ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



เช็ก "ค่าปรับทำร้ายร่างกาย 2565" อยู่ที่เท่าไหร่ มีโทษอะไรบ้าง

จากกรณีข่าวทำร้ายร่างกายที่เกิดขึ้นหลายๆ ครั้ง อาจทำให้หลายคนคิดว่าค่าปรับทำร้ายร่างกายแค่ 500 บาท แต่ความจริงแล้ว "ค่าปรับทำร้ายร่างกาย 2565" มีการอัปเดตอย่างไร และมากกว่าแค่เสียค่าปรับหรือไม่

สำหรับ "ค่าปรับทำร้ายร่างกาย 2565" นั้น โกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลแขวง เคยเผยข้อมูลบนเฟซบุ๊กของตนเองว่า ที่ผ่านมากฎหมายทำร้ายร่างกาย เช่น ตบ ต่อย จะมีค่าปรับทำร้ายร่างกายอยู่ที่ 500 บาท หากตบ หรือเตะซ้ำ จ่ายค่าปรับ 1,000 บาท แต่ปัจจุบันได้ขึ้นค่าปรับทำร้ายร่างกายเป็น ตบ ต่อย 1 ครั้ง มีค่าปรับสูงสุด 10,000 บาท หากตบ หรือเตะซ้ำอีกที ปรับสูงสุดถึง 20,000 บาท

นอกจากนี้ ทางกฎหมายในมาตราอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการทำร้ายร่างกาย ยังมีรายละเอียดของการรับโทษและค่าปรับที่แตกต่างกันอีกด้วย ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ.2560 ไว้ดังต่อไปนี้

มาตรา 295: ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 296: ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ถ้าความผิดนั้นมีลักษณะประการหนึ่งประการใดดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 289 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 297: ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 200,000 บาท โดยอันตรายสาหัสหมายถึง

ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือเสียฆานประสาท

เสียอวัยวะสืบพันธุ์ หรือความสามารถสืบพันธุ์

เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้ว หรืออวัยวะอื่นใด

หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว

แท้งลูก

จิตพิการอย่างติดตัว

ทุพพลภาพ หรือป่วยเจ็บเรื้อรังซึ่งอาจถึงตลอดชีวิต

มาตรา 298: ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา 297 ถ้าความผิดนั้นมีลักษณะประการหนึ่งประการใดดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 289 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000 บาท ถึง 200,000 บาท

มาตรา 299: ผู้ใดเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลแต่สามคนขึ้นไป และบุคคลหนึ่งบุคคลใดไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้าร่วมในการนั้นหรือไม่รับอันตรายสาหัส โดยการกระทำในการชุลมุนต่อสู้นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขณะเดียวกัน ถ้าผู้ที่เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้นั้นแสดงได้ว่า ได้กระทำไปเพื่อห้ามการชุลมุนต่อสู้นั้น หรือเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา 300: ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

จะเห็นได้ว่า การทำร้ายร่างกายไม่ได้มีแค่เสียค่าปรับเพียง 500 บาทแล้วเรื่องจบเท่านั้น แต่กฎหมายในปัจจุบันได้มีการปรับโทษให้แรงขึ้น และมีค่าปรับสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น การทำร้ายร่างกายจึงไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ทางที่ดีควรหันหน้าเข้าหากันเพื่อปรึกษาปัญหาและหาทางออกร่วมกันด้วยความเข้าใจ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดของทุกฝ่าย

อ้างอิงข้อมูล: สถาบันนิติธรรมาลัย


บั้งไฟพญานาค 2565 เกิดจากอะไร ขึ้นกี่โมง

งานบั้งไฟพญานาค เป็นงานประจำปีจัดที่จังหวัดหนองคายในช่วงออกพรรษา งานบั้งไฟพญานาคหนองคาย 2565 อำเภอโพนพิสัย ศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยวจังหวัดหนองคายได้แจกพิกัดจุดชมบั้งไฟพญานาคไว้ 8 จุด ดังนี้

บั้งไฟพญานาคหนองคาย 2565/2022

งานบั้งไฟพญานาคจังหวัดหนองคาย ปี 2565 มีชื่อว่า งานประเพณีออกพรรษาและบั้งไฟพญานาคโลก ประจำปี 2565 เริ่มวันที่ 7-13 ตุลาคม 2565 และมีการจัดประกวดถ่ายภาพในหัวข้อ “มหัศจรรย์บั้งไฟพญานาค”

จุดชมบั้งไฟพญานาคหนองคาย 2565

1.ริมโขงวัดไทย อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย

2.ริมโขงบ้านหนองกุ้งเหนือ-บ้านหนองกุ้งใต้ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย

3.ริมโขงบ้านน้ำเป อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย

4.ริมโขงบ้านท่าม่วง อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย

5.ริมโขงบ้านตาลชุม อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย

6.ริมโขงบ้านเปงจาน อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย

7.ริมโขงวัดราชโพนเงิน อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย

8.ริมโขงบ้านหนองแก้ว อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย

บั้งไฟพญานาคเกิดจากอะไร

ความเชื่อของชาวบ้านฝั่งริมน้ำโขงในอดีต เชื่อว่าลูกไฟที่มองเห็นจากแม่น้ำโขงนั้นคือลูกไฟจากพญานาคพ่นบั้งไฟ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแก่พระพุทธเจ้า เหตุด้วยบั้งไฟพญานาคที่เห็นลอยขึ้นจากฟ้าราว 50-150 เมตร แล้วดับลง ชาวบ้านจึงเชื่อว่าเป็นลูกไฟจากพญานาคที่ลอยพวยพุ่งจากพญานาคที่อาศัยในแม่น้ำโขง

เหตุการณ์บั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นเฉพาะที่อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ภายหลังได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นงานจัดบุญบั้งไฟของพุทธศาสนิกชนฝั่งประเทศลาว แต่อย่างไรก็ดีก็ยังมีผู้ที่เชื่อในตำนาน ทางจังหวัดหนองคายก็จัดเป็นงานประจำปีเรื่อยมา งานบั้งไฟพญานาค 2565 ที่จังหวัดหนองคายมีนักท่องเที่ยวร่วมชมกว่า 80,000 คน

การเกิดบั้งไฟพญานาคที่จังหวัดหนองคาย สอดคล้องกับการทำบุญบั้งไฟภาคอีสาน ตามความเชื่อเกี่ยวกับการจุดบั้งไฟบูชาพญาแถน ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ อันเป็นความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ

บั้งไฟพญานาคขึ้นกี่โมง

บั้งไฟพญานาคขึ้นเวลา 23.00 น.เป็นต้นไป ของคืนวันออกพรรษา แหล่งท่องเที่ยวที่พักในจังหวัดหนองคายจึงมักเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มารอชมปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคตามริมฝั่งแม่น้ำโขง

ในปีนี้จังหวัดหนองคายจัดประกวดภาพถ่ายและคลิปวิดีโอจากงานมหัศจรรย์บั้งไฟพญานาค ชิงเงินรางวัลกว่า 70,000 บาท ติดตามช่องทางการส่งรางวัลได้ที่ประชาสัมพันธ์จังหวัดหนองคาย


ชาวโลกเฮลั่น นาซา เปลี่ยนวงโคจรดาวเคราะห์น้อยได้สำเร็จ

วันที่ 14 ตุลาคม เฟชบุ๊ก สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ(สดร.) โดย พิสิฏฐ นิธิยานันท์ – เจ้าหน้าที่สารสนเทศดาราศาสตร์ชำนาญการ สดร.เปิดเผย องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา(นาซา) ยืนยันถึงการพุ่งชนดาวเคราะห์น้อยของยานในภารกิจ DART ช่วยเปลี่ยนลักษณะการโคจรของดาวเคราะห์น้อยเป้าหมายประสบความสำเร็จ

จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ของทีมงานในภารกิจ DART (Double Asteroid Redirection Test) ขององค์การนาซา แสดงให้เห็นว่าการพุ่งชนดาวเคราะห์น้อยไดมอร์ฟอสของยานอวกาศ สามารถเบี่ยงวิถีของดาวเคราะห์น้อยเป้าหมายได้สำเร็จ และกลายเป็นภารกิจเบี่ยงวิถีโคจรของวัตถุในอวกาศที่สำเร็จเป็นครั้งแรกของมนุษยชาติ ซึ่งจะใช้เป็นองค์ความรู้พื้นฐานของการปกป้องโลกจากการพุ่งชนของดาวเคราะห์น้อยในอนาคตต่อไป

ก่อนหน้าการพุ่งชน ดาวเคราะห์น้อยไดมอร์ฟอสใช้เวลาโคจรรอบดาวเคราะห์น้อยดวงแม่ (ดาวเคราะห์น้อยดีดิมอส) นาน 11 ชั่วโมง 55 นาที แต่หลังจากการพุ่งชนของยาน DART เมื่อวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 2022 ที่ผ่านมา นักดาราศาสตร์ใช้กล้องโทรทรรศน์จากทั่วโลก ตรวจวัดคาบการโคจรของดาวเคราะห์น้อยไดมอร์ฟอสอีกครั้ง

จนถึงตอนนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่า การพุ่งชนของยาน DART ทำให้คาบการโคจรของดาวเคราะห์น้อยไดมอร์ฟอสเร็วขึ้นประมาณ 32 นาที ซึ่งคาบการโคจรที่เปลี่ยนไปบ่งชี้ว่า ดาวเคราะห์น้อยมีวงโคจรที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หากดาวเคราะห์น้อยมีคาบการโคจรสั้นลง แสดงว่าวงโคจรใหม่จะหดลงเข้าใกล้ดาวเคราะห์น้อยดวงแม่มากขึ้น

และในทางตรงข้าม หากมีคาบการโคจรที่นานขึ้น จะแสดงว่ามีวงโคจรใหม่ที่กว้างกว่าเดิม

แม้ว่าทีมนักวิทยาศาสตร์ในภารกิจ DART จะยืนยันว่าสามารถเบี่ยงวิถีดาวเคราะห์น้อยได้แล้ว แต่ก็ยังต้องการข้อมูลการสังเกตการณ์เพิ่มเติมจากเครือข่ายหอดูดาวทั่วโลก รวมไปถึงข้อมูลจากเรดาร์ของห้องปฏิบัติการเครื่องยนต์ขับเคลื่อนไอพ่น (JPL) ของนาซา และกล้องโทรทรรศน์วิทยุกรีนแบงค์ของ NRAO

ขณะนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ในโครงการ DART หันมาให้ความสนใจในเรื่องการถ่ายโอนโมเมนตัมจากยาน DART ที่พุ่งชนเป้าหมายด้วยอัตราเร็ว 22,530 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รวมถึงการวิเคราะห์ Ejecta หรือเศษวัสดุที่สาดกระเด็นไปในอวกาศ ซึ่งช่วยขยายแรงจากการพุ่งชนของยาน ในลักษณะเดียวกับกระแสลมที่พุ่งออกจากรูรั่วบนลูกโป่ง แล้วทำให้ลูกโป่งเคลื่อนไปในทิศตรงข้าม

อย่างไรก็ดี เพื่อทำความเข้าใจในประเด็นข้างต้น นักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องศึกษาคุณสมบัติทางกายภาพของดาวเคราะห์น้อยมากกว่านี้ อย่างเรื่องลักษณะและความแข็งแรงของพื้นผิวดาวเคราะห์น้อย ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนที่กำลังศึกษา ข้อมูลจากยาน DART ในเสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนการพุ่งชน จะถูกนำมาใช้วิเคราะห์ข้อมูลต่อไป ร่วมกับ LICIACube ดาวเทียมขนาดเล็กขององค์การอวกาศอิตาลี เพื่อวิเคราะห์หามวลและรูปร่างของดาวเคราะห์น้อย

และในอนาคต ยานในโครงการเฮรา (Hera) ขององค์การอวกาศยุโรป (ESA) มีแผนจะสำรวจระบบดาวเคราะห์น้อยดีดิมอส-ไดมอร์ฟอสอย่างละเอียด ในปี ค.ศ.2026 โดยเฉพาะร่องรอยที่เกิดจากการพุ่งชนของยาน DART และการวัดมวลของไดมอร์ฟอสอย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น


สมุนไพรแก้หนาว ตำรับยาปราบชมพูทวีป ตัวช่วยดูแลสุขภาพ

สมุนไพรแก้หนาวรับอากาศเปลี่ยนแปลงรวดเร็วช่วงปลายฝนต้นหนาว ทำให้หลายคนป่วยด้วยโรคไข้หวัด หรือปัญหาระบบทางเดินหายใจส่วนต้นเป็นจำนวนมาก สำหรับทางการแพทย์แผนไทย อากาศหนาวมีผลกระทบต่อธาตุไฟและธาตุน้ำ ทำให้ต้องเร่งสร้างความอบอุ่น เพื่อให้เกิดความสมดุลด้วยตำรับยาสมุนไพรไทย ขณะเดียวกันการใช้สมุนไพรไทยที่มีอยู่ในครัวเรือนก็ช่วยให้ร่างกายเกิดความอบอุ่นได้

ข้อมูลจาก โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ระบุถึง สมุนไพร ที่นำมาใช้สร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ใบกะเพรา กระชาย เป็นสมุนไพรที่มีรสร้อน ช่วยไล่ธาตุน้ำที่กำเริบ ไล่หวัด เพิ่มความอบอุ่นร่างกาย สามารถกินเป็นรูปแบบของอาหารในชีวิตประจำวัน

เปิดตำรับยาสมุนไพรแก้หนาว

นอกจากสมุนไพรที่เป็นพืชผักสวนครัว ที่หาซื้อหรือปลูกเองได้ง่ายแล้ว ยังมีตำรับยาสมุนไพรแก้หนาว สูตรสำคัญที่ชื่อว่า ตำรับยาปราบชมพูทวีป

ตำรับยาปราบชมพูทวีป เป็นตำรับยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ ประกอบด้วยตัวยา 23 ชนิด ส่วนใหญ่มีรสร้อน ช่วยกระจายลม ลดการกำเริบของธาตุน้ำ กระตุ้นการทำงานของไฟธาตุ เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นหวัดในระยะแรก อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล แต่ไม่มีไข้ และอาการที่เกิดจากการแพ้ภูมิแพ้อากาศ ยกเว้นภูมิแพ้ที่แสดงออกทางผิวหนัง หากมีไข้อาจต้องมีการจ่ายยาสมุนไพรแก้ไข้ร่วมด้วย

มีงานวิจัยศึกษาผลการใช้ยาปราบชมพูทวีป ในการรักษาผู้ป่วยโรคหวัดภูมิแพ้ โดยให้ผู้ป่วยรับประทานยาปราบชมพูทวีปแคปซูล บรรจุแคปซูลละ 500 มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ติดตามผลการรักษาจากแบบบันทึกอาการของผู้ป่วยในแต่ละวัน เปรียบเทียบผลก่อนและหลังรับประทานยา พบว่าการรับประทานยาปราบชมพูทวีปวันละ 4,000 มิลลิกรัม เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ สามารถลดอาการหวัดภูมิแพ้ได้

สำหรับข้อห้ามการใช้ยาประกอบด้วย ผู้ที่มีอาการไข้ตัวร้อนสูง มีอาการเจ็บบริเวณไซนัส ไข้สูง น้ำมูก และเสมหะเขียว หญิงตั้งครรภ์ และเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 12 ปี ควรระวังการใช้กับผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ กระเพาะ กรดไหลย้อน เนื่องจากเป็นตำรับยารสร้อน ผู้ที่มีความผิดปกติของตับและไต

สมุนไพรไทยในครัวเรือนช่วยแก้หนาว

สูตรสมุนไพรไทยช่วยบำรุงสุขภาพช่วงเปลี่ยนผ่านฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาว ที่สามารถหาซื้อได้ง่าย และปลูกกินได้เองตามครัวเรือน มีดังนี้

สูตรสมุนไพรที่มีขิงเป็นส่วนประกอบสำคัญ มีรสเผ็ดอุ่น ฤทธิ์แก้หวัดเย็น ขับเหงื่อ บำรุงกระเพาะ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ลดระดับไขมันในเลือด ขิงสด ช่วยทำให้ร่างกายปรับสภาพในภาวะที่ร่างกายมีอาการเย็นได้ เช่นเดียวกับขิงแห้ง ที่ช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียน

มีการทดลองพบว่า น้ำขิงที่ได้จากการต้ม 30 นาที ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวชนิดแมคโครฟาจ มีหน้าที่ในการจับกินเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ดี โดยช่วยลดอาการคัดจมูก ทางแผนไทยเป็นยาฤทธิ์ร้อน ช่วยลดน้ำมูกให้แห้งลงได้ ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคุณค่าภูมิปัญญาเก่าแก่ในการใช้ประโยชน์จากขิง หากมีอาการของหวัดภูมิแพ้อากาศ แนะนำให้ดื่มน้ำขิงวันละแก้ว แต่ต้องระวังการดื่มน้ำขิงในปริมาณมากๆ เพราะอาจทำให้ร้อนในได้

สูตรสมุนไพรที่มีกะเพราเป็นส่วนประกอบสำคัญ ใบมีกลิ่นหอมฉุน เผ็ดร้อน มีฤทธิ์ต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ โดยมีผลยับยั้งเอนไซม์ของไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ ทั้งยังช่วยแก้จุกเสียด แก้ปวดท้อง แก้อาการคลื่นไส้ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงธาตุ ขับลม แนะนำให้กินแบบชา วันละ 4-6 ใบ แช่น้ำร้อน 5-10 นาที ดื่มเพิ่มความอุ่นของร่างกาย

สูตรสมุนไพรที่มีตะไคร้เป็นส่วนประกอบสำคัญ มีกลิ่นหอม ใช้ทั้งต้น เป็นยาแก้โรคในท้อง ใช้รักษาไข้หวัดใหญ่ แก้ปวดหัว ปวดท้อง เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกันได้ดี ช่วยต้านอนุมูลอิสระ แก้อักเสบ และต้านไวรัสไข้หวัดได้ สามารถกินในรูปแบบน้ำตะไคร้ หรือชาตะไคร้ ประมาณ 3-4 ต้น โดยทุบให้แตก ต้มกับน้ำเปล่า 1 ลิตร ให้เดือด ประมาณ 15 นาที จากนั้นรินน้ำดื่ม จิบบ่อยๆ หรืออาจใส่ใบเตยเพิ่มความหอม ช่วยเพิ่มความอบอุ่น และยังช่วยแก้อาการน้ำมูกไหลจากหวัดได้ด้วย

การดูแลสุขภาพในช่วงเปลี่ยนผ่านฤดู ควรดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เลี่ยงความเครียด และพยายามดูแลร่างกายให้อบอุ่น จะช่วยให้ห่างไกลจากการป่วยและพร้อมรับมือกับอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้.


3 สัญญาณอันตราย อาการสังเกตก่อน “หัวใจวาย”

3 อาการต่อไปนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนที่บอกว่าหัวใจกำลังจะวายหรือล้มเหลว ได้แก่

เหนื่อยง่าย อาการเหนื่อยอาจบ่งบอกว่าหัวใจมีประสิทธิภาพในการทำงานที่ลดลง ความรุนแรงของโรคมักจะสัมพันธ์กับกิจกรรมที่ทำ หากมีอาการเหนื่อยอยู่ตลอดเวลาจะสื่อถึงความผิดปกติที่รุนแรง

แสบแน่นหน้าอก จุกแน่นลิ้นปี่ อาการแสบแน่นหน้าอกบ่งบอกว่าหัวใจเกิดการขาดเลือด ส่วนใหญ่แล้วจะรู้สึกแน่นบริเวณกลางหน้าอก อาจมีปวดร้าวจากคอขึ้นไปกราม มีอาการตึงๆ ชาๆ ที่หัวไหล่ไปถึงช่วงแขน รู้สึกเหมือนมีของหนักทับ หากมีอาการเหล่านี้นานเกิน 20 นาที อาจส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจลดลง

อึดอัดเวลานอนราบ จะรู้สึกอึดอัดเวลานอนราบ อาจเป็นสัญญาณที่บอกว่าปริมาณน้ำในหัวใจเพิ่มขึ้นจากการทำงานของหัวใจที่ผิดปกติค่อนข้างรุนแรง

ตรวจสุขภาพหัวใจ ลดเสี่ยงเสียชีวิตจากโรคหัวใจ

สำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป มีแนวโน้มที่เส้นเลือดหัวใจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจนส่งผลกระทบกับสุขภาพในอนาคตได้ จึงควรตรวจสุขภาพหัวใจเพื่อหาปัจจัยเสี่ยงที่สามารถป้องกันได้ตั้งแต่เนิ่นๆ รวมถึงการตรวจหาคราบหินปูนที่หลอดเลือดแดงของหัวใจ (Coronary Artery Calcium Score หรือ CAC) เป็นการหาคราบหินปูนที่เกาะตามผนังหลอดเลือดหัวใจโดยไม่ต้องฉีดสี ใช้เวลาตรวจเพียง 10-15 นาที คะแนนที่ตรวจได้ไม่ควรเกิน 400 คะแนน เพราะอาจหมายถึงความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน โรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตันรุนแรง จนนำไปสู่ภาวะหัวใจวายได้ โดยแพทย์จะทำการประเมินอาการและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด หากรู้ถึงความเสี่ยงได้โดยเร็ว จะสามารถปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม

การพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กหัวใจเชิงลึกอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้หัวใจแข็งแรงได้ในระยะยาว และป้องกันการเสียชีวิตจากโรคหัวใจก่อนวัยอันควรได้ รวมถึงการไม่ประมาท เลือกรับประทานอาหารและเลี่ยงพฤติกรรมต่างๆ ที่เสี่ยงต่อโรคหัวใจ ที่สำคัญผู้ป่วยโรคหัวใจต้องพกยาติดตัวไว้เสมอและรับประทานยาตามคำสั่งของแพทย์อย่างต่อเนื่อง