว ตั้งแต่การทำความสะอาด การบำรุง การปกป้องผิวจากแสงแดด และการทานอาหารเสริม ทั้งหมดจะสามารถช่วยปลุกความสดชื่น และเรียกคืนความกระปรี้กระเปร่าของผิวหนังให้กลับมาเด็กลงได้อีกครั้ง

ข้อมูล : Herbalife

ภาพ : iStock


พลิกตำราแพทย์แผนไทย 'กัญชา' รักษา 'โรคสมองเสื่อม' อาการปวดเรื้อรัง

เสียดาย กัญชง 'กัญชา' ไม่ได้รับรับการพัฒนาทั้งที่มีคุณสมบัติรักษา 'โรคสมองเสื่อม' และอาการปวดเรื้อรัง อย่างได้ผล

ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและสมอง โพสเฟซบุ๊กเสียดาย กัญชง กัญชา ตามตำราแพทย์แผนไทย มีจารึกกระบวนการปรุงวิธีใช้และข้อบ่งใช้ในภาวะหรืออาการต่างๆ แต่ถูกละเลย มองดูเป็นเรื่องล้าสมัย เชยและไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แผนใหม่โดยที่คนไทยพื้นบ้านทั่วไปก็ยังมีการใช้อยู่ และได้ผล

กัญชาและกัญชง มีสูตรตำรับมากมายและในสูตรต่างๆนี้มากกว่า 10 ตำรับ ที่พวกเราได้ทำการวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า แมสสเปกโตรมิเตอร์ และปรากฏว่าในสูตรตำรับแต่ละชนิดนั้น มีส่วนประกอบของสารเธอร์ปีน และส่วนของแคนนาบินอยด์ต่างๆกัน

เช่น ในกลุ่ม THC และ CBD โดยที่ในแต่ละกลุ่มนั้นก็จะมีเพื่อนของเขาอยู่ด้วยกันหลายตัว และเป็นหลักของการใช้สมุนไพรในการรักษา โดยที่มักจะไม่ใช้สารเดี่ยว เนื่องจากจะต้องใช้ปริมาณสูงมากถึงจะเห็นผลคุณสมบัติของกลุ่ม CBD นั้น เป็นที่รับทราบในการแพทย์แผนปัจจุบันมากขึ้นเรื่อยๆ และในส่วนของการควบคุมอาการเจ็บปวดเรื้อรัง ที่ทำให้มีความทนทุกข์ทรมานอย่างอื่นร่วม ได้แก่

ปัญหาการนอน ความวิตกกังวล กินอาหารไม่ได้ โดยที่สาเหตุหลักของอาการปวดทรมานเหล่านี้ มีตั้งแต่ข้อและกระดูกอักเสบ กล้ามเนื้อเนื้อเยื่อพังผืดอักเสบเรื้อรัง โรคสมองเสื่อมและไขสันหลังบาดเจ็บ หรืออักเสบเรื้อรัง และจนกระทั่งถึงการที่มีติดเชื้อไวรัสเอชไอวี

มีข้อสรุปเป็นคำแนะนำในการดูแลผู้ป่วยทางเวชปฏิบัติ โดยที่มีการเผยแพร่ในวันที่ 27 มีนาคม 2023 และเน้นตัว CBM หรือ cannabinoid based medication เป็นหลักและมีหลักฐานชัดเจนโดยสามารถใช้เป็นยาเดี่ยวและใช้ทดแทนยาแก้ปวดที่ใช้อยู่เดิมหรือใช้เป็นยาร่วมในภาวะปวดเรื้อรังที่ควบคุมยากที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทและในภาวะของการปวดเรื้อรังอื่นๆ ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน

รายงานในวารสาร Science Advances ในวันที่ 20 มกราคม 2022 ใช้ CBD ในหลอดทดลอง ต่อมาในหนู และวิเคราะห์ในมนุษย์ที่ใช้ CBD อยู่แล้วในการรักษาโรคลมชัก ต่อการติดเชื้อโควิดพบว่ามีประสิทธิภาพในการยับยั้งการติดเชื้อและความรุนแรงของโควิด

ทั้งนี้ ศึกษาลงลึกถึงกลไกของการออกฤทธิ์ที่ระดับต่างๆ และไม่มีผลข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็นกัญชงบริสุทธิ์ CBD เดี่ยว ที่ไม่มีกัญชา โดยใช้ขนาดในสัตว์ทดลอง 20 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมจนกระทั่งถึง 60 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน และกลไกการออกฤทธิ์นั้นอยู่ที่ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสในเซลล์โดย CBD ไปทำการเสริมให้ระบบป้องกันภัยของร่างกายแข็งแรงขึ้น

และในส่วนของภาวะสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ นั้น มีการศึกษาในระดับหลอดทดลองและสัตว์ทดลองที่ปรับแต่งพันธุกรรมให้มีสมองเสื่อมแบบในมนุษย์โดยที่ CBD สามารถที่จะชะลอและป้องกันอาการเสื่อมที่จะเกิดขึ้น และที่สำคัญก็คือลดการอักเสบที่เกิดขึ้นในสมองซึ่งเป็นตัวร้ายในการที่ทำให้เกิดความเสียหายและกระตุ้นให้มีการสร้างโปรตีนพิษบิดเกรียวในสมอง

และนอกจากนั้นยังกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ (neurogenesis) และมีรายงานในมนุษย์ที่มีโรคสมองเสื่อมยังสามารถทำให้ลดอารมณ์เหวี่ยงกระวนกระวายที่ทำให้ครอบครัวและผู้ดูแลไม่สามารถเอาอยู่ได้

หมอเองนั้นเป็นโรคกระดูกและข้ออักเสบ คล้ายรูมาตอยด์ เรียกว่า AS (ankylosing spondylitis) sero negative arthritis เป็นแต่วัยรุ่น รุนแรงเริ่มตอนเป็นแพทย์ฝึกหัด ปวดหลัง กระดูกหน้าอก เอ็นร้อยหวาย เดินไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ แม้แต่จะหายใจยังเจ็บ ต้องนอนแทบกระดิกไม่ได้ประมาณหนึ่งเดือน จากนั้น อยู่ด้วยยาแก้ปวดขนานต่างๆ ตรวจเลือดอักเสบตลอดเวลา (ESR 80 และ CRP สูง)

จนประมาณ 7–8 ปีที่แล้ว ได้รู้จักกับกลุ่มชมรมรักษาตนเองและครอบครัว ที่มีโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิด และยาปัจจุบัน ยังคงมีข้อจำกัด โดยที่ปวดทรมานใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้ นอนไม่ได้ หดหู่ โดยใช้กัญชาพื้นบ้าน ทั้งราก ใบ ดอก กับน้ำร้อน หรือสกัดช่อดอก และปรับจนเจือจางที่สุด เพื่อไม่ให้ติด ไม่ให้เมา จนกระทั่งนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ช่วยปวดเมื่อย นอนไม่หลับ

แต่ต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์ จะค่อยๆเห็นผลและค่อยปรับแต่งขนาด ฟังดูเป็นเรื่องซับซ้อน แต่แท้จริงแล้วต้องค่อยๆใจเย็นไม่รีบร้อน และจนใช้ส่วนประกอบพิเศษที่เป็น terpene flavonoids ยืนพื้น และค่อยๆเพิ่มกัญชง (ตระกูล CBD) โดยทั้งหมดไม่เกิดการติดเคลิ้ม และเมื่อจำเป็น ใช้ส่วนของกลุ่ม ตระกูล THC เติมในปริมาณน้อยมาก

โรคหมอสงบโดยไม่ได้ใช้ยาแก้ปวดใดๆ ค่าอักเสบกลับปกติ ค่าไซโตคายน์ (cyto–chemokine) 13 ตัวคล้องจองกันดีแต่แน่นอน ต้องประกอบกับปรับอาหารเข้าใกล้มังสวิรัติ ลดแป้ง ตากแดด ออกกำลัง และต้องเอื้อเฟื้อคนอื่นเหมือนกับที่เราได้ความเมตตาเช่นกัน

ประสบการณ์ และกลไกทางวิทยาศาสตร์ และตัวอย่างในการบรรเทา โรคสมองในคนป่วย หมอได้บรรยายที่ประชุมประจำปีของสมาคมไวรัสทางสมอง international Society of Neurovirology จัดที่สหรัฐฯ เดือนตุลาคม 2022 และที่ประชุมองค์การอนามัยโลก ธันวาคม 2022

รวมทั้งแสดงส่วนประกอบของตัวที่ใช้โดยแสดง terpene profiling ด้วยการวิเคราะห์จาก GC tandem MS และสารประกอบ ส่วนอื่นๆ และผลการศึกษาในสัตว์ทดลองที่ได้ฉีดไวรัสพิษสุนัขบ้าเข้าไปในสมอง และสามารถกำจัดไวรัสไปได้ ด้วยกลวิธีร่วมกับยาปัจจุบันประเทศไทยและในเอเชียมีของดี ที่สามารถนำมาควบรวมกับการรักษาแผนปัจจุบันได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยทราบชนิด วิธีใช้ต่างๆ และกลไกการออกฤทธิ์

ถึงนาทีนี้คนไทยเราน่าที่จะมีการส่งเสริมในการใช้สมุนไพรเหล่านี้ ทั้งนี้ ในรูปแบบแผนที่มีการใช้กันมาก่อนและปรับกระบวนทัศน์ของแพทย์แผนไทยหรือครูพื้นบ้านกับแพทย์แผนปัจจุบันให้มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์ของคนไทยในการรักษาสุขภาพป้องกันและชะลอโรค โดยที่ไม่ใช้ยามากเกินไป จนกระทั่งมีผลแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงของยามากขึ้นไปอีกโดยไม่จำเป็น


เตรียมรับมือ ไวรัสโคโรนา20สายพันธุ์ เสี่ยงแพร่จากค้างคาวสู่คน

ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสจีนพบหลักฐานการระบาดของไวรัสโคโรนากว่า 20 สายพันธุ์ใหม่จากค้างคาวที่มีความเสี่ยงสูงแพร่ระบาดมาติดเชื้อในคนได้ในอนาคต เตือนทั่วโลกเตรียมระบบสาธารณสุขให้พร้อมรับมือ

เมื่อวันที่ 26 กันยายน ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics เปิดเผยว่า จีนออกมาเตือนทั่วโลกให้เตรียมพร้อมรับมือไวรัสโคโรนา 20 สายพันธุ์ใหม่จากค้างคาวที่อาจแพร่ระบาดมาสู่คน ทั้งนี้ คำเตือนดังกล่าวมาจากดร.ฉี เจิ่งลี่ ผู้อํานวยการศูนย์โรคติดเชื้ออุบัติใหม่ สถาบันไวรัสวิทยาเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีนว่า พบไวรัสโคโรนาจากค้างคาวกว่า 20 สายพันธุ์ใหม่ “มีความเสี่ยงสูง” ที่อาจก้าวข้ามมาระบาดในคน

สำหรับดร. ฉี เจิ่งลี่นั้น ได้รับสมญาว่า “หญิงค้างคาว (bat woman)” เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนผู้ที่มีชื่อเสียงทําการวิจัยเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาที่กระโดดข้ามจากสัตว์โดยเฉพาะค้างคาวมาติดต่อในคน มีผลงานสร้างชื่อจากงานวิจัยเกี่ยวกับ SARS-CoV-1 ในปี 2560 ซึ่งดร.ฉี เจิ่งลี่และทีมวิจัยค้นพบว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ SARS น่าจะมีต้นกําเนิดมาจากค้างคาวเกือกม้า (Horseshoe Bat) ในมณฑลยูนนานของจีน

ก่อนหน้านี้ในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดร.ฉี เจิ่งลี่ ถูกตรวจสอบ เนื่องจากห้องปฏิบัติการของดร.ฉี ที่สถาบันไวรัสวิทยาเมืองอู่ฮั่นทําการวิจัยเกี่ยวกับไวรัสโคโรนา แต่ปฏิเสธว่าไวรัสโคโรนา-2019 มิได้หลุดมาจากห้องปฏิบัติการตน ปัจจุบันรัฐบาลจีนยังคงสนับสนุนงานวิจัยของ ดร. ฉี เจิ่งลี่ ในการสืบค้นไวรัสในสัตว์ที่อาจแพร่ข้ามมาสู่มนุษย์ ซึ่งผลวิจัยล่าสุด ดร.ฉี เจิ่งลี่และทีมวิจัยได้เตือนว่ามีโอกาส “สูงมาก” ที่จะเกิดการระบาดของไวรัสโคโรนาอีกในอนาคต

หลักฐานของการระบาดของไวรัสโคโรนาในอนาคต ทีมวิจัยพบไวรัสโคโรนาจํานวนกว่า 20 สายพันธุ์ที่มี”ความเสี่ยงสูง”แพร่ติดเชื้อในคนได้ โดยให้เหตุผลว่าไวรัสโคโรนาเคยก่อให้เกิดการระบาดจากสัตว์สู่คนมาก่อน เช่น SARS และ COVID-19 ดังนั้น เป็นไปได้สูงที่จะเกิดระบาดอีกในอนาคต

ไวรัสโคโรนา (CoV) มีสี่สกุล ได้แก่ alpha (α), beta (β), gamma (γ) และ delta (δ) CoV ทั้งหมดที่ทำให้เกิดการระบาดของมนุษย์นั้นมาจาก alpha- หรือ beta-CoV จากการจำแนกประเภทของ ICTV ล่าสุด พบว่ามี CoV สายพันธุ์ 40 ชนิดในสกุล alpha- และ beta-CoV โดย 27/40 ของสายพันธุ์ CoV (67.5%) สามารถพบได้หรือพบเฉพาะในค้างคาว

ผลกระทบงานวิจัยของดร.ฉี เจิ่งลี่ เน้นถึงภัยคุกคามต่อเนื่องจากไวรัสโคโรนาที่มาจากค้างคาว ย้ำให้เห็นว่าภาครัฐควรลงทุนด้านวิจัยเพิ่มเติม เพื่อสืบค้นหาไวรัสที่เสี่ยงสูงเพื่อประโยชน์แห่งการพัฒนาวัคซีน/ยาสำหรับรักษาล่วงหน้าก่อนเกิดการระบาดในอนาคต และเตือนผู้ดูแลระบบสาธารณสุขทั่วโลกให้เตรียมรับมือการระบาดของโรคจากไวรัสโคโรนาใหม่ๆ ในอนาคต


นาซาเก็บตัวอย่าง “ดาวเคราะห์น้อยเบนนู” สุดฮือฮา-ประเดิมครั้งแรกของสหรัฐ

นาซาเก็บตัวอย่าง – ซินหัว รายงานว่า ยานอวกาศโอไซริส-เร็กซ์ (OSIRIS-Rex) ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (นาซา) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจเก็บตัวอย่างจาก “ดาวเคราะห์น้อย” ครั้งแรกของสหรัฐ กลับถึงโลกพร้อมตัวอย่างจาก “ดาวเคราะห์น้อยเบนนู” (Bennu) เมื่อวันอาทิตย์ ที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา

รายงานระบุว่ายานโอไซริส-เร็กซ์ปลดแคปซูลตัวอย่างสู่โลกเมื่อเวลา 10.42 น. ตามเวลามาตรฐานสากล ที่ระดับความสูงเหนือพื้นผิวโลกประมาณ 101,000 กิโลเมตร หรือราว 1 ใน 3 ของระยะห่างจากโลกถึงดวงจันทร์ และแคปซูลเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกตามแผนเมื่อเวลา 14.42 น. บริเวณนอกชายฝั่งรัฐแคลิฟอร์เนีย

แคปซูลตัวอย่างลงจอดบนพื้นดินภายในอาณาเขตสนามทดสอบและฝึกอบรมยูทาห์ สังกัดกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ เวลา 14.52 น. โดยตัวอย่างถูกส่งต่อไปยังศูนย์อวกาศจอห์นสันในเมืองฮูสตัน รัฐเทกซัส ในวันจันทร์ที่ 25 ก.ย. เพื่อเดินหน้ากระบวนการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์

ยานอวกาศโอไซริส-เร็กซ์ ถูกปล่อยสู่อวกาศเมื่อวันที่ 8 ก.ย.2559 และเดินทางถึงดาวเคราะห์น้อยเบนนู เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.2561 ก่อนจะเก็บตัวอย่างหินและฝุ่นจากพื้นผิวดาวเคราะห์น้อยเบนนู เมื่อวันที่ 20 ต.ค.2563

ดาวเคราะห์น้อยเบนนูเป็นเศษซากหลงเหลือของระบบสุริยะยุคแรกเมื่อ 4,500 ล้านปีก่อน คาดว่ายังคงมีสภาพดี ทำให้ตัวอย่างที่เก็บมาอาจมีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับบทบาทของดาวเคราะห์น้อยลักษณะคล้ายคลึงกันที่มีต่อการก่อตัวของดาวเคราะห์และการเกิดสารอินทรีย์และน้ำบนโลกที่นำสู่การเกิดสิ่งมีชีวิตในท้ายที่สุด

ทั้งนี้ หลังจากปลดแคปซูลตัวอย่างสู่พื้นผิวโลกแล้ว ยานอวกาศโอไซริส-เร็กซ์ จะเดินทางครั้งใหม่ไปยัง “ดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส” (Apophis) ชนิดเอส (S-type) ซึ่งกว้างเกือบ 305 เมตร และจะเข้าใกล้โลกในปี 2572 หรืออีก 6 ปีข้างหน้า ด้วยระยะห่าง 32,187 กิโลเมตร ซึ่งน้อยกว่า 1 ใน 10 ของระยะห่างระหว่างโลกกับดวงจันทร์

ภารกิจใหม่นี้ชื่อว่า “โอไซริส-เอเปกซ์” (OSIRIS-APEX) มีกำหนดเข้าสู่วงโคจรของดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิสในเร็วๆ นี้ หลังจากดาวเคราะห์น้อยดวงดังกล่าวเคลื่อนตัวเข้าใกล้โลก เพื่อสังเกตว่าการเดินทางของยานอวกาศส่งผลกระทบต่อวงโคจร อัตราการหมุน และพื้นผิวของดาวเคราะห์น้อยอย่างไร

องค์การนาซาระบุด้วยว่าข้อมูลต่างๆ จากภารกิจโอไซริส-เร็กซ์จะช่วยคณะนักวิทยาศาสตร์ทำความเข้าใจดาวเคราะห์น้อยที่อาจส่งผลกระทบต่อโลกได้ดีขึ้น และมอบข้อมูลสำหรับการเบี่ยงเบนเส้นทางโคจรของดาวเคราะห์น้อยในอนาคต


น้ำแข็งทะเลแอนตาร์กติก ส่อแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในฤดูหนาวปีนี้

การวิเคราะห์ข้อมูลดาวเทียมเบื้องต้นของสหรัฐ แสดงให้เห็นว่า น้ำแข็งในทะเลบริเวณทวีปแอนตาร์กติกา น่าจะมีพื้นที่ผิวต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เมื่อมันมีขนาดใหญ่ที่สุด ในฤดูหนาวของปีนี้

สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 26 ก.ย. ว่า ศูนย์ข้อมูลหิมะและน้ำแข็งแห่งชาติของสหรัฐ (เอ็นเอสไอดีซี) ระบุในแถลงการณ์ว่า น้ำแข็งในทะเลแอนตาร์กติกมีขนาดใหญ่สุด เพียง 16.96 ล้านตารางกิโลเมตร ในปีนี้ เมื่อซีกโลกใต้เปลี่ยนผ่าน เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ

อย่างไรก็ตาม ก้อนน้ำแข็งจะมีขนาดใหญ่ที่สุดในช่วงฤดูหนาวที่เยือกเย็น นั่นหมายความว่า ตัวเลขดังกล่าว ซึ่งเอ็นเอสไอดีซี ทำการวัดเมื่อวันที่ 10 ก.ย. ที่ผ่านมา ถือเป็นค่าสูงสุดของปีนี้ “ในขณะนี้”

“นี่คือน้ำแข็งทะเลขนาดเล็กที่สุด เมื่อเทียบกับขนาดใหญ่สุดของก้อนน้ำแข็ง ที่มีการบันทึกไว้ระหว่างปี 2522-2566” เอ็นเอสไอดีซี กล่าวเสริมว่า ก้อนน้ำแข็งทะเลที่ใหญ่ที่สุดในปีนี้ มีขนาดประมาณรัฐเทกซัส และรัฐแคลิฟอร์เนียรวมกัน ซึ่งถือว่าเล็กกว่าตัวเลขต่ำสุดครั้งก่อนหน้าถึง 1.03 ล้านตารางกิโลเมตร

เมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงอากาศร้อนที่สุดในออสเตรเลีย ก้อนน้ำแข็งทะเลแถบแอนตาร์กติกามีพื้นที่ครอบคลุมแค่ 1.76 ล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งนับว่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ จากนั้นขนาดของมันก็เพิ่มในอัตราที่ช้าผิดปกติ แม้ว่าจะเข้าสู่ฤดูหนาวก็ตาม

ขณะเดียวกัน เอ็นเอสไอดีซี ระบุว่า น้ำแข็งทะเลอาร์กติกที่ซีกโลกเหนือ มีขาดพื้นที่ผิว 4.23 ล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นอันดับที่ 6 ในรอบ 45 ปี ของการเก็บบันทึกขนาดก้อนน้ำแข็ง

อนึ่ง นักวิทยาศาสตร์หลายคนกำลังถกเถียง เกี่ยวกับสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยมีบางคนลังเลที่จะสร้างการเชื่อมโยงกับภาวะโลกร้อนอย่างเป็นทางการ เนื่องจากแบบจำลองสภาพอากาศ เคยประสบปัญหา ในการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของก้อนน้ำแข็งในขั้วโลกใต้

แม้การละลายของก้อนน้ำแข็งไม่มีผลกระทบต่อระดับน้ำทะเลในทันที เพราะมันเกิดจากการแข็งตัวของน้ำทะเลในมหาสมุทร แต่น้ำแข็งสีขาวสะท้อนรังสีของดวงอาทิตย์ มากกว่าน้ำทะเลที่มีสีเข้มกว่า ดังนั้น การสูญเสียก้อนน้ำแข็ง จึงเป็นการเน้นย้ำถึงปัญหาภาวะโลกร้อน.

เครดิตภาพ : AFP...