ช่วงนี้หลายคนกำลังผิวแห้งลอก อันเนื่องมาจากฤดูหนาวกับการอาบน้ำอุ่น น้ำร้อน ทำให้สูญเสียความมั่นใจ ซึ่งนอกจากต้องหาครีมบำรุงผิวมาใช้แล้ว ถือโอกาสรู้จักการอาบน้ำอุ่น น้ำร้อน ให้ดีต่อสุขภาพผิวอีกทางกันเถอะ
การอาบน้ำไม่ใช่แค่การชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกายเท่านั้น แต่ยังช่วยคืนความสดชื่นให้กับร่างกายและสมอง รวมทั้งน้ำยังช่วยดูแลผิวให้สุขภาพดีได้ด้วย ในฤดูหนาวที่หลายคนกำลังอาบน้ำอุ่น น้ำร้อน จึงต้องรู้ก่อนอาบ
โดยสาระน่ารู้เรื่อง “รู้หรือไม่ อาบน้ำแบบไหนดีต่อผิว? (Water Shower)” โดย ศูนย์ผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่ง โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ แนะนำไว้ ดังนี้
อาบน้ำร้อน
การอาบน้ำร้อนจะต้องมีอุณหภูมิประมาณ 37-42 องศาเซลเซียส (ไม่ควรเกิน 42 องศาเซลเซียส) อุณหภูมิระดับนี้จะทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ทำให้ร่างกายตื่นตัว แต่ไม่ควรอาบหรือแช่น้ำร้อนเกิน 15 นาที เพราะอาจทำให้ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไปจนหน้ามืด เป็นลมได้ นอกจากนี้ยังทำให้ผิวแห้ง มีผื่นขึ้น ผิวเหี่ยว หรืออาจทำให้เลือดคั่ง ประสาทอ่อนล้า กระวนกระวาย ง่วงเหงา และเมื่ออาบน้ำร้อนเสร็จควรอาบซ้ำด้วยน้ำเย็นเพื่อกระชับรูขุมขน หรือจะทาครีมบำรุงผิวเติมความชุ่มชื่นให้กับผิวก็ได้ เพื่อไม่ให้ผิวแห้งจนเกินไป
น้ำร้อนอุณหภูมิ 42 องศาเซลเซียส เทียบได้กับการแช่บ่อน้ำพุร้อนคล้ายออนเซนของญี่ปุ่น หรืออ่างน้ำร้อนแช่ตัวในสปาหรือสถานบำบัดต่างๆ น้ำร้อนอุณหภูมิ 42 องศาเซลเซียสจะมีละอองไอน้ำบางมากๆ ลอยขึ้นมา ไอน้ำจะไม่หนาและเห็นเป็นสีขาวชัดเจนเหมือนน้ำเดือด
อาบน้ำอุ่น
อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการอาบน้ำอุ่นอยู่ที่ 27-37 องศาเซลเซียส จะช่วยให้ผิวขับของเสียที่คั่งค้างออกมาได้มากขึ้น ทำให้รู้สึกสบายตัว ช่วยลดอาการมือเท้าเย็น บวม เส้นเลือดขอด ช่วยกระตุ้นการไหลของเลือด และช่วยลดความเครียดได้ การแช่น้ำอุ่นเหมาะสำหรับคนที่นอนไม่ค่อยหลับ เพราะน้ำอุ่นจะไปเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายทำให้รู้สึกสบายตัว หลับได้ง่ายและนานขึ้น
น้ำอุ่นอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียสจะเป็นความร้อนระดับเดียวกับอุณหภูมิในร่างกาย โดยให้สังเกตว่าเมื่ออาบแล้วจะสบายตัว แม้จะอาบน้ำแช่นานๆ ก็จะไม่รู้สึกแสบผิว แต่จะรู้สึกสบายตัว
เพิ่มความชุ่มชื้นหลังอาบน้ำ
ขณะที่สาระน่ารู้เรื่อง “อาบน้ำอุ่นอย่างไร ไม่ให้ผิวเสียความชุ่มชื้น” ได้แนะนำเคล็ดลับการเพิ่มความชุ่มชื้นหลังอาบน้ำ ไว้ดังนี้
-หลังอาบน้ำ เช็ดผิวให้แห้งหมาดๆ แล้วทาครีมบำรุงผิวที่ผสมออยล์ หรือน้ำมันมะพร้าวทันทีโดยไม่ต้องรอให้ตัวแห้งสนิท วิธีนี้จะช่วยล็อกความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อย่างดีเยี่ยม
-เลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิค ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ
-หากรู้สึกว่าผิวแห้งลอก ระคายเคืองและมีผื่นแดงขึ้นตามผิวหนังหลังอาบน้ำ นั่นอาจไม่ใช่ผิวแห้งจากการอาบน้ำอุ่น แต่เป็นอาการแพ้สบู่ หรือยาสระผมที่ใช้ แนะนำให้ลองเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยน หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที
5 วิธีอาบน้ำผิดๆ ที่อาจทำร้ายผิว
หลายคนอาจไม่ทราบว่าพฤติกรรมการอาบน้ำในปัจจุบัน อาจทำลายสุขภาพผิวได้ อย่างสาระน่ารู้เรื่อง “5 วิธีอาบน้ำผิดๆ ที่อาจทำร้ายผิว” แนะนำโดยเว็บไซต์ thehealthy.com ดังนี้
1.อาบน้ำอุ่นนานเกินไป
ส่งผลให้ผิวแห้ง และเกิดอาการคันได้ ควรใช้เวลาอาบน้ำเพียง 5-7 นาที และอุณหภูมิของน้ำไม่ควรสูงกว่า 37 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นความร้อนในระดับเดียวกับอุณหภูมิของร่างกาย
2.ใช้สบู่ก้อนแทนครีมอาบน้ำ
สบู่ก้อนจะมีฤทธิ์เป็นด่างซึ่งต่างจากสบู่เหลวหรือครีมอาบน้ำที่มีความเป็นกรดด่างเท่ากับผิวหนัง ทำให้ผิวแห้งกร้านได้ แนะนำให้ใช้สบู่เหลวที่มีมอยซ์เจอไรเซอร์
3.สระผมบ่อยเกินไป
ในช่วงหน้าหนาว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องสระผมทุกวันแต่อย่างใด โดยอาจจะเว้นช่วงสระทุกๆ 3 วัน ด้วยแชมพูและครีมนวดผม หากใครมีปัญหาเรื่องความมันของหนังศีรษะก็อาจใช้แชมพูแห้ง (Dry Shampoo) แทนได้
4.ละเลยการใช้ครีมนวดผม
เลือกแชมพู และครีมนวดผมที่เหมาะกับสภาพอากาศในหน้าหนาว ซึ่งการละเลยการใช้ครีมนวดผมจะส่งผลให้สภาพปลายผมเกิดอาการแห้งเสียได้ เพราะเป็นส่วนที่ได้รับน้ำมันธรรมชาติน้อยกว่าผมส่วนอื่นๆ
5.ไม่ให้ความสำคัญกับการเช็ดตัว
หลังจากอาบน้ำเสร็จใช้ผ้าขนหนูซับผิวเบาๆ ให้แห้ง และรีบทาโลชั่นหลังจากเช็ดตัวเสร็จทันที เพื่อเป็นการกักเก็บความชุ่มชื้นไว้กับผิวให้มากที่สุด
คงเคยได้ยินกันว่า หากอยากมีสุขภาพดี ร่างกายของเราต้องไม่เนือยนิ่งในแต่ละวัน คือ ลุกขยับตัวบ้าง เดินให้มากขึ้นบ้าง จากที่เคยเอาแต่นั่งวินมอเตอร์ไซค์
ดังอย่างประโยคที่ว่า “ต้องเดินวันละหมื่นก้าว ถึงมีสุขภาพดี” จริงหรือไม่ รศ.นพ.รุ่งนิรันดร์ ประดิษฐสุวรรณ สาขาวิชาอายุรศาสตร์ปัจฉิมวัย ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ไขข้อข้องใจผ่านสาระน่ารู้ “เดินวันละหมื่นก้าวดีจริงหรือ?”
หลายท่านคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “จงเดินให้ได้วันละหมื่นก้าว แล้วสุขภาพจะดี” และบางท่านอาจจะรู้สึกท้อใจที่พยายามเดินเท่าไร ก็ยังไม่ถึงเป้าเสียที
เดิน จริงๆ แล้ว ที่มาของคำกล่าวนี้มาจากคำโฆษณาของบริษัทญี่ปุ่นที่ผลิตเครื่องนับก้าว (pedometer) ตั้งแต่ปี ค.ศ.1965 และยังคงติดหูผู้คนทั่วไปอยู่จนถึงปัจจุบัน
จะว่าไป เป้าหมายการเดินวันละหมื่นก้าวเพื่อสุขภาพที่ดีก็มีเหตุผลรองรับอยู่เหมือนกัน เพราะคนวัยทำงานมักจะเดินได้วันละราวๆ 5,000-7,000 ก้าว ถ้าเพิ่มการเดินออกกำลังกายอีกวันละ 30 นาที (น่าจะได้อีก 3,000-4,000 ก้าว) รวมแล้วก็น่าจะใกล้เคียง 10,000 ก้าวต่อวัน
อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยเร็วๆ นี้ที่พิสูจน์ว่าการเดินที่ต่ำกว่าเป้าหมายวันละหมื่นก้าว (เดินให้ได้วันละ 7,000-10,000 ก้าว) ก็ยังส่งผลดีต่ออัตราการเสียชีวิตของผู้ร่วมวิจัยไม่น้อยกว่าการเดินวันละหมื่นก้าวเช่นกัน
ดังนั้น การเดินให้ได้อย่างน้อยวันละ 7,000-8,000 ก้าว น่าจะมีประโยชน์ต่อต่อสุขภาพอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่พิสูจน์ว่าการเพิ่มจำนวนก้าวเดินให้มากขึ้นส่งผลดีต่อสุขภาพมากกว่าการเดินให้ถึงเป้าหมาย (เป็นจำนวนก้าวต่อวัน) ด้วยซ้ำไป
ตัวอย่างเช่น งานวิจัยทำในคนไข้โรคเบาหวานที่ให้คนไข้เดินเพิ่มขึ้นจากการเดินเฉลี่ยวันละ 5,000 ก้าวเป็น 6,200 ก้าว ทำให้คนไข้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น อีกงานวิจัยหนึ่งทำในคนไข้หญิงสูงอายุที่มีไขมันในเลือดสูงที่ให้คนไข้เดินเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 6,800 เป็น 8,500 ก้าวต่อวัน พบว่าช่วยให้ระดับไขมันในเลือดลดลง
เดิน นอกจากนั้น ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่เปรียบเทียบคน 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเดินน้อยกว่าวันละ 4,000 ก้าวกับกลุ่มที่สองเดินมากกว่าวันละ 8,000 ก้าว พบว่ากลุ่มที่เดินมากมีอัตราการเสียชีวิตน้อยกว่ากลุ่มที่เดินน้อย
ดังนั้น สรุปว่าถ้าท่านสามารถเดินได้ถึงหรือเกินวันละหมื่นก้าวอยู่แล้ว ก็ขอให้เดินต่อไป แต่ถ้าท่านเดินได้น้อยกว่านั้น ก็ไม่ต้องท้อนะครับ ขอให้ลองตั้งเป้าหมายและเดินให้ได้สักวันละ 8,000 ก้าว เชื่อว่าสุขภาพของท่านจะดีขึ้นแน่ๆ
แต่ถ้าใครที่เดินได้น้อยจริงๆ ลองเริ่มตั้งเป้าหมายที่จะพยายามเดินเพิ่มขึ้นสักวันละ 1,000-2,000 ก้าว แล้วปฏิบัติให้จริงจังนะครับ ถ้าทำได้แล้วก็ค่อยๆ ขยับเป้าหมายขึ้นไปช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป เชื่อว่าการเดินให้มากขึ้นส่งผลดีต่อสุขภาพของท่านอย่างแน่นอนครับ
– ซินหัว รายงานว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ประสบความสำเร็จในการส่ง “ยานสำรวจดวงจันทร์ราชิด” (Rashid) เพื่อทำภารกิจแรกบนพื้นผิวดวงจันทร์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา
ศูนย์อวกาศโมฮัมเหม็ด บิน ราชิด ในนครดูไบ ระบุว่ายานสำรวจราชิดจะมอบข้อมูล รูปภาพ และรายละเอียดเชิงลึกใหม่ที่มีคุณค่าสูง ตลอดจนรวบรวมข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับต้นกำเนิดของระบบสุริยะ โลก และสิ่งมีชีวิต
ยานสำรวจดวงจันทร์ราชิดผลิตในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมี ยานฮาคุโตะ-อาร์ (HAKUTO-R) ยานลงจอดบนดวงจันทร์ของญี่ปุ่นพาขึ้นสู่ดวงจันทร์ และทั้งหมดถูกขนส่งด้วย จรวดฟอลคอน 9 (Falcon 9) ของสเปซเอ็กซ์จากสถานีกองทัพอากาศแหลมคะแนเวอรัล รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา
ชีค โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัลมัคตูม รองประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เผยว่ายานสำรวจฯดวงจันทร์ราชิดเป็นส่วนหนึ่งในโครงการอวกาศของยูเออีซึ่งเริ่มต้นจากดาวอังคาร ดวงจันทร์ และดาวศุกร์
นอกจากนี้ศูนย์อวกาศโมฮัมเหม็ด บิน ราชิด ยังลงนามในข้อตกลงร่วมกับองค์การบริหารอวกาศแห่งชาติจีนเพื่อร่วมสำรวจอวกาศเมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา มีความร่วมมือสำคัญคือการนำพายานสำรวจลำถัดไปของยูเออีสู่พื้นผิวดวงจันทร์ด้วย “ยานอวกาศฉางเอ๋อ-7” (Chang’e-7) ในปี 2569
เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ในการประกวด Miss International 2022 ณ โตเกียวโดมฮอลล์ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยที่มีสาวงามของไทย “เทวี-ฤาชนก มีแสง” มิสอินเตอร์เนชันแนลไทยแลนด์ 2022 เป็นตัวแทนเข้าร่วมประชุนโฉมกับสาวงามทั่วโลกด้วย
สำหรับสาวงามที่คว้าแหน่ง มิสอินเตอร์เนชันแนล 2022 คนที่ 60 ของโลก ไปครองได้แก่ “จัสมิน เซลล์เบิร์ก” อายุ 22 ปี สาวงามจากประเทศเยอรมนี ที่สวยประหนึ่งเจ้าหญิง
สำหรับรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ประเทศกาบูเวร์ดี รองอันดับ 2 ได้แก่ ประเทศเปรู รองอันดับ 3 ได้แก่ โคลอมเบียรองอันดับ 4 ได้แก่ สาธารณรัฐโดมินิกัน
สำหรับสาวงามจากประเทศไทย เทวี ฤาชนก มีแสง มิสอินเตอร์เนชั่นแนล ไทยแลนด์ 2022 แม้จะไม่ผ่านเข้ารอบ แต่ก็ได้ใจคนไทยไปเต็มๆ เพราะเธอทำเต็มดีที่สุดแล้ว
ฮุสตัน/ไมอามี (เอพี/รอยเตอร์ส/บีบีซี นิวส์/เอ็นเอชเค) - ยานโอไรออน (Orion capsule) ของสำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ นาซา เดินทางกลับถึงพื้นโลกแล้วเมื่อวานนี้ โดยตกลงในมหาสมุทรแปซิฟิก เสร็จสิ้นภารกิจภายใต้ชื่อ “อาร์ทิมิส 1” (Artemis I) โดยโคจรรอบดวงจันทร์เป็นเวลามากกว่า 25 วัน เพื่อเตรียมการสำหรับการส่งมนุษย์กลับไปยังดวงจันทร์อีกครั้งในอีกไมกี่ปีข้างหน้านี้
ยานแคปซูลโอไรออนของสำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือนาซา พุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกและกลับถึงโลกบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกแล้วเมื่อกลางดึกคืนวันอาทิตย์ พื้นที่ร่อนลงของแคปซูลโอไรออนตก อยู่นอกชายฝั่งของคาบสมุทรบาฆา กาลิฟอร์เนีย ของเม็กซิโก โดยมีการกางร่มเพื่อชะลอความเร็วของแคปซูลที่กลับคืนจากอวกาศ
แคปซูลโอไรออน เป็นส่วนหนึ่งของยานโอไรออน นาซาส่งขึ้นทำภารกิจบนอวกาศนาน 25 วันก่อนหน้านี้โดยไม่มีลูกเรือ ในระหว่างที่โคจรรอบดวงจันทร์ โอไรออน เดินทางเป็นระยะทางมากกว่า 1.5 ล้านกิโลเมตร และไปสำรวจในจุดที่ยังไม่เคยมียานอวกาศลำไหนเคยสำรวจมาก่อน โอไรออน ต้องเผชิญกับความร้อน 2,800 องศาเซลเซียส หรือ ราวครึ่งหนึ่งของอุณหภูมิบนพื้นผิวดวงอาทิตย์ ขณะผ่านชั้นบรรยากาศของโลก ซึ่งเป็นภารกิจหนึ่งในการทดสอบโล่กันความร้อนของโอไรออน ที่วันข้างหน้าจะนำมาใช้เมื่อมีมนุษย์เดินทางไปด้วย
ข้อมูลจากโอไรออน จะช่วยให้นาซาเตรียมการสำหรับภารกิจส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ในอนาคตอันใกล้ สำหรับภารกิจอาร์ทิมิส 2 นั้นอยู่ในขั้นตอนการวางแผน โดยกำหนดไว้ในปี 2024 ซึ่งจะเป็นการส่งลูกเรือขึ้นไปโคจรรอบดวงจันทร์
โดยที่จะยังไม่ลงไปจอดบนดวงจันทร์ ส่วนอาร์ทิมิส 3 กำหนดไว้ในปี 2025 จะเป็นการนำยานไปลงจอดที่ขั้วด้านใต้ของดวงจันทร์เป็นครั้งแรก และหนึ่งในคณะนักบินอากาศจะมีนักบินอวกาศหญิงร่วมเดินทางไปด้วย
ขณะเดียวกัน ยานอวกาศไร้คนขับที่พัฒนาโดย ไอสเปซ (ispace) บริษัทสตาร์ทอัพที่ตั้งอยู่ในกรุงโตเกียว ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศโดยจรวดของบริษัทสเปซเอกซ์ ที่บรรทุกยานอวกาศลำดังกล่าว ทะยานขึ้นสู่อวกาศจากรัฐฟลอริดา เมื่อช่วงเช้าวันอาทิตย์ตามเวลามาตรฐานสากล ยานอวกาศแยกตัวออกจากจรวดหลังทะยานขึ้นฟ้าไปประมาณ 47 นาที และกำลังมุ่งหน้าไปยังดวงจันทร์ซึ่งอยู่ห่างจากโลกไปราว 380,000 กิโลเมตร คาดว่า ยานจะลงจอดบนพื้นผิวดวงจันทร์ในช่วงปลายเดือนเมษายนปีหน้า หากประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นครั้งแรกที่ยานของบริษัทเอกชนลงจอดบนดวงจันทร์
ทั้งนี้ งานวิจัยที่เผยแพร่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาพบว่าอาจมีน้ำอยู่บนดวงจันทร์ ทำให้ดวงจันทร์กลายเป็นฐานที่มั่นสำคัญของมนุษย์ที่ต้องการขึ้นไปปฏิบัติภารกิจบนอวกาศ ขณะที่หลายประเทศกำลังเดินหน้าแข่งขันในด้านอวกาศดังจะเห็นได้จากโครงการพัฒนาจำนวนมาก เช่น โครงการอาร์ทิมิสเพื่อสำรวจดวงจันทร์รอบใหม่ของสหรัฐฯ
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ยาน “โอไรออน” ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ หรือนาซา ได้กลับถึงโลกแล้ว โดยตกลงในมหาสมุทรแปซิฟิก นอกชายฝั่งรัฐบาฮากาลิฟอร์เนีย ประเทศเม็กซิโก เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ภายหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจสำรวจดวงจันทร์ ด้วยการโคจรรอบดวงจันทร์เป็นเวลานานกว่า 25 วัน ในโครงการที่ชื่อว่า “อาร์ทิมิสวัน (Artemis 1)”
โดยยาน “โอไรออน” ได้ค่อยๆ โรยตัวลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก จากการที่ใช้ร่มชูชีพสีส้มขนาดใหญ่ 3 อัน ช่วยพยุงตัว ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจการเดินทางและโคจรรอบดวงจันทร์คิดเป็นระยะทางมากกว่า 1.5 ล้านกิโลเมตร รวมถึงการเข้าไปสำรวจพื้นที่ของดวงจันทร์ในบริเวณพื้นที่ที่ยังไม่เคยมียานอวกาศลำไหนสำรวจมาก่อน ซึ่งในระหว่างนี้ “โอไรออน” ต้องผจญกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดถึง 2,800 องศาเซลเซียส หรือคิดเป็นครึ่งหนึ่งของอุณหภูมิบนพื้นผิวของดวงอาทิตย์
รายงานข่าวแจ้งว่า ภารกิจตามโครงการข้างต้น เป็นการเตรียมการสำหรับการส่งมนุษย์กลับไปยังดวงจันทร์อีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า