ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



หมอชี้ หนามที่ขา "แมลงสาบ" ร้ายกว่าที่คิด แถมเชื้อโรคเต็มตัว ก่อให้เกิดภูมิแพ้

6 ก.ย. 2565:จากกรณีที่มีหญิงชาวพม่าถูกแมลงสาบกัดแล้วมีอาการแพ้รุนแรงจนต้องนำตัวส่งโรงพยาบาล คุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้ได้ให้คำตอบไว้อย่างชัดเจนว่า “แมลงสาบส่วนใหญ่ไม่กัดคน” แต่เกิดจากสาเหตุอื่น

“จากข้อมูลของ CDC (Centers for Disease Control and Prevention) หรือศูนย์ควบคุมโรคติดต่อของสหรัฐอเมริกา ได้ระบุชัดเจนว่า “แมลงสาบ” ส่วนใหญ่ไม่กัดคน เพราะเราไม่ใช่อาหารของแมลงสาบ ซึ่งรอยที่พบคาดว่าน่าจะมาจาก “หนาม” บนขาแมลงสาบที่มีความแข็งและแหลมคม เมื่อสัมผัสกับผิวหนังมนุษย์ก็อาจทำให้เป็นรอยแผลและเกิดอาการแพ้ได้” ศ.ดร.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล ผอ. ศูนย์ความเป็นเลิศด้านโรคภูมิแพ้ โรคหืด และระบบหายใจ รพ.ธรรมศาสตร์ เผยกับทีมข่าวไลฟ์สไตล์ไทยรัฐออนไลน์

เพราะโดยปกติแล้วอาหารของแมลงสาบคือเศษอาหารต่างๆ ดังนั้นจึงมีโอกาสน้อยมากที่แมลงสาบจะกัดคนได้ รอยที่เกิดบนตัวคนจึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นรอยจาก “หนาม” อันแหลมคมที่อยู่บนขาแมลงสาบ ส่วนอาการที่พบอย่างผื่นแพ้ บวม แดง ปวดตามร่างกาย เวียนหัว และหน้ามืด มาจากการแพ้ที่ผิวหนังและทางเดินหายใจ โดยที่ผู้ป่วยอาจไม่รู้มาก่อนว่าตัวเองเป็นโรคภูมิแพ้ เมื่อสัมผัสกับตัวแมลงสาบโดยตรงก็ทำให้อาการกำเริบขึ้นมาได้

แม้ว่าแมลงสาบส่วนใหญ่จะไม่ได้กัดคน แต่ในตัวของแมลงสาบก็เต็มไปด้วยเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกต่างๆ อีกทั้งยังเป็นสัตว์ที่มีสารก่อภูมิแพ้มากเป็นอันดับ 2 รองจากไรฝุ่นที่เป็นอันดับ 1 อีกด้วย โดยมาจากน้ำลายและสะเก็ดบนตัวของแมลงสาบที่ทิ้งร่องรอยไว้ทุกที่ที่แมลงสาบเดินผ่าน และจะลอยฟุ้งอยู่ในอากาศเมื่อมีการสัมผัส หรือถูกกระตุ้นจากสารก่อภูมิแพ้เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ในที่สุด ซึ่งจะมีอาการต่างๆ เหล่านี้

คัดจมูกเรื้อรัง

คันจมูก คันตา

ไอไม่หยุด

หายใจไม่อิ่ม หรือหายใจเป็นเสียงหวีด

แน่นหน้าอก

เป็นผื่น

ส่วนวิธีการป้องกันแมลงสาบในบ้านเรือนนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องที่จัดการได้ค่อนข้างยากเพราะเป็นสัตว์ที่ซ่อนตัวเก่ง มักออกมาเฉพาะเวลากลางคืน และมีแทบทุกบ้าน

“วิธีจัดการแมลงสาบที่ทำได้เบื้องต้นคือ กำจัดเศษอาหารต่างๆ ให้หมด ไม่ทิ้งจานชามไว้ในอ่าง เพราะแมลงสาบจะมากินเศษอาหาร รักษาความสะอาดภายในบ้าน ควรเลือกใช้ถังขยะแบบมีฝาปิดให้สนิท ส่วนวิธีกำจัดแมลงสาบให้ได้ผลดีที่สุดคือการใช้เจลกำจัดแมลงสาบ เพราะเมื่อแมลงสาบกินจะไปตายที่รัง จากนั้นตัวอื่นในรังจะมากินซากตัวที่ตาย และตายตามกันยกรัง จึงเป็นวิธีแก้เบื้องต้นที่ได้ผลและยั่งยืนที่สุด รองลงมาคือการใช้บ้านแมลงสาบ หรือจะจ้างบริษัทกำจัดแมลงมาจัดการก็ได้” ศ.ดร.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล กล่าว

วิธีกำจัดแมลงสาบในบ้านให้ได้ผลอย่างยั่งยืน

ทำความสะอาดบ้าน หรือที่อยู่อาศัยเป็นประจำ

• รักษาความสะอาดในบริเวณต่างๆ เช่น พื้น อ่างล้างจาน เตาปรุงอาหาร โต๊ะ และตู้ต่างๆ เน้นบริเวณห้องครัว และห้องรับประทานอาหารเป็นพิเศษ เพราะมักจะเป็นแหล่งซ่อนตัวของแมลงสาบ

• เก็บอาหารในภาชนะที่มิดชิด ควรบรรจุอาหารไว้ในขวดโหล หรือในกล่องให้เรียบร้อย ไม่วางภาชนะที่มีอาหารทิ้งไว้โดยไม่มีฝาปิด หรือที่ครอบ

• ทิ้งเศษอาหารทันทีหลังกินอาหารเสร็จ และปิดฝาถังขยะเอาไว้เสมอ การกำจัดแหล่งอาหารของแมลงสาบ

• ซ่อมบำรุง หรือทำความสะอาดบริเวณที่ซ่อนตัวของแมลงสาบ เช่น ซ่อมหรือปิดรอยแตกร้าวตามผนังและพื้น ซ่อมท่อน้ำที่แตกหรือรั่ว เพื่อไม่ให้เกิดแหล่งสะสมความชื้น โดยเฉพาะบริเวณใต้อ่างล้างจาน

• เก็บกวาดสิ่งของที่กองสุมไว้ให้เป็นระเบียบ เช่น กองหนังสือพิมพ์ นิตยสาร เสื้อผ้า หรือจานชามที่ใช้แล้ว เพราะอาจเป็นแหล่งซ่อนตัวของแมลงสาบ

• ใช้กับดักแมลงสาบ เช่น เจลกำจัดแมลงสาบ ที่จะทำให้แมลงสาบตายยกรัง จึงได้ผลมากที่สุดกว่าวิธีอื่นๆ รองลงมาคือบ้านดักแมลงสาบที่มีกาวดักอยู่ภายใน หรือจะจ้างบริษัทกำจัดแมลงมาช่วยจัดการก็ได้


ผลงานวิจัยเผยการดื่มชาวันละ 2 แก้ว ลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตได้

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร Annals of Internal Medicine เปิดเผยว่า การดื่มชาดำวันละสองแก้วขึ้นไป มีโอกาสช่วยลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตได้

งานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Annals of Internal Medicine ซึ่งเผยแพร่ครั้งแรกในช่วงต้นสัปดาห์นี้ ระบุว่า ชาดำอุ่นๆ สักหนึ่งถ้วยในแก้วใบโปรด นอกจากจะช่วยเพิ่มพลังใจในการทำงานแล้ว ยังอาจส่งผลดีต่อร่างกายชนิดที่ลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตลงได้อีกด้วย

การศึกษาครั้งนี้ ได้ทำการศึกษากับตัวอย่างเพศชายและเพศหญิงรวมกันราว 5 แสนคนในสหราชอาณาจักร ระหว่างอายุ 40 ถึง 69 ปี พร้อมด้วยข้อมูลทางพันธุกรรมและสุขภาพเชิงลึกในช่วงระหว่างปี 2006 จนถึงปี 2010 จาก Biobank อีกทั้งยังมีฐานข้อมูลที่รายงานพฤติกรรมการดื่มชา โดยมีการระบุถึงความถี่ในการดื่ม และสิ่งที่ถูกเพิ่มเติม (added) ลงในชา

ดร.มากิ อิโนะอุเอะ-ชอย หนึ่งในผู้ทำการวิจัย กล่าวว่า ผู้เข้าร่วมทำการวิจัยครั้งนี้ มีทั้งส่วนที่ดื่มชาและไม่ดื่มชา ซึ่งมีข้อมูลที่ถูกบันทึกว่า บางคนที่ดื่มชาเป็นประจำก็ดื่มมากถึง 10 แก้วต่อวัน ทั้งนี้ จากการศึกษา พบว่า ผู้ที่ดื่มชาสองถ้วยขึ้นไปทุกวัน มีโอกาสที่จะลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ, หลอดเลือด, โรคหัวใจขาดเลือด และโรคหลอดเลือดสมอง

สาเหตุที่ช่วยลดความเสี่ยงต่างๆ เป็นเพราะว่า ชามีสารที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพ สามารถลดความเครียด และการอักเสบ ซึ่งเป็นการป้องกันสุขภาพจากโรคหัวใจ

ทางด้านการเพิ่มนมหรือน้ำตาลในชาแก้วโปรด อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญ แต่การเติมน้ำตาลหรือนมแต่ละครั้ง จำเป็นต้องคำนึงในเรื่องของปริมาณน้ำตาล และไขมันอิ่มตัวจากนมด้วย

ผู้วิจัยกล่าวต่อไปว่า การค้นพบครั้งนี้อาจสร้างความมั่นใจให้กับคนที่ดื่มชาเป็นประจำอยู่แล้ว แต่การค้นพบครั้งนี้ยังต้องผ่านการศึกษาอีกมาก

และยังไม่ถึงขั้นแนะนำให้บรรจุการดื่มชาทุกวันเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน

ทางด้านรองศาสตราจารย์ฮาเวิร์ด เซสโซ จากโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ด และนักระบาดวิทยาจากบริกแฮม ให้ความเห็นว่า การวิจัยเกี่ยวกับการดื่มชาเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น แต่ยังต้องทำการศึกษาอีกมาก

อีกทั้งการศึกษาที่ว่านี้ ไม่ได้พิสูจน์ว่า การบริโภคชาช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้ แต่ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งซึ่งกำลังดื่มชาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาดำ ก็สามารถดื่มต่อได้

ที่มา: CNN


แพทย์เตือน ไม่สูบบุหรี่-ดื่มเหล้า ก็เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ เพราะนิสัย 1 อย่าง

แพทย์เตือน สาเหตุของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ไม่ใช่แค่สูบบุหรี่-ดื่มเหล้า เป็นโรคอ้วน หรือชอบกินเนื้อแปรรูป แต่แค่มีนิสัย 1 อย่างก็ทำให้เป็นได้

โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่พบมากเป็นอันดับ 3 ของโลก และจากสถิติล่าสุดพบว่า ทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีผู้ป่วยด้วยโรคนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักนั้นส่วนใหญ่ไม่มีอะไรมากไปกว่า “การบริโภคเนื้อแดงหรือติดมันมากเกินไป โรคอ้วน หรือผู้ที่มีนิสัยชอบสูบบุหรี่และดื่มสุรา”

ล่าสุดแพทย์เตือนว่าผู้ป่วยบางรายไม่มีนิสัยเหล่านี้ แต่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก หลังจากตรวจอย่างละเอียดแล้วพบว่าสาเหตุคือ การดื่มน้ำหวานวันละ 1-2 แก้ว

ตามสถิติมะเร็งโดยเฉลี่ยมีคน 1 คนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ทุกๆ 30 นาที 22 วินาที มีคนดังมากมายที่ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เช่น แชดวิก โบสแมน เจ้าของบทบาทแบล็กแพนเทอร์ แห่งจักรวาลมาเวลา

เฉิน ซินเหม่ย แพทย์ชาวไต้หวันกล่าวว่า เธอเคยพบผู้ป่วยนอกมาก่อนเป็นผู้หญิงอายุ 40 ปี ที่มีร่างกายอ้วนเล็กน้อย ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่ 4 ระหว่างการรักษาผู้ป่วยเอาแต่คิดว่าส่วนไหนของเธอผิด แต่เธอไม่ได้กินเนื้อแดงหรือเนื้อแปรรูปมากนัก และไม่มีนิสัยชอบสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ต่อมาพบว่าผู้ป่วยมีนิสัยที่ไม่ดีต่อสุขภาพเล็กน้อย คือ “ชอบดื่มน้ำหวาน”

การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูงในปริมาณมากทุกวันสามารถเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดของร่างกายได้อย่างง่ายดายมากเกินไป ซึ่งจะนำไปสู่ “ภาวะดื้อต่ออินซูลิน” ทั้งยังเกิดการสะสมของไขมัน แพทย์แนะนำว่าการงดทันทีอาจไม่ง่าย แต่ควรเริ่มจากลดปริมาณลง เพื่อสุขภาพที่ดีในอนาคต

ที่มา: health


การรักษามะเร็งตับเฉพาะที่ ด้วยวิธีรังสีร่วมกับการรักษาอื่นๆ

ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ ซึ่งการรักษาโรคมะเร็งตับนั้นมีอยู่หลายวิธี ขึ้นอยู่กับระยะของโรค ตำแหน่งของก้อนเนื้อมะเร็ง และสภาพร่างกายของผู้ป่วย

การรักษามะเร็งตับ

ในกรณีป่วยเป็นโรคมะเร็งตับในระยะเริ่มต้น และผู้ป่วยยังมีสุขภาพโดยรวมที่แข็งแรง มีก้อนเนื้อมะเร็งที่สามารถผ่าตัดได้ แพทย์จะเลือกใช้วิธีการผ่าตัดรักษาตับ หรือการผ่าตัดเปลี่ยนตับได้ หากการผ่าตัดสำเร็จ เป็นไปได้ด้วยดี ผู้ป่วยก็มีโอกาสที่จะหายเป็นปกติได้

แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ เช่น มะเร็งอยู่ในระยะลุกลาม สภาพร่างกายของผู้ป่วยไม่เอื้ออำนวยต่อการผ่าตัด ผู้ป่วยสูงอายุ ขนาดหรือตำแหน่งของก้อนเนื้อมะเร็งไม่เหมาะสม ทำให้การผ่าตัดมีความเสี่ยงสูง แพทย์ก็จะเลือกใช้วิธีการรักษาแบบเฉพาะที่ ด้วยหัตถการทางรังสีร่วมรักษา ซึ่งสามารถระบุตำแหน่งของก้อนเนื้อมะเร็งได้อย่างชัดเจน แม่นยำ และสามารถนำเครื่องมือขนาดเล็กต่างๆ เข้าไปทำการรักษาได้อย่างตรงจุด โดยทางเลือกในการรักษามีดังนี้

1. การจี้ทำลายก้อนเนื้อมะเร็งเฉพาะจุด

ปัจจุบันวิธีที่นิยมใช้ มีอยู่ 2 แบบ คือ

· Radiofrequency Ablation (RFA) หรือ การจี้ทำลายก้อนเนื้อมะเร็งด้วยคลื่นวิทยุ

คือการรักษาโดยการใช้เข็มที่สามารถปล่อยคลื่นวิทยุได้ สอดผ่านผิวหนังเข้าไปที่ก้อนมะเร็งภายในตับเพื่อทำลายก้อนเนื้อมะเร็งโดยตรง เข็มดังกล่าวจะทำให้เกิดความร้อนสูง ประมาณ 90-100 องศาเซลเซียสที่ปลายเข็ม ใช้เวลารักษาประมาณ 20-40 นาที โดยความร้อนนี้จะทำให้เซลล์มะเร็งแห้งฝ่อและตายลงในที่สุด

· Microwave Ablation หรือการจี้ทำลายก้อนเนื้อมะเร็งด้วยคลื่นไมโครเวฟ

คล้ายกับวิธี RFA คือการสอดเข็มผ่านผิวหนังเข้าไปที่ตับเพื่อทำลายเซลล์ก้อนเนื้อมะเร็งโดยตรง แต่วิธีนี้จะปล่อยเป็นคลื่นไมโครเวฟในปริมาณที่เหมาะสมแทน เมื่อก้อนเนื้อมะเร็งดูดซับพลังงานของคลื่นไมโครเวฟ ความร้อนที่ได้จากคลื่นไมโครเวฟจะทำให้เซลล์ก้อนเนื้อมะเร็งตาย

การรักษาแบบ RFA และ Microwave Ablation คือการรักษามะเร็งตับสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับการผ่าตัดได้ ซึ่งทำได้ทั้งมะเร็งที่เกิดจากตับเอง หรือจากอวัยวะอื่นกระจายมาที่ตับ โดยมีการใช้เทคนิคทางรังสีร่วมรักษาในการช่วยระบุตำแหน่งของก้อนเนื้อมะเร็ง วิธีการรักษานี้ไม่ซับซ้อนและมีผลข้างเคียงน้อย ผู้ป่วยพักฟื้นที่โรงพยาบาลเพียง 1-2 วันก็กลับบ้านได้ แต่การรักษานี้จะได้ผลดีในก้อนเนื้อมะเร็งที่มีขนาดไม่เกิน 3 เซนติเมตร และมีข้อจำกัดในกรณีก้อนเนื้อมะเร็งอยู่ใกล้กับอวัยวะสำคัญ เช่น หลอดเลือดหรือถุงน้ำดี

2. การให้ยาเคมีบำบัดผ่านทางหลอดเลือดแดงพร้อมด้วยการอุดกั้นหลอดเลือด Transarterial Chemoembolization (TACE)

คือการให้สารเคมีบำบัดเฉพาะที่ โดยผ่านสายสวนจากบริเวณขาหนีบเข้าไปยังหลอดเลือดแดงที่ตับ สายสวนจะเคลื่อนตัวไปตามหลอดเลือด โดยแพทย์จะใช้เทคนิคทางรังสีร่วมรักษาเข้ามาช่วยในการระบุตำแหน่ง และนำทางไปจนถึงจุดหมายจากนั้นจึงให้ยาเคมีบำบัดตรงเข้าไปที่ก้อนเนื้อมะเร็ง และจะใช้สารอุดหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงก้อนเนื้อมะเร็ง เพื่อลดปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยง เมื่อก้อนเนื้อมะเร็งขาดเลือดไปเลี้ยงก็จะมีขนาดเล็กลง เป็นการลดความรุนแรงของโรคได้

วิธีนี้เป็นการรักษาแบบประคับประคองในผู้ป่วยที่ไม่สามารถผ่าตัดเอาก้อนเนื้อมะเร็งออกได้ หรือทำให้ก้อนเนื้อมะเร็งมีขนาดเล็กลง เพื่อสามารถผ่าตัดเอาเนื้องอกมะเร็งออกมาได้อย่างปลอดภัย

ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องทำ TACE ซ้ำอีกเป็นระยะๆ ห่างกันประมาณ 6-8 สัปดาห์ หากยังมีก้อนมะเร็งหลงเหลือหรือเกิดขึ้นใหม่ เนื่องจากยังมีหลอดเลือดรอบข้างเข้ามาเลี้ยงบริเวณที่เคยมีก้อนเนื้อมะเร็งเดิมอยู่ ในบางครั้งแพทย์สามารถใช้วิธีนี้รักษาร่วมกับวิธี RFA หรือ Microwave Ablation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้ดีขึ้น

บทความโดย : ศูนย์รังสีวิทยาหลอดเลือดและรังสีร่วมรักษา โรงพยาบาลพญาไท 1


1 ปีมีครั้งเดียว 'ปรากฎการณ์ธรรมชาติกุ้งเดินขบวน'

เพจ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้โพสต์ข้อความเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวไปดูความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ “ปรากฏการณ์กุ้งเดินขบวน” ที่1ปีมีครั้งเดียว ระหว่างวันที่ 1-30 กันยายนนี้ ณ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่า จ.อุบลราชธานี

“แก่งลำดวน” ตั้งอยู่ที่บ้านหนองขอน ตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ลักษณะของแก่งลำดวนเป็นแก่งหินที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีสายน้ำลำโดมใหญ่ไหลผ่าน แก่งหินที่กระจายไปทั่วอย่างสวยงามเหล่านี้เหมาะแก่การเที่ยวชมและพักผ่อนหย่อนใจยิ่งนัก โดยแก่งลำดวนเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมตั้งแต่เวลา 08.00 น.- 16.00 น. ของทุกวัน

นอกจากนี้บริเวณแก่งลำดวนยังมีปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ของสัตว์น้ำตัวเล็กๆ ชนิดหนึ่ง นั่นก็คือ “ปรากฏการณ์กุ้งเดินขบวน” ซึ่งปราฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นให้ได้ชมกันปีละ 1 ครั้งเท่านั้น อยู่ในช่วงเดือน กันยายนของทุกปี เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มีสัตว์น้ำตัวเล็กๆ อย่าง “กุ้ง” จำนวนมากมายมหาศาลพร้อมใจกันขึ้นมาเดินบนพลาญหินบริเวณแก่งลำดวน กุ้งตัวเล็กๆ เหล่านี้จะพากันเดินทวนกระแสน้ำของสายน้ำลำโดมใหญ่ที่ไหลเชี่ยวกรากในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายนของทุกปี

โดยกุ้งเหล่านี้จำเป็นต้องขึ้นมาเดินบนบกเพื่อหลบหลีกกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว จึงเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ และสวยงามตระการตาน่าชมยิ่งนัก ซึ่งจะพบปรากฏการณ์นี้ได้ในช่วงเวลากลางคืน จากการวิจัยพบว่ากุ้งที่มาเดินขบวนที่แก่งลำดวนนั้นเป็นชนิดของ “กุ้งก้ามขน” การเดินทวนกระแสน้ำของกุ้งเพื่อมุ่งหน้าสู่พื้นที่แหล่งต้นของสายน้ำลำโดมใหญ่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ และต้องฟันฝ่ากับอุปสรรคระหว่างทางมากมายเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์

สำหรับภารกิจนี้ยังคงเป็นความลับของธรรมชาติที่รอให้เราเข้าไปค้นหา ส่วนคืนไหนที่กุ้งเหล่านี้จะมาเดินมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางธรรมชาติ ฤดูกาล และปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาในบริเวณต้นน้ำลำโดมใหญ่ ถ้าปริมาณน้ำฝนมากกระแสน้ำแรง ก็จะพบกุ้งเดินขบวนเป็นจำนวนมาก หากปริมาณน้ำฝนน้อยกระแสน้ำไม่ค่อยแรง กุ้งก็จะขึ้นมาเดินน้อยหรือไม่ขึ้นมาเดินเลย ดังนั้นจึงเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่พบเห็นได้ยาก เป็นเรื่องที่เกิดจากธรรมชาติอย่างแท้จริง จึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่ง

ทั้งนี้เทศกาลชมปรากฏการณ์กุ้งเดินขบวนประจำปี 2565 จะเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวได้เข้าชมกุ้งเดินขบวนตั้งแต่วันที่ 1-30 กันยายน 2565 ระหว่างเวลา 18.00 – 22:00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่า อุบลราชธานี โทรศัพท์ : 097-2123951,094-2874156 หรือ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าอุบลราชธานี ตำบลโดมประดิษฐ์ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี

ขั้นตอนการเข้าชมปรากฏการณ์กุ้งเดินขบวน ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวทุกท่าน ปฏิบัติตามขั้นตอน ดังนี้ ผู้เข้าชมเตรียมไฟฉาย ใส่แมสค์ ให้พร้อม ก่อนเข้าพื้นที่ตรวจวัดอุณหภูมิ/ล้างมือด้วยแอลกอฮอลล์ จากนั้นเข้าประจำจุดเพื่อรับฟังข้อมูลเบื้องต้นและข้อควรปฏิบัติในการเข้าชมกุ้งเดินขบวน ก่อนรับบัตรคิวเข้าชมกุ้งเดินขบวน และประจำจุดรอการเข้าชมกุ้งเดินขบวน จากนั้นเข้าชมกุ้งเดินขบวน (ช่องทางเข้า) และออกจากจุดชมกุ้งเดินขบวน (ช่องทางออก) โดยขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวทุกท่าน ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด…

ที่มาข้อมูล/ภาพ

: ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าอุบลราชธานี แก่งลำดวน

: เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ยอดโดม