ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



ครบเครื่อง ญ.อมตะ 21 พฤศจิกายน 2563

5 ประเพณีแต่งงานอิหยังวะ! ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

เริ่มเข้าสู่ช่วงปลายปีสิ่งที่ทุกคนต้องนึกถึงก็น่าจะเป็นพิธีแต่งงานของคู่รัก ที่มักจะจัดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเย็นๆสุดแสนจะโรแมนติก ซึ่งในแต่ละประเทศก็จะมีพิธีเฉลิมฉลองที่แตกต่างกันออกไป วันนี้ทางทีมงานพาทุกท่านไปส่องพิธีแต่งงานแบบแปลก อิหยังว่ะ!

ภาพหมายเลข 1. ตามธรรมเนียมของชาวสก็อตแลนด์ ญาติ พี่น้อง เพื่อนเจ้าสาว จะมาช่วยกันรุมนำสิ่งสกปรก เน่าเหม็นต่างๆ มาราดบนตัวของเจ้าบ่าว-เจ้าสาว และพวกเขานั้นก็จำเป็นที่จะต้องไปปาร์ตี้ต่อในขณะที่ตัวมีกลิ่นเน่าเหม็นแบบนั้นด้วย ซึ่งเหตุผลที่ทำแบบนี้เนื่องจากเป็นการเตรียมความพร้อมสู่ชีวิตลำบากหลังจากการแต่งงานนั่นเอง

ภาพหมายเลข 2.ถึงคนเยอรมันจะขึ้นชื่อเรื่องความสะอาดและเป็นระเบียบ แต่ใครจะไปรู้ว่างานแต่งของชาวเยอรมันนี่แหละ ปั่นป่วนและวุ่นวายสุดๆ คนเยอรมันมีพิธีเขวี้ยงจานก่อนถึงวันแต่งงาน โดยเพื่อนๆของบ่าวสาวจะร่วมใจกันเขวี้ยงปาจานให้กระจายลงพื้น และคู่บ่าว-สาวจำเป็นต้องช่วยกันทำความสะอาด เพื่อสื่อให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันและช่วยเหลือกัน

ภาพหมายเลข 3. ประเพณีลักพาตัวเจ้าสาวของประเทศโรมาเนีย โดยเจ้าสาวนั้นจะถูกลักพาตัวโดยเพื่อนๆ หรือบางครอบครัวถึงกลับจ้างคนให้มาลักพาตัวจริงๆเลยด้วย ส่วนเจ้าบ่าวก็มีหน้าที่ตามหาและจ่ายเงินค่าไถ่เพื่อให้ได้เจ้าสาวกลับคืนมาทันในคืนแต่งงาน

ภาพหมายเลข 4.ถึงแม้จะเป็นวันแห่งความสุข แต่ว่าประเพณีของชาวคองโกคือแขกและบ่าว-สาวนั้นห้ามมีรอยยิ้มในวันแต่งงาน ! เนื่องจากว่าในประเทศคองโกยังมีการแลกเปลี่ยนตัวเจ้าสาวกับ วัว หรือม้าอยู่ ซึ่งการยิ้มหรือแสดงท่าทีที่มีความสุขนั้น ถือว่าเป็นการไม่เคารพครอบครัวของฝ่ายหญิง

ภาพหมายเลข 5.1, 5.2 พิธีงานแต่งของชนเผ่าน้อยถูเจีย ประเทศจีนเจ้าสาวต้องร้องไห้วันละ 1 ชั่วโมงติดต่อกันเป็นเวลา 10 วัน ซึ่งวันต่อมาแม่เจ้าสาวจะร้องด้วย ตามด้วยยาย จนวันสุดท้ายก่อนแต่งผู้หญิงทุกคนในครอบครัวจะร้องด้วย ถือเป็นการแสดงความสุขร่วมกัน ว่ากันว่าเมื่อผู้หญิงหลายคนมาร้องไห้รวมกันด้วยโทนเสียงที่แตกต่างนั้นฟังแล้วไพเราะ เหมือนได้ฟังเพลง ขอขอบคุณที่มา thetravel.com


แพทย์เตือน นอนกรนเสียงดังเป็นประจำ เสี่ยงหยุดหายใจขณะหลับ

กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคทรวงอก เตือนนอนกรนเสียงดังเป็นประจำ ง่วงนอนมากผิดปกติ ในเวลากลางวัน อย่าละเลย อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับโดยไม่รู้ตัว

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (obstructive sleep apnea, OSA) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเนื่องจากมีการยุบตัวของทางเดินหายใจส่วนต้น ทำให้ขณะหลับร่างกายจะเกิดภาวะขาดออกซิเจนเป็นช่วงๆ การนอนหลับขาดตอน ส่งผลต่อการทำงานของสมองทำให้เกิดอาการง่วงนอนมากผิดปกติในเวลากลางวัน เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุขณะขับรถ และเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคอ้วนลงพุง เป็นต้น ภาวะนี้สามารถพบได้ในคนทุกวัยโดยผู้ใหญ่พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง วัยทองและคนอ้วน และอาจพบในเด็กที่มีต่อมทอนซิลและอดีนอยด์โต มีปัญหาโครงสร้างใบหน้า หรือเด็กที่อ้วน

นายแพทย์เอนก กนกศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สัญญาณเตือนที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น คือ การนอนกรนเสียงดังเป็นประจำ ญาติสังเกต พบหยุดหายใจ หายใจเฮือกเหมือนสำลักน้ำลาย บางครั้งตื่นมารู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ไม่สดชื่นหลังตื่นนอน ปวดศรีษะตอนเช้า ง่วงนอนมากผิดปกติในเวลากลางวัน ไม่มีสมาธิในการทำงาน ขี้ลืม หงุดหงิดง่าย วิตกจริตหรือซึมเศร้า สำหรับการรักษาภาวะดังกล่าวขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรค โดยแบ่งเป็น

1.การรักษาด้วยเครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (continuous positive airway pressure,CPAP) เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง ถือเป็นมาตรฐาน

2.การใส่ทันตอุปกรณ์ โดยทันตแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาให้เหมาะสมในแต่ละรายซึ่งจะได้ผลดีในผู้ป่วยที่มีระดับความรุนแรงของโรคเล็กน้อยถึง ปานกลาง

3.การผ่าตัด ในผู้ป่วยที่มีโครงสร้างทางเดินหายใจส่วนต้นผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

การปฏิบัติตัวพื้นฐานในผู้ป่วยที่เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น ควรปฏิบัติตนดังนี้ คุมอาหารและลดน้ำหนักในรายที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน , ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ ,หลีกเลี่ยงการนอนหงาย พยายามนอนตะแคงหรือศีรษะสูง ,ไม่ควรรับประทานยานอนหลับและดื่มแอลกอฮอล์ เพราะยาจะกดการหายใจ ทำให้ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นเป็นมากขึ้น และไม่ควรขับรถขณะง่วงนอน เพราะอาจหลับในและทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

ทั้งนี้หากพบว่ามีสัญญาณเตือนว่าคุณอาจมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น ควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ เพื่อเข้ารับการตรวจการนอนหลับวินิจฉัยและหาแนวทางการรักษาต่อไป


ฝูงนกปากห่างบินว่อน! ลงกินหอยเชอรี่นาข้าว ชาวนายิ้มร่าช่วยกำจัดศัตรูพืช

16 พฤศจิกายน 2563 ผู้สื่อข่าวรายงาน ที่บริเวณกลางทุ่งนาหมู่ 3 ตำบลหัวตะพาน อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง พบฝูงนกปากห่างจำนวนมาก ลงมาหาอาหารกินหอยเชอรี่และศัตรูพืช กลางทุ่งนา ช่วยจับแมลงศัตรูพืชจำพวกตั๊กแตน หอยเชอรี่ กุ้ง หอย ปู ปลา ในทุ่งนากันเป็นจำนวนมาก บางฝูงสามารถพบเห็นได้กว่า 100 ตัว สร้างสีสันให้กับท้องทุ่งนาได้เป็นอย่างดี

นายสมพิศ ยาโค อายุ 55 ปี เล่าให้ฟังว่า ในช่วงนี้น้ำในกลางทุ่งนาเริ่มลดลง ชาวนาในจังหวัดอ่างทอง ได้เร่งลงมือทำนาโดยการไถนาตีเทือกในแปลงนา และจะพบเห็นฝูงนกกระยาง ฝูงนกปากห่าง และนกนานาชนิดจำนวนมาก รวมตัวเป็นฝูงใหญ่ลงมาหากินหอย กินปลา และแมลงในแปลงนาข้าว โดยบินวนเวียนไปตามท้องทุ่งนาเป็นฝูงใหญ่ สำรวจไปตามท้องทุ่งนา ก่อนจะบินลงหาปลา หอย และแมลงกินในแปลงทุ่งนา เป็นการช่วยชาวนากำจัดศัตรูข้าว หอย แมลงชนิดต่างๆ ที่เป็นศัตรูตัวตามธรรมชาติของชาวนา

ทั้งนี้ นกปากห่างถือเป็นขวัญใจของชาวนา เนื่องจากเป็นผู้ช่วยกำจัดศัตรูพืชได้เป็นอย่างดี หากปีไหนที่ไม่มีนกปากห่างมาลงแปลงนา ชาวนาส่วนใหญ่ก็จะต้องอาศัยการใช้สารเคมีในการกำจัด ต้องแบกต้นทุนเพิ่มไม่พอยังส่งผลต่อสุขภาพร่างกายด้วย แต่หากปีไหนที่มีนกปากห่างเข้ามาอาศัยอยู่ และคอยกำจัดศัตรูพืชเหล่านี้เป็นประจำ จะทำให้ชาวนาแทบไม่ต้องใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย และยังทำให้ได้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพเพิ่ม พร้อมทั้งลดต้นทุนได้มากขึ้นอีกด้วย


10 ประโยชน์จากการกินไข่ต้ม กินทุกวัน ดีต่อสุขภาพทุกวัน

ไข่ต้มนอกจากจะมีราคาที่ไม่แพงแล้ว ยังเป็นอาหารที่ให้คุณประโยชน์แก่ร่างกายมากมายอีกด้วย วันนี้เราขอเอาใจคนที่ชอบทานเมนูไข่โดยเฉพาะไข่ต้ม ด้วย 10 คุณประโยชน์ที่ร่างกายได้รับจากการทานไข่ต้มมาฝากกันค่ะ ตามมาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรกันบ้าง

1.มากมายด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

ไข่ต้มสุกอุดมไปด้วยโปรตีน สังกะสี ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส กรดโฟลิก เลซิทิน ลูทีน ซีแซนทีน วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี6 วิตามินบี12 วิตามินดี และวิตามินอี ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นหากทานไข่ต้มวันละ 1 ฟอง ก็จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และเพื่อผลดียิ่งขึ้น ควรทานควบคู่กับอาหารชนิดอื่นๆ ให้ครบทั้ง 5 หมู่ด้วย

2.ช่วยสร้างกล้ามเนื้อ

ไข่ต้มสุก 1 ฟอง อุดมไปด้วยโปรตีนมากถึง 6 กรัม ซึ่งในโปรตีนจะมีกรดอะมิโนที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างและช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อให้กับร่างกาย ดังนั้นใครที่ต้องการมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงควรทานไข่ต้มบ่อยๆ นอกจากนี้ ยังช่วยลดโอกาสกล้ามเนื้อฉีกขาดจาการออกกำลังกายเป็นประจำได้อีกด้วย

3.ช่วยสร้างกระดูกให้แข็งแรง

ไข่ต้มอุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินดี ซึ่งวิตามินดีจะมีหน้าที่ช่วยดูดซึมและช่วยทำให้ร่างกายสามารถใช้ประโยชน์จากแคลเซียมและฟอสฟอรัสได้อย่างเต็มที่

4.เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

ธาตุเหล็ก วิตามินเอ และวิตามินดี เป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง อีกทั้งยังช่วยให้การผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกายเป็นไปอย่างปกติ

5.ช่วยควบคุมน้ำหนัก

ไข่ต้ม 1 ฟอง ให้พลังงานแก่ร่างกายประมาณ 70-85 กิโลแคลอรี่ ซึ่งถือว่าให้พลังงานแก่ร่างกายน้อยมาก นั่นจึงเป็นตัวเลือกสำคัญสำหรับคนที่กำลังอยู่ในช่วงลดน้ำหนัก

6.ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ

ไข่ต้มอุดมไปด้วยไขมันดีอย่างเช่นโอเมก้า3 ซึ่งไขมันชนิดนี้มีความจำเป็นต่อร่างกาย พร้อมทั้งช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง และยังช่วยลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดไม่ให้สูงเกินไป ซึ่งหากร่างกายมีไขมันชนิดนี้ในเลือดสูง จะเสี่ยงต่อการทำให้เป็นโรคหัวใจและมะเร็งเต้านมมากขึ้น

7.บำรุงสมอง

ไข่ต้ม 1 ฟอง มีโคลีนมากถึง 20% ซึ่งสารชนิดนี้มีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง ป้องกันการเป็นอัลไซเมอร์ และมีส่วนสำคัญต่อกล้ามเนื้อ เยื่อหุ้มสมอง เยื่อหุ้มเซลล์ และเซลล์ประสาท ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับสารชนิดนี้ในปริมาณมาก จะยิ่งช่วยบำรุงสมองให้แข็งแรงมากขึ้น

8.บำรุงสายตา

สารอาหารอย่างลูทีนและซีแซนทีนที่มีอยู่ในไข่ต้ม มีส่วนช่วยในการป้องกันจอประสาทตาเสื่อม และยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกได้อีกด้วย

9.บำรุงเล็บและเส้นผม

วิตามินดี ธาตุเหล็ก กำมะถัน สังกะสี และสารต้านอนุมูลอิสระที่อุดมอยู่ในไข่ต้มนั้น ล้วนมีส่วนช่วยในการบำรุงเล็บและเส้นผมให้มีความแข็งแรง ไม่ทำให้เส้นผมหลุดร่วงได้ง่าย

10.ปลอดภัยกว่าการทานไข่ดิบ

เมื่อเทียบระหว่างการทานไข่ต้มสุกกับไข่ดิบ แน่นอนว่าไข่ต้มมีความปลอดภัยต่อร่างกายสูง และยังให้คุณประโยชน์แก่ร่างกายอย่างมาก ในขณะที่การทานไข่ดิบจะย่อยได้ยาก ที่สำคัญไข่ขาวดิบยังไปขัดขวางการดูดซึมของสารไบโอติน ซึ่งเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่งที่อยู่ในลำไส้ และการทานไข่ดิบยังมีโอกาสที่ร่างกายจะได้รับเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอีกด้วย

รู้ถึงคุณประโยชน์ที่สำคัญจากการทานไข่ต้มกันไปเรียบร้อยแล้ว หวังว่าทุกคนจะหันมาทานไข่ต้มในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่สำคัญอย่างครบถ้วน รวมทั้งยังเป็นการบำรุงร่างกายได้อย่างสมบูรณ์อีกด้วย


ข่าวดีของโลก! ผลทดลองสุดท้าย “วัคซีนโควิด” ไฟเซอร์ประสิทธิภาพเพิ่มเป็น 95% คาดเริ่มส่งมอบได้ก่อนคริสต์มาส

เผยแพร่: 19 พ.ย. 2563 06:07 โดย: ผู้จัดการออนไลน์ ไฟเซอร์ อิงค์ และ ไบโอเอ็นเทค อาจได้รับอนุมัติจากเจ้าหน้าสหรัฐฯและยุโรป สำหรับใช้วัคซีนโควิด-19 ของพวกเขาในกรณีฉุกเฉินในเดือนหน้า หลังผลการทดลองขั้นสุดท้ายพบว่ามันมีอัตราประสบความสำเร็จถึง 95% และไม่ก่อผลกระทบข้างเคียง จากการเปิดเผยของบริษัทยาทั้งสองในวันพุธ (18 พ.ย.) คาดน่าจะสามารถส่งมอบได้ก่อนคริสต์มาส

ผลการทดลองพบว่าวัคซีนนั้น มีประสิทธิภาพอย่างคงเส้นคงวาในทุกกลุ่มอายุและเชื้อชาติ สัญญาณแห่งความหวังสำหรับความพยายามสกัดการแพร่ระบาดของโรคร้าย ที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนแตกต่างกันออกไป โดยมันก่อผลกระทบรุนแรงมากกว่ากับคนชราและกลุ่มชนบางกลุ่ม ในนั้นรวมถึงคนผิวสี

อูกูร์ ซาฮิน ซีอีโอของไบโอเอ็นเทค บริษัทยาสัญชาติเยอรมัน เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า สำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ อาจอนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉินในช่วงกลางเดือนธันวาคม ส่วนในสหภาพยุโรป น่าจะได้รับอนุมัติแบบมีเงื่อนไขในช่วงครึ่งเดือนหลังของเดือนธันวาคม

“ถ้ามันเป็นไปด้วยดี ผมสันนิษฐานว่า เราจะได้รับอนุมัติในครึ่งเดือนหลังของธันวาคม และเริ่มส่งมอบได้ก่อนคริสต์มาส แต่มันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อทุกอย่างเป็นไปในแง่บวก” เขากล่าว

อัตราความสำเร็จของวัคซีนที่พัฒนาโดย ไฟเซอร์ อิงค์ ผู้ผลิตยาสัญชาติสหรัฐฯกับไบโอเอ็นเทค สูงกว่าที่คณะผู้ควบคุมกฎระเบียบกำหนดไว้เป็นอย่างมาก และพวกผู้เชี่ยวชาญบอกว่ามันคือความสำเร็จครั้งสำคัญในความพยายามเร่งมือยุติโรคระบาดใหญ่

การศึกษาวิจัยไฟเซอร์ เกี่ยวข้องกับอาสาสมัครมากกว่า 43,000 คน และในการทดลองขั้นสุดท้าย เป็นการสรุปหลังพบอาสาสมัครติดเชื้อโควิด-19 ทั้งสิ้น 170 คน แต่ในนั้นมีอยู่ 162 คน ที่ได้รับยาหลอก นั่นหมายความว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพถึง 95% ทั้งนี้ ในบรรดาอาสาสมัคร 10 คน ที่มีอาการโควิด-19 อย่างรุนแรง มีแค่ 1 คน ที่ได้รับวัคซีนจริง

“มันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ มันใช้เวลาไม่ถึงปีนับจากเรียงลำดับเบสสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส จนถึงการทดลองทางคลินิกขนาดใหญ่ของวัคซีน ยิ่งไปกว่านั้นมันยังอยู่บนพื้นฐานเทคนิคใหม่ทั้งหมด” เอ็นริโก บุชชี นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยเทมเปิล ในฟิลาเดลเฟียกล่าว “วันนี้เป็นวันพิเศษอย่างยิ่ง”

ซาฮิน ของไบโอเอ็นเทค บอกว่า จะยื่นขออนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉินในสหรัฐฯในวันศุกร์ (20 พ.ย.) ขณะที่แหล่งข่าวใกล้ชิดกับสถานการณ์เปิดเผยว่า คณะกรรมการที่ปรึกษาของสำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ มีแผนพบปะกันในวันที่ 8-10 ธันวาคม เพื่อหารือกันเกี่ยวกับวัคซีนดังกล่าว แต่วันเวลายังอาจเปลี่ยนแปลงได้

ผลวิเคราะห์การทดลองขั้นสุดท้ายมีขึ้นหลังจากผลในเบื้องต้น แสดงให้เห็นว่าวัคซีนตัวดังกล่าวมีประสิทธิภาพมากกว่า 90% และ โมเดอร์นา อิงค์ เมื่อวันจันทร์ (16 พ.ย.) ว่าจากข้อมูลในเบื้องต้น วัคซีนของพวกเขามีประสิทธิผล 94.5%

“ตอนนี้เรามีวัคซีนที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง 2 ตัว ที่อาจได้รับอนุมัติจากสำนักงานอาหารและยา และพร้อมแจกจ่ายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า” อเล็กซ์ อาซาร์ รัฐมนตรีกระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์ของสหรัฐฯ

ผลการทดลองที่ออกมาดีเกินคาดหมายจากวัคซีนทั้ง 2 ตัว ซึ่งล้วนพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยี mRNA ได้เพิ่มความหวังสำหรับยุติโรคระบาดใหญ่ที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 1.3 ล้านคน รวมถึงก่อความเสียหายแก่เศรษฐกิจและวิถีชีวิตอย่างมหาศาล

วัคซีนของไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค พบว่า มีประสิทธิภาพ 94% ในกลุ่มคนอายุ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง “นี่คือหลักฐานว่าเราจำเป็นต้องหาทางรับประกันว่ากลุ่มคนที่อ่อนแอที่สุดจะได้รับการปกป้อง” แอนดรูว์ ฮิลล์ นักวิจัยระดับอาวุโสของมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูลกล่าว ระหว่างเดินทางมาเยี่ยวชมงานวิจัย

ไฟเซอร์ คาดหมายว่า จะสามารถผลิตวัคซีนได้สูงสุด 50 ล้านโดสในปีนี้ เพียงพอสำหรับปกป้องประชาชน 25 ล้านคน และจากนั้นจะยกระดับกำลังผลิตเป็น 1,300 ล้านโดส ในปี 2021

ในขณะที่กลุ่มคนบางกลุ่ม อาทิ บรรดาเจ้าหน้าที่สาธารณสุข คือ เป้าหมายที่จะได้รับวัคซีนลำดับต้นๆ ในสหรัฐฯและสหราชอาณาจักร มันอาจต้องใช้เวลานานหลายเดือนกว่าที่การแจกจ่ายขนานใหญ่จะสามารถเริ่มต้นได้ในแต่ละประเทศ

ไมค์ ไรอัน ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายโครงการฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก (WHO) บอกว่ามันจะใช้เวลาอย่างน้อย 4-6 เดือน ก่อนที่ระดับการแจกจ่ายวัคซีนในวงกว้างจะเกิดขึ้นทั่วโลก

ทั้งนี้ การแจกจ่ายวัคซีนของไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทค จะมีความยุ่งยาก เนื่องจากมันจำเป็นต้องเก็บไว้ในอุณหภูมิเย็นสุดขั้ว -70 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตาม มันสามารถแช่เย็นตามปกติเป็นเวลาสูงสุด 5 วัน หรือสูงสุด 15 วัน สำหรับการจัดเก็บในกล่องฉนวนกันความร้อน

ส่วนวัคซีนของโมเดอร์นา สามารถเก็บไว้ได้นานสูงสุด 6 เดือน ที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส แม้พวกเขาคาดหมายว่ามันน่าจะเก็บไว้ได้นาน 30 วัน ในอุณหภูมิตู้เย็นปกติ 2-8 องศาเซลเซียส

ไฟเซอร์ บอกว่า วัคซีนของพวกเขามีความทนทาน และผลข้างเคียงส่วนใหญ่แล้วจะมีอาการแค่เล็กน้อยถึงปานกลาง และหายไปอย่างรวดเร็ว โดยผลข้างเคียงรุนแรงที่สุดที่อาสาสมัครประสบ ได้แก่ อาการอ่อนล้า (3.8%) และปวดศีรษะ (2%) หลังได้รับวัคซีนโดสที่ 2

พวกผู้ผลิตยาและกลุ่มวิจัยต่างๆ หลายสิบแห่งทั่วโลก กำลังเร่งมือพัฒนาวิจัยวัคซีนโควิด-19 โดยข้อมูลการทดลองขั้นสุดท้ายลำดับต่อไปที่จะมีการเผยแพร่ออกมา น่าจะเป็นวัคซีนของ แอสตราเซเนกา กับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ในเดือนพฤศจิกายนหรือไม่ก็เดือนธันวาคม ส่วน จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน บอกว่าพวกเขาอยู่บนเส้นทางของการส่งมอบในปีนี้

อย่างไรก็ตาม วัคซีนสำหรับเด็กนั้นอาจต้องใช้เวลานานกว่า ด้วยตอนนี้มีเพียงไฟเซอร์ที่เริ่มฉีดวัคซีนให้แก่อาสาสมัครอายุต่ำกว่า 18 ปี ต่ำสุด 12 ปี ขณะที่ โมเดอร์นา และ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน แสดงความหวังว่าจะเริ่มทดสอบวัคซีนกับเยาวชนเร็วๆ นี้

(ที่มา: รอยเตอร์)