ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



'อาหารชะลอวัย' ใครไม่อยากแก่ เช็กเลย กินอะไรช่วยบำรุงส่วนไหนได้บ้าง

ไม่ว่าใครก็ไม่อยากปล่อยให้ตัวเองดูแก่กว่าวัย แล้วเรื่องไม่ยอมแก่นี่ล่ะค่ะ คงจะต้องยกให้สาวๆ กันเลย ก็ไม่ว่าสาวคนไหนก็อยากที่อยากจะดูสาว ดูสวยอยู่ตลอดเวลา ไม่ยอมแพ้ให้กับตัวเลขของวัยที่เพิ่มขึ้นมาในทุกขณะ แม้ว่าหลายๆ ครั้ง อายุอาจจะขึ้นเลขหลายหลักกันไปแล้วก็ตาม แต่จะทำอย่างไรดี เมื่อสภาพร่างกายเปลี่ยนไปตามวันเวลา และริ้วรอยต่างๆ เริ่มถามหา ไลฟ์เซ็นเตอร์บล็อก จึงมีความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการเลือกรับประทาน อาหาร ที่จะช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายทำให้เราอยู่แบบแข็งแรงๆ และนานๆ มาฝากกันค่ะ

อาหารชะลอวัย ที่สามารถหารับประทานได้ใกล้ๆ ตัว อาทิ

หยุดผิวเหี่ยวย่น เมื่ออายุเพิ่มขึ้น น้ำหล่อเลี้ยงผิวก็ลดลง ทำให้ผิวไม่เต่งตึงเหมือนดังก่อน “เต้าหู้” ช่วยได้ เพราะเต้าหู้มีฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง มีส่วนช่วยทำให้ผิวเนียนนุ่ม ผิวพรรณผ่องใส ช่วยหยุดยั้งผิวที่ซีดเซียว เหี่ยวแห้งให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

หยุดผมขาวไม่น่ามอง ผมที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีไปทีละเส้น อาจเป็นปัญหาที่คอยบั่นทอนความมั่นใจของคุณสาวๆ การย้อมผมอาจเป็นตัวช่วยหนึ่ง แต่อีกทางเลือกหนึ่งที่ดีไม่แพ้กันคือ การรับประทาน “วอลนัท” เพราะวอลนัทอุดมไปด้วย ทองแดง และทองแดงนี้จะช่วยคงสภาพสีผมของคุณไม่ให้เปลี่ยนสีก่อนวัยอันควร

หยุดสายตาฝ้าฟาง ปัญหาเรื่องสายตาเป็นปัญหาอันดับต้นๆ สำหรับผู้ที่มีอายุเพิ่มขึ้น ซึ่งการดูแลรักษาดวงตานั้นเราควรเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ ลองเลือกผลไม้ที่มีประโยชน์ตามนี้ค่ะ ผลไม้ที่จะช่วยบำรุงสายตาได้แก่ผลไม้ในตระกูลเบอรี่ โดยเฉพาะ “บลูเบอรี่” เพราะผลสีม่วงๆ ของบลูเบอรี่จะมีแอนโทไซยานิน (anthocyanin) อยู่ และสารนี้เองที่ช่วยในเรื่องของการมองเห็น หรือจะเลือกรับประทานคู่กันกับ “แอปริคอท” ก็ได้ เพราะในแอปริคอทนั้นอุดมไปด้วยสารเบตาแคโรทีน ที่ช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา

หยุดอาการหลงๆ ลืมๆ เดี๋ยวลืมโน่น ลืมนี้ ขนาดแว่นที่กำลังใส่อยู่ยังลืมได้… ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเซลล์สมองเสื่อมถอยไปตามกาลเวลา แต่เราสามารถยืดอายุสมองให้ยาวนานได้ด้วยการรับประทาน “มะเขือม่วง” เพราะในเปลือกของมะเขือม่วงอุดมไปด้วยนาซูนิน (nasunin) สารที่มีคุณสมบัติในการช่วยปกป้องเซลล์สมองของเราจากการถูกทำลาย เพื่อคงความปราดเปรื่องของสมองเราไว้ค่ะ

อาหารชะลอวัย ง่ายๆ ใกล้ๆ ตัว หารับประทานได้ทั่วไปแบบนี้ล่ะค่ะ ที่ช่วยคงความอ่อนเยาว์ของทั้งผิว ผม สายตา รวมทั้งสมองของเราให้อ่อนเยาว์และมีอายุยืนยาว อย่าลืมนำไปใช้กันด้วยนะคะ


'บุหรี่ไฟฟ้า' หนึ่งในตัว 'ทำลายปอด' แบบพกพา

ลองสำรวจรอบตัวคุณว่าใน 1 วัน คุณพบเจอคนสูบ บุหรี่ไฟฟ้า กี่คน และคนเหล่านั้นสูบกันที่ไหนบ้าง เพราะลองมองดีๆ บุหรี่ไฟฟ้าสามารถสูบได้ทุกที่ที่สะดวก ไม่จำเป็นต้องสูบในพื้นที่ สูบบุหรี่ เท่านั้น ไม่ส่งกลิ่นเหม็น เป็นน้ำยากลิ่นหอม รูปทรงสวยงาม ทำรูปลักษณ์ สีทันสมัย น่าซื้อ และหาซื้อได้ง่ายทางอินเทอร์เน็ต ที่สำคัญพกพาง่าย แต่คุณรู้หรือไม่ว่า บุหรี่ไฟฟ้า นี่แหละ คือ หนึ่งในเครื่องทำลายปอดแบบพกพาที่คุณสามารถ ทำลายปอด ได้ตามชอบใจ ได้ทุกที่ทุกเวลา

ควันของ บุหรี่ไฟฟ้า มีลักษณะ ฟุ้ง ลอยไกล และมีขนาดใหญ่ เห็นกลิ่นหอมๆ แบบนี้อันตรายไม่เบา จะเห็นได้จากศิลปินหลายคนที่ขอความร่วมมือไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้าในขณะศิลปินกำลังทำการแสดง เพราะทำให้ระบบทางเดินหายใจมีปัญหา หลายๆ พื้นที่ เริ่มมีตราระบุไม่เพียงแค่ห้าม สูบบุหรี่ แต่เพิ่มสัญลักษณ์ บุหรี่ไฟฟ้า เข้าไปด้วย เพราะควันบุหรี่ไฟฟ้าร้ายไม่แพ้บุหรี่มวนแบบธรรมดาเลยก็ว่าได้

นพ.ชนทัต ไตรทอง อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินหายใจและเวชบำบัดวิกฤตทางเดินหายใจ รพ.พญาไท 2 กล่าวว่า ปัจจุบันคนหันมาสูบบุหรี่ ไฟฟ้ามากขึ้น เนื่องจากพกติดตัวได้ง่าย สะดวกต่อการสูบ แต่นั่นก็เหมือนว่าคุณพกพาเครื่อง ทำลายปอด ทั้งตัวผู้สูบและคนใกล้ชิดไปทุกที่ เพราะ บุหรี่ไฟฟ้า มีนิโคตินที่สูงกว่าบุหรี่มวน และยังมีสารเคมีที่อันตรายหลายชนิด โดยเฉพาะสารระเหยที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ต่อผู้สูบและคนใกล้ชิด หากสูดดมควันเข้าไปอย่างต่อเนื่องจะส่งผลเสียเกิดโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอย่างรุนแรงได้

ไขข้อข้องใจที่หลายคนบอกว่า บุหรี่ไฟฟ้า ปลอดภัยกว่าบุหรี่มวน

สรุป คือ ไม่จริง เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลหรืองานวิจัยที่กล่าวแน่ชัดว่ามีความปลอดภัยกว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมาระบุ ห้ามโฆษณาถึงสรรพคุณว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่มวน จึงไม่ควรสูบทั้งบุหรี่ไฟฟ้า และบุหรี่มวน เพราะส่งผลเสียต่อระบบร่างกายทั้ง 2 ประเภท

ผู้ที่สูบ บุหรี่ไฟฟ้า โดยตรงมีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง

ในระยะสั้นเสี่ยงต่อการที่เยื่อบุโพรงจมูก เยื่อบุทางเดินหายใจอักเสบเรื้อรัง โดยมีอาการ ดังนี้

แสบจมูก แสบคอ มีน้ำมูก คัดจมูก ไอ หรือไอเป็นเลือด

หอบเหนื่อยเฉียบพลัน หรือมีไข้ร่วมด้วยในกรณีที่ปอดอักเสบรุนแรง

เกิดออกซิเจนต่ำต้องใส่ท่อช่วยหายใจ

ปอดได้รับความเสียหายถูกทำลายจากสารระเหยในบุหรี่ไฟฟ้า


เคล็ดลับ วิธีไหว้บูชา ‘พระพิฆเนศ’ เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ไหว้อย่างไรให้ร๊วย

29 พ.ค.2567 "โหรรัตนโกสินทร์" โพสต์แนะเคล็ดลับเศรษฐี วิธีไหว้ "พระพิฆเนศ" เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ผู้มีปัญญาปราดเปรื่อง ไหว้อย่างงไรให้ปัง

เคล็ดลับเศรษฐี โดยโหรรัตนโกสินทร์ “ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งไหว้ยิ่งรวย” เส้นทางเศรษฐีมีหลายสาย ถ้าไม่ได้รวยตั้งแต่เกิดต้องฉลาดหาความสำเร็จ คนสมัยก่อนสู้ด้วยลำแข้งอาบเหงื่อต่างน้ำ แต่คนสมัยนี้เขาวิ่งหา “เคล็ดลับ” เล่ห์กล มนต์คาถา มาครบ

หนึ่งในเทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ผู้มีปัญญาปราดเปรื่องที่สุด คือ "องค์พระพิฆเนศ" ใครบูชาท่านไว้ แล้วอยากได้ตำแหน่งลูกรัก ขอแล้วได้ ไหว้แล้วรวย โชคช่วยเสมอ เจอแต่คนรักเมตตา ให้บูชาตามนี้

อ้อยมงคล มีโชคด้านการเงิน

นมเปรี้ยว ส่งเสริมเรื่องการงาน

หญ้าแพรก ช่วยเรื่องสุขภาพ

มะม่วงสุก ความรักหวานชื่น


ไขข้อสงสัยทำไม "ไข่ไก่" ถึงปรับราคาขึ้น ถ้าเลี้ยงไก่ไว้เองจะคุ้มกว่าไหมนะ

‘ไข่ไก่’ ซึ่งเป็นอาหารที่ทุกบ้านต้องมีติดไว้ เพราะเป็นอาหารที่ทำง่ายและรับประทานกันได้ทุกเพศทุกวัย เป็นวัตถุดิบที่ขึ้นชื่อว่ามีราคาที่ถูกและสามารถหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด อีกทั้งยังมีคุณค่าทางสารอาหารอีกมากมาย

ไข่ไก่ปรับราคาเป็นฟองละ 4 บาท

หลังจากที่วันที่ 28 พ.ค.2567 เครือข่ายสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ ทั้งผู้เลี้ยงไก่ไข่แปดริ้ว, สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ชลบุรี, สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่เชียงใหม่-ลำพูน และสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ลุ่มแม่น้ำน้อย ออกประกาศปรับราคาไข่ไก่คละ ณ หน้าฟาร์มเกษตรกรขึ้นอีกฟองละ 20 สตางค์ หรือแผงละ 6 บาท ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค.นี้เป็นต้นไป ส่งให้ราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มปรับจากฟองละ 3.80 บาท เป็น 4 บาท การปรับราคาขึ้นครั้งนี้ ห่างจากการปรับราคาขึ้นครั้งก่อนหน้า 1 เดือน โดยเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2567 ไข่ไก่ปรับจากฟองละ 3.60 บาท เป็น 3.80 บาท

เพราะอะไร ทำไม ไข่ไก่ถึงปรับราคา

ทางด้าน นายชาณุวัฒณ์ สิวะโมกข์ รองเลขานุการสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ ได้ให้ข้อมูลว่า....ระยะนี้ปริมาณไข่ไก่ในตลาดลดลงเนื่องจากไก่ออกไข่น้อย ปีนี้พลิกผันจากอากาศร้อนจัดเป็นฝนตกชุก ทำให้ไก่เครียดและป่วย เกษตรกรรายย่อยบางรายที่ทำโรงเรือนแบบระบบเปิด ไก่ปรับตัวไม่ทันในช่วงเปลี่ยนฤดูทำให้เป็นหวัด ปริมาณไข่ไก่ในฟาร์มลดลงถึง 50% ก็มี ส่วนฟาร์มที่เป็นโรงเรือนปิดแบบอีแวปจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า โดยภาพรวม ปริมาณไข่ไก่ในตลาดลดลงประมาณ 3 – 5% นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยความต้องการบริโภคไข่ไก่สูงขึ้นเนื่องจากเป็นช่วงเปิดภาคเรียน ขณะที่ผู้เลี้ยงประสบภาวะต้นทุนอาหารสัตว์ โดยเฉพาะข้าวโพดซึ่งเป็นอาหารสำคัญของไก่ราคาสูงขึ้น

สำหรับการปรับขึ้นราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มเป็นฟองละ 4 บาทนี้ จะทำให้ราคาเท่ากับช่วงไตรมาสที่ 3 – 4 ของปี 2566 ต่อมาในช่วงต้นปี 2567 ราคาไข่ไก่ลดลงเหลือฟองละ 3.50 บาท แม้ผู้เลี้ยงต้องการให้ราคาปรับขึ้นเนื่องจากปัญหาต้นทุนการผลิต แต่ในไตรมาสที่ 1 ราคาไข่ไก่หน้าฟาร์มอยู่ในเกณฑ์ไม่ดี จนมีการปรับขึ้นเป็นฟองละ 3.60 บาท ในวันที่ 17 เมษายน หลังจากที่สภาพอากาศร้อนจัด ส่งผลทั้งต่อปริมาณและขนาดของไข่ไก่ แล้วปรับขึ้นอีกครั้งวันที่ 29 เมษายน เป็น 3.80 บาท แล้วเป็น 4 บาทในวันนี้ ( 29 พ.ค.)

กว่าจะได้ไข่แต่ละฟองนเกษตรกรต้องเจออะไรบ้าง

ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่าง ต่อเนื่องจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่เป็นสัดส่วนประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ของต้นทุนการผลิตไข่ไก่ จึงทำให้มีความจำเป็นต้องปรับราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มขึ้นเพื่อให้ สามารถประกอบกิจการอยู่ได้ ขณะนี้ไข่ไก่ไม่ได้เป็นสินค้าควบคุม แต่ในการกำหนดราคาโดยอิงจากราคาของสมาคมผู้ผลิตผู้ค้าและส่งออกไข่ไก่

ปัจจุบันผู้เลี้ยงไก่ไข่ในประเทศไทย แบ่งออกเป็น

1. ผู้เลี้ยงไก่ไข่อิสระ

2. ผู้เลี้ยงไก่ไข่ครบวงจร

3. ผู้เลี้ยงไก่ไข่พันธสัญญา

ปัญหาการผูกขาดการนำเข้าพันธุ์ไก่ไข่ส่งผลกระทบต่อปัญหาการผลิตไข่ไก่ดังนี้

พ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่มีราคาแพง ราคาลูกไก่/ไก่สาวสูงอย่างไม่เป็นธรรม

ผู้เลี้ยงได้รับพันธุ์ไก่ล่าช้าทำให้เกิดปัญหาการจัดการและค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มขึ้น

เกษตรกรถูกกดดันไม่ให้ร้องเรียนเรื่องปัญหาขาดแคลนลูกไก่พันธุ์ต่อหน่วยงานราชการ มิฉะนั้นจะไม่ได้รับไก่มาเลี้ยงอีกเลย

เกษตรกรรายย่อยถูกบังคับทางอ้อมให้ซื้ออาหารสัตว์และยาสัตว์จากบริษัทใหญ่

ผู้เลี้ยงรายย่อยต้องเลิกกิจการ แต่ฟาร์มขนาดใหญ่และของบริษัทขยายตัวมากขึ้น

เลี้ยงไก่ไว้กินไข่เองคุ้มไหม

การเลี้ยงไก่ไข่จำนวนน้อยๆเพื่อไว้เก็บไข่กินภายในครัวเรือนนั้น ถือว่ามีประโยชน์และมีผลพลอยได้อีกหลายอย่าง สำหรับใครที่อยากเลี้ยงไก่ไข่ไว้กินเอง สายพันธุ์ไก่ไข่ที่คนนิยมเลี้ยงมากที่สุดมีอยู่ 3 สายพันธุ์ ได้แก่ โรดไทย บาร์พลีมัทร็อก และเลกฮอร์นขาวหงอนจักร ฯลฯ ไก่ไข่สามารถออกไข่ได้ถึง 3 ปี โดยจะลดน้อยลงหลังจาก 1 ปีแรกที่ออกไข่ นอกจากนี้ อากาศที่ร้อนเกินไปยังทำให้ไก่ออกไข่ได้น้อยลง แล้วต้องเลี้ยงกี่ตัวถึงจะพอกิน ถ้าอยู่กันแค่ 2 คน แม่ไก่ 3 ตัวก็พร้อมจะออกไข่ให้วันละ 2 ฟองแล้ว อยากได้แค่ไหนก็คูณจำนวนเฉลี่ยได้เลย

การเลี้ยงไก่ไข่เองนั้น ไก่ส่วนใหญ่ก็จะกินอาหารที่เป็นธรรมชาติ ปลอดจากสารกระตุ้นหรือเคมีต่างๆ ทำให้เราได้กินไข่ที่สด สะอาด ปลอดภัย ส่งผลดีต่อสุขภาพ และหากเราเหลือกินแล้วก็สามารถขายเพื่อเป็นรายได้เสริมอีกทาง


‘แอมเนสตี้’เผย 5 ชาติบังคับใช้โทษประหารมากที่สุดปี 66

เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2567 องค์กรนิรโทษกรรมสากล หรือแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยแพร่รายงานการบังคับใช้โทษประหารชีวิตในปี 2566 ที่ผ่านมา พบว่า จีน อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย โซมาเลีย และสหรัฐอเมริกา เป็น 5 ประเทศที่มีการประหารชีวิตนักโทษมากที่สุด โดยจากสถิติเท่าที่บันทึกได้ อิหร่านครองสัดส่วนร้อยละ 74 ของการประหารชีวิต ในขณะที่ซาอุดีอาระเบียคิดเป็นร้อยละ 15 ส่วนโซมาเลียและสหรัฐฯ พบการใช้โทษประหารชีวิตเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ตลอดทั้งปี 2566 จำนวนการตัดสินประหารชีวิตทั่วโลกเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 รวมทั้งหมด 2,428 ครั้ง ขณะที่มีการประหารชีวิตทั้งหมด 1,153 ครั้ง (ซึ่งไม่รวมการประหารชีวิตในจีนที่เชื่อว่าเกิดขึ้นหลายพันครั้ง) โดยเพิ่มมากกว่าร้อยละ 30 จากปี 2565 ซึ่งนับเป็นสถิติสูงสุดที่แอมเนสตี้ฯ บันทึกได้หลังจากปี 2558 ที่มีการประหารชีวิต 1,634 ครั้ง แต่ถึงแม้ว่าตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้น แต่จำนวนประเทศที่มีการประหารชีวิตตามที่แอมเนสตี้ฯ บันทึกได้กลับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

ในกรณีของอิหร่าน ทางการได้เพิ่มความรุนแรงในการใช้โทษประหารชีวิตเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชนและพยายามรวบอำนาจไว้โดยใช้การประหารชีวิตทั่วประเทศ โดยในปี 2566 มีผู้ถูกประหารชีวิตอย่างน้อย 853 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 48 จากจำนวน 576 คน ในปี 2565 ซึ่งการประหารชีวิตส่งผลกระทบอย่างมากต่อชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์บาลูชีของอิหร่าน ซึ่งคิดเป็นร้อยยละ 20 ของการประหารชีวิตในประเทศที่บันทึกได้ แม้ชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์บาลูชีจะมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 5 ของประชากรอิหร่านก็ตาม ในจำนวนนั้น มีผู้หญิงอย่างน้อย 24 คน และผู้ที่ยังเป็นเด็กในขณะที่กระทำความผิดถูกประหารชีวิตอย่างน้อย 5 คน

จากการประหารชีวิตที่บันทึกได้ในอิหร่าน มีการประหารชีวิตอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างน้อย 545 ครั้ง สำหรับความผิดที่ไม่ควรได้รับโทษประหารชีวิตภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด การปล้นทรัพย์ และการจารกรรม การประหารชีวิตในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพิ่มขึ้นและคิดเป็นร้อยละ 56 ของการประหารชีวิตที่บันทึกได้ในปี 2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 89 จากการประหารชีวิตที่บันทึกได้ 255 ครั้งในปี 2565

ในกรณีของสหรัฐอเมริกา ความก้าวหน้าในสหรัฐฯ สะดุดลงเนื่องจากการประหารชีวิตเพิ่มขึ้นจาก 18 ครั้ง เป็น 24 ครั้ง ในปี 2566 ร่างกฎหมายการประหารชีวิตโดยการยิงเป้าถูกเสนอในรัฐไอดาโฮและเทนเนสซี ในขณะที่สภาของรัฐมอนแทนา พิจารณามาตรการเพื่อเพิ่มสารที่ใช้ในขั้นตอนการฉีดยาเพื่อประหารชีวิต ในรัฐเซาท์แคโรไลนา มีการลงนามในร่างกฎหมายเพื่อปกปิดตัวตนของบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมการหรือการดำเนินการประหารชีวิต

รายงานของแอมเนสตี้ฯ ระบุว่า มลรัฐจำนวนหนึ่งได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างน่ากลัวต่อโทษประหารชีวิต และแสดงให้เห็นถึงเจตนาอย่างไร้ปราณีในการลงทุนกับทรัพยากรต่างๆ เพื่อปลิดชีวิตของมนุษย์ เช่น การประหารชีวิตด้วยวิธีใหม่ๆ ที่โหดร้ายโดยใช้ก๊าซไนโตรเจนทำให้ขาดอากาศหายใจถูกนำมาใช้ในรัฐแอละแบมา วิธีการนี้ถูกนำมาใช้ประหารชีวิตนายเคนเนธ สมิธเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทั้งที่ยังไม่ได้มีการทดสอบวิธีการประหารชีวิตนี้ และเป็นเพียง 14 เดือนหลังจากความพยายามประหารชีวิตของเขาที่ล้มเหลว ดังนั้นจึงเรียกร้องต่อ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องหยุดถ่วงเวลาในการทำตามสัญญาที่จะยกเลิกโทษประหารชีวิตของรัฐบาลกลาง

ในกรณีของจีน เนื่องจากการเก็บข้อมูลเป็นความลับของทางราชการ สถิติของแอมเนสตี้จึงไม่ได้นับรวมอีกหลายพันคนในจีนที่เชื่อว่าถูกประหารชีวิต ซึ่งจีนยังคงเป็นประเทศแถวหน้าในการประหารชีวิตของโลก ทั้งนี้ ในประเทศจีน การรายงานสถิติในสื่อของรัฐถูกนำมาใช้เพื่อเตือนประชาชนว่าอาชญากรรม เช่น การค้ายาเสพติดและการติดสินบน จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงและมีผลลัพธ์ถึงประหารชีวิต

นอกจากประเทศข้างต้นแล้ว รายงานยังกล่าวถึงสถานการณ์ในอีกหลายประเทศ เช่น เกาหลีเหนือและเวียดนาม ซึ่งไม่สามารถระบุตัวเลขนักโทษที่ถูกประหารชีวิตได้อย่างชัดเจน แต่เชื่อว่าชาติเหล่านี้ได้หันกลับมาใช้โทษประหารชีวิตอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม รายงานอย่างเป็นทางการที่มีจำนวนจำกัดจากประเทศเหล่านี้ได้ส่งข้อความที่ชัดเจนไปยังประชาชนว่าอาชญากรรมหรือผู้เห็นต่างจะต้องถูกลงโทษประหารชีวิต แสดงให้เห็นว่าโทษประหารชีวิตยังคงเป็นเครื่องมือในอาวุธของรัฐเพื่อควบคุมและปราบปรามผู้เห็นต่าง

ในขณะที่เกาหลีเหนือได้ออกกฎหมายใหม่ที่รวมโทษประหารชีวิตเป็นบทลงโทษสำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาของเกาหลีเหนือ ขณะเดียวกัน กองทัพในเมียนมายังคงใช้โทษประหารชีวิตในศาลซึ่งถูกกองทัพควบคุมอย่างต่อเนื่อง โดยการพิจารณาคดีลับและไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง ความถดถอยยังเกิดขึ้นในที่อื่นๆ ด้วย เนื่องจากการตัดสินประหารชีวิตและการประหารชีวิตที่บันทึกได้เพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคแอฟริกาทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา

โดยการประหารชีวิตที่บันทึกได้ในภูมิภาคดังกล่าวเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าจาก 11 ครั้งในปี 2565 เป็น 38 ครั้งในปี 2566 การตัดสินประหารชีวิตที่บันทึกได้ทั่วภูมิภาคแอฟริกาทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 66 จาก 298 ครั้งในปี 2565 เป็น 494 ครั้งในปี 2566 นอกจากนี้ ไม่มีประเทศใดในภูมิภาคนี้ที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตในปี 2566

ถึงกระนั้น รายงานของแอมเนสตี้ฯ ก็ชี้ว่า แม้จะมีการดำเนินการเพียงเล็กน้อย แต่ความก้าวหน้ายังคงดำเนินต่อไป โดยมี 112 ประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตอย่างสิ้นเชิง และรวมเป็นทั้งหมด 144 ประเทศ หากนับรวมประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตทั้งในทางกฎหมาย (ไม่กำหนดไว้ในกฎหมาย) และในทางปฏิบัติ (ยังมีกำหนดโทษประหารชีวิตไว้ แต่ไม่เคยบังคับใช้จริงมาแล้วเป็นเวลานาน)

มีการประหารชีวิตที่บันทึกได้ใน 16 ประเทศ ซึ่งเป็นจำนวนต่ำสุดที่แอมเนสตี้ฯ บันทึกได้ ไม่มีการบันทึกข้อมูลการประหารชีวิตในเบลารุส ญี่ปุ่น เมียนมา และซูดานใต้ ซึ่งทั้งหมดเคยมีการประหารชีวิตในปี 2565

ในเอเชีย ปากีสถานยกเลิกโทษประหารชีวิตสำหรับความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ในขณะที่มาเลเซียยกเลิกโทษประหารชีวิตสถานเดียว (กำหนดโทษจำคุกเพิ่มเข้ามาด้วยเพื่อให้ศาลใช้ดุลพินิจได้มากขึ้น) ทางการศรีลังกายืนยันว่าประธานาธิบดีจะไม่ลงนามในหมายสั่งให้ประหารชีวิต ซึ่งลดความกังวลเรื่องการกลับมาประหารชีวิตอีกครั้ง

แม้ว่าจะไม่มีประเทศใดยกเลิกโทษประหารชีวิตในภูมิภาคแอฟริกาทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา แต่ร่างกฎหมายเพื่อยกเลิกโทษดังกล่าวยังคงค้างอยู่ในเคนยา ไลบีเรีย และซิมบับเว ในกานา รัฐสภาลงมติเห็นชอบร่างกฎหมาย 2 ฉบับที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตในกฎหมายปัจจุบัน แต่ในสิ้นปี 2566 ร่างกฎหมายดังกล่าวยังไม่กลายเป็นกฎหมาย