ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



ครบเครื่อง ญ.อมตะ 15 พฤษภาคม 2564

ถึงกับอึ้ง! ชาวอินเดียใช้มูลวัวรักษาโควิด แพทย์เตือนเสี่ยงติดเชื้อเพิ่ม

วันอังคาร ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2564,สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน แพทย์อินเดียเตือนผู้ที่เชื่อว่ามูลวัวรักษาโรคโควิด-19 ได้ โดยระบุว่ายังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันถึงประสิทธิภาพดังกล่าวและเสี่ยงต่อการแพร่กระจายโรคอื่น

ประธานสมาคมแพทย์อินเดียระบุว่า ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นรูปธรรมที่ยืนยันว่ามูลหรือปัสสาวะของวัวช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19 แต่เป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคลเท่านั้น นอกจากนี้ การทาและบริโภคมูลหรือปัสสาวะของวัวยังทำให้เกิดความเสี่ยงด้านสุขภาพ และทำให้เกิดการแพร่กระจายโรคอื่น ๆ จากสัตว์มาสู่คนอีกด้วย

แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ในอินเดียและหลายประเทศทั่วโลกได้ย้ำเตือนถึงทางเลือกในการรักษาโรคโควิด-19 ดังกล่าวว่า อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดด้านความปลอดภัยและทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

ผู้นับถือศาสนาฮินดูในรัฐคุชราตทางตะวันตกของอินเดีย ต่างพากันเดินทางไปยังคอกวัวสัปดาห์ละครั้ง เพื่อนำมูลและปัสสาวะของวัวมาทาตัว โดยเชื่อว่ามูลวัวจะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันหรือรักษาอาการป่วยจากโรคโควิด เนื่องจากศาสนาฮินดูถือว่าวัวเป็นสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตและโลก โดยจะรอให้มูลและปัสสาวะของวัวที่ทาบนร่างกายแห้ง จึงจะเข้าไปกอดหรือแสดงความเคารพต่อวัวในคอก รวมถึงฝึกโยคะเพื่อเพิ่มระดับพลังงานในร่างกาย หลังจากนั้น พวกเขาจะชำระล้างร่างกายด้วยนมวัว

ทั้งนี้ ชาวฮินดูใช้มูลวัวมาทำความสะอาดบ้านเรือนและประกอบพิธีสวดมนต์มาเป็นเวลาหลายร้อยปี โดยเชื่อว่ามูลวัวมีคุณสมบัติในการรักษาโรคและฆ่าเชื้อโรคได้

เหล่าแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ทั้งในอินเดียและทั่วโลกเตือนมาตลอดถึงการรักษาแบบทางเลือกว่า อาจทำให้เข้าใจผิดคิดว่าปลอดภัยและเกิดปัญหาสุขภาพมากขึ้น

“ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นรูปธรรมว่ามูลหรือปัสสาวะวัวเพิ่มภูมิคุ้มกันโควิด-19 ได้ เป็นความเชื่อล้วนๆ อีกทั้งการอาบหรือบริโภคสิ่งเหล่านี้อาจทำให้มีปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา เชื้อโรคสามารถแพร่จากสัตว์สู่มนุษย์ได้” นายแพทย์เจเอ จายาลัล ประธานสมาคมแพทย์แห่งอินเดียกล่าว

ไม่เพียงเท่านั้น การรักษาแบบนี้อาจแพร่โควิด-19 ด้วย เพราะผู้คนต้องมารวตัวกันเป็นกลุ่ม แต่นายมธุจรัญ ดาส ผู้ดูแลคอกวัวอีกแห่งหนึ่งในอาห์เมดาบัดแย้งว่า พวกเขาจำกัดจำนวนผู้ร่วมพิธี


ดื่มน้ำให้ ‘เพียงพอ’ กับร่างกาย

รู้หรือไม่ว่า “น้ำ” เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของร่างกายและเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถขาดได้ เพราะในร่างกายของคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบถึงร้อยละ 60 และยังพบว่าเป็นองค์ประกอบในชั้นผิวหนังทั้งหมดถึงร้อยละ 64 น้ำ นอกจากจะมีบทบาทในการช่วยเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงร่างกายได้ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยเพิ่มความสดชื่น รวมถึงช่วยในการดูแลผิวพรรณของเราอีกด้วย

จันทิมา เกยานนท์ นักวิชาการด้านอาหารและโภชนาการ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด แนะนำเคล็ดลับดื่มน้ำว่า หากดื่มน้ำไม่เพียงพอจะส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพและปัญหาผิวได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยปริมาณน้ำที่เราควรดื่มคือ อย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตร หรือ 8-10 แก้วต่อวัน โดยมี 3 ทริกดังนี้

1.ดื่มน้ำให้เพียงพอตามน้ำหนักในแบบของตัวเอง

คำนวณง่ายๆ จากน้ำหนักตัวตามสูตร (น้ำหนักตัวหน่วยเป็นกิโลกรัม x 2.2 x 30) /2 = จำนวนมิลลิลิตรต่อวัน เช่น น้ำหนัก 45 กก. ปริมาณน้ำที่ต้องการต่อวันคือ (45 x 2.2 x 30) /2 = 1,485 มิลลิลิตร เทียบเท่ากับน้ำดื่มขวดปกติ 500 มล. ประมาณ 3 ขวด หรือขวดขนาด 1.5 ลิตร ประมาณ 1 ขวด

สำหรับใครที่ชอบออกกำลังกายหรือต้องทำงานในสภาพอากาศที่ร้อน ทำให้มีการสูญเสียเหงื่อไปมาก ก็สามารถดื่มน้ำได้มากกว่าเดิม เพื่อชดเชยปริมาณน้ำที่สูญเสียไปและยังช่วยเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกายกลับมาสดใสอีกครั้ง

2.ดื่มน้ำตลอดวันตามช่วงเวลา

การดื่มน้ำให้ได้ประโยชน์คือต้องดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องกายของร่างกายในแต่ละวัน โดยสามารถดื่มได้ดังนี้ รับรองว่าครบ 8 แก้วแน่นอน

-ดื่มน้ำ 1 แก้วหลังตื่นนอน : ช่วยเติมความสดชื่นก่อนเริ่มต้นวันใหม่และยังชดเชยน้ำที่ร่างกายสูญเสียไประหว่างที่เราหลับ มีงานวิจัยพบว่าการดื่มน้ำหลังตื่นนอนก่อนมื้ออาหารเช้าสามารถช่วยลดพลังงานที่จะได้รับจากอาหารเช้าลงได้ถึง 13% เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก

-ดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนมื้ออาหาร (เช้า กลางวัน เย็น) : ช่วยลดพลังงานที่ได้รับจากมื้ออาหารและช่วยลดน้ำหนักลงได้ ควรดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหารอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง

-ดื่มน้ำ 1 แก้วหลังมื้ออาหาร (เช้า กลางวัน) : ช่วยในการย่อยและการดูดซึมอาหารได้และช่วยป้องกันท้องผูกอีกด้วย

-ดื่มน้ำ 1 แก้วช่วงพักบ่าย

-ดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนนอน : ป้องกันร่างกายขาดน้ำขณะนอนหลับ แต่ไม่ควรดื่มเยอะเกินไปหรือดื่มน้ำใกล้เวลานอนมากเกินไป

อีกหนึ่งทริกเล็กๆ ที่ทำได้ง่ายและเหมาะสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันคือ การพกกระติกน้ำขนาด 600 ml ติดตัวไว้ โดยเติมน้ำประมาณ 3 ครั้งแล้วแบ่งดื่มตามเวลา หรือเปลี่ยนเป็นซื้อน้ำขวดใหญ่ขนาด 1.5 ลิตร แล้วนำมาแบ่งดื่มตลอดทั้งวัน

3.คืนสมดุลแร่ธาตุ

อากาศจะร้อนแค่ไหน หรือระหว่างออกกำลังกายที่จะยิ่งสูญเสียแร่ธาตุไปกับเหงื่อ การคืนความชุ่มชื่นให้ผิวด้วยการดื่มน้ำ พร้อมคืนสมดุลแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ ซิลิกา โพแทสเซียม แมกนีเซียม และแคลเซียม ที่มีส่วนช่วยในการดูแลผิวพรรณ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม น้ำเปล่ามีประโยชน์


กรมอนามัย เผย 7 เมนู กินเสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยต้านโรค "โควิด-19"

"กระทรวงสาธารณสุข" เผย 7 เมนูให้คุณค่าทางโภชนาการ เสริมสร้างภูมิ

คุ้มกัน อุดมไปด้วยวิตามิน ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อไวรัส "โควิด-19"

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในขณะนี้ นอกจากการปฏิบัติตามมาตรการ DMHTTA ด้วยการสวมหน้ากากเมื่อออกจากบ้าน หมั่นล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่างแล้ว การเลือกกินอาหารที่ดีและมีคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อให้ได้รับปริมาณสารอาหารแต่ละชนิดเพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน จะมีส่วนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานเป็นปกติและเต็มศักยภาพ

ทั้งนี้ กรมอนามัย ขอแนะนำ 7 เมนู เสริมภูมิคุ้มกันต้านโควิด-19 ได้แก่

• เมนูที่ 1 ไข่ยัดไส้ กินมะเขือเทศและแครอตให้ได้อย่างละ ½ ทัพพี จะได้รับวิตามินซี 42 เปอร์เซ็นต์ และวิตามินเอ 43 เปอร์เซ็นต์

• เมนูที่ 2 ต้มเลือดหมู กินผักกาดหอม ½ ทัพพี ตับหมู 1 ช้อนโต๊ะ เลือดหมู 1 ชิ้น และหมูสับ 1 ช้อนโต๊ะ จะได้รับธาตุเหล็ก 45 เปอร์เซ็นต์

• เมนูที่ 3 ต้มยำปลาทู มีมะเขือเทศและน้ำมะนาวเป็นส่วนประกอบ จะได้รับวิตามินซี 42 เปอร์เซ็นต์

• เมนูที่ 4 ต้มจืดตำลึงเต้าหู้ไข่ มีส่วนผสมของแครอต ½ ทัพพี และตำลึง 2 ทัพพี จะได้รับวิตามินเอ 42 เปอร์เซ็นต์

• เมนูที่ 5 ปลานึ่งขิง หากใช้ปลาทับทิมเป็นส่วนประกอบ จะได้รับวิตามินดี 20 เปอร์เซ็นต์

• เมนูที่ 6 ปลาผัดเปรี้ยวหวาน มีส่วนผสมของมะเขือเทศ ½ ทัพพี และพริกหวาน 1 ลูก จะได้รับวิตามินซีเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย

• เมนูที่ 7 ข้าวผัดหอยลาย มีส่วนผสมของเนื้อหอยลาย ได้รับธาตุเหล็ก 33 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณที่ควรได้รับในแต่ละวัน

อย่างไรก็ตาม การปรุงประกอบอาหารควรเลือกวัตถุดิบที่สด สะอาด และปรุงอาหารให้สุกใหม่ทุกครั้ง ลดกินหวาน มัน เค็ม นอกจากนี้ควรมีกิจกรรมทางกายที่เหมาะสมเพื่อเผาผลาญพลังงานในแต่ละวัน เช่น ทำงานบ้าน เต้นแอโรบิกในบ้าน หรือมีกิจกรรมผ่อนคลายเพื่อลดภาวะเครียด เช่น การสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน ฟังเพลง อ่าน หนังสือ ดูหนังออนไลน์ เล่นเกม รวมทั้งดื่มน้ำสะอาด 1.5 – 2 ลิตรต่อวัน และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7 - 9 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรง มีสุขภาพดีในระยะยาว.


เปิด 10 สายพันธุ์โควิด-19 ที่องค์การอนามัยโลก ติดตามอย่างใกล้ชิด

แม้การกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 ไปเป็นสายพันธุ์ใหม่จะเกิดขึ้นทุกวัน แต่ตอนนี้ องค์การอนามัยโลก กำลังติดตาม 10 สายพันธุ์โควิดที่ได้กลายพันธุ์ ตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกอย่างใกล้ชิด

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) กำลังติดตามการกลายพันธุ์ 10 สายพันธุ์โควิดที่ “น่าจับตามอง” และ “น่าเป็นห่วง” ทั่วโลกอย่างใกล้ชิด

รายงานข่าวระบุ แท้จริงแล้วการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 ไปเป็นสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นทุกวัน อย่างไรก็ตาม มีเพียงไม่กี่สายพันธุ์ที่องค์การอนามัยโลก ได้เข้ามาติดตามอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ ทางองค์การอนามัยโลกได้แบ่งการติดตามของสายพันธุ์โควิด-19 ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ “สายพันธุ์ที่น่าจับตามอง” (variant of interest) และ “สายพันธุ์ที่น่าเป็นห่วง” (variant of concern)

สำหรับ “สายพันธุ์ที่น่าจับตามอง” จะยังเป็นสายพันธุ์โควิด ที่ทางองค์การอนามัยโลกสนใจติดตาม แต่สำหรับ “สายพันธุ์ที่น่าเป็นห่วง” หมายความว่า เป็นสายพันธุ์ที่มีอัตราการระบาดที่รวดเร็ว รวมถึงเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากกว่าเชื้อโควิดเดิม รวมทั้งมีความเสี่ยงที่ว่า วัคซีนหรือการรักษาในปัจจุบัน จะไม่มีประสิทธิภาพพอต่อการต้านเชื้อไวรัสนี้

โดยทั้ง 10 สายพันธุ์แบ่งออกเป็น

“สายพันธุ์ที่น่าจับตามอง” (Variant of interest) 7 สายพันธุ์ ได้แก่

– B.1617 ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกที่ประเทศอินเดีย

– B.1525 ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกที่สหราชอาณาจักร (ยูเค) และประเทศไนจีเรีย

– B.1427/B.1429 ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

– P.2 ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกที่ประเทศบราซิล

– P.3 ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์

– S477N ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

– B.1.616 ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกที่ประเทศฝรั่งเศส

“สายพันธุ์ที่น่าเป็นห่วง” (Variant of concern) 3 สายพันธุ์ ได้แก่

– B.1.1.7 ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกที่สหราชอาณาจักร

– B.1.351 ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกที่ประเทศแอฟริกาใต้

– P.1 ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกที่ประเทศบราซิล

อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกกำลังศึกษาสายพันธุ์ B.1617 ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกที่ประเทศอินเดียอย่างใกล้ชิด เพื่อศึกษาผลกระทบของสายพันธุ์เพิ่มมากขึ้น หลังประเทศกำลังเผชิญกับการระบาดของโรคที่รุนแรงมาก


เรื่องมหัศจรรย์ของเด็กหลอดแก้ว แฝดสาม ชวนกันเรียนแพทย์ สอบติดทั้งหมด

มหัศจรรย์ แฝดสามที่เพชรบุรี สอบติดแพทย์ชนบทโควตาม.มหิดล ทั้งสามคน พ่อแม่ปลื้มใจ เผยลูกๆ ตัดสินใจเลือกเรียนเอง สาเหตุเกิดจากเด็กๆ เกิดสนใจวิธีผสมเทียม "เด็กหลอดแก้ว" สิ่งที่ทำให้พวกเขาเกิดมา

หลังมีการแชร์ข้อมูล แฝดสาม ชาวอ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี สร้างประวัติศาสตร์ กอดคอกันเข้าศึกษาต่อหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต โครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท ปีการศึกษา 2564 ศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษา โรงพยาบาลราชบุรี ในโครงการโควตา กลุ่มแพทย์เพื่อชุมชน และกลุ่มแพทย์ลดความเหลื่อมล้ำ จำนวน 32 คน สร้างความฮือฮา และมีคนร่วมยินดีกับครอบครัวนี้จำนวนมาก

ที่บ้านพักของครอบครัวนี้ ซึ่งเปิดแมนชั่นชื่อ บลูแมนชั่น ท่ายาง ตั้งอยู่ริมถนนเลียบคลองชลประทานสายสาม ต.ท่ายาง อ.ท่ายาง ผู้สื่อข่าว ได้นัดหมายสมาชิกของครอบครัว เพื่อสอบถามรายละเอียดในเรื่องนี้

ได้พบกับ นายไพโรจน์ เข็มกลัด หรือ เฮียดำ อายุ 65 ปี ผู้เป็นพ่อ นางสาวน้อย เกียรติมาพรศักดิ์ อายุ 58 ปี ผู้เป็นแม่ และลูกๆ “แฝดสาม” ประกอบด้วย นายธนรัตน์ (ปอนด์) เข็มกลัด อายุ 18 ปี พี่ชายคนโต นายธนารักษ์ (ดอลลาร์) เข็มกลัด อายุ 18 ปี น้องคนรอง และนายธนพัฒน์ (มาร์ค) เข็มกลัด อายุ 18 ปี น้องคนเล็ก ทั้งหมดเกิดวันเดียวกันเวลาไล่เลี่ยกัน จากการผ่าคลอด เมื่อวันที่ 31 ต.ค.2545 โดยยังมีพี่สาวอีกสองคน คนโตคือนางสาวลภัสรดา ฉัตรศิริคุณากร อายุ 41 ปี รับราชการ สำนักงาน สกสค.เพชรบุรี พี่สาวคนที่สอง นางสาวสราณี เข็มกลัด อายุ 34 ปี พนักงานธนาคารออมสิน เพชรบุรี

นายไพโรจน์ ผู้เป็นพ่อได้แนะนำตัวลูกๆ ทั้งสามคนให้รู้จัก ซึ่งทั้งสามคนมีชื่อเล่นเป็นสกุลเงินของต่างประเทศ คือ ปอนด์ ดอลลาร์ และมาร์ค เนื่องจาก พ่อและแม่ อดีตเป็นพนักงานของธนาคารศรีนครในอำเภอท่ายาง พบรัก และครองคู่อยู่กินกันมากระทั่งมีลูก รวม 5 คน

ส่วนวิธีเลี้ยงลูกเลี้ยงอย่างไร นายไพโรจน์ เล่าว่า ก็ตั้งใจ ดูแล อาใจใส่เขา ส่วนที่ลูกๆ เลือกสอบเรียนแพทย์นั้น นายไพโรจน์บอกว่า เด็ก ๆ เขาตั้งใจเอง เลือกเอง แรกๆ ลูกๆ ก็เป็นนักเรียนที่เรียนเหมือนกับเด็กทั่วๆ ไป ไม่ค่อยได้ตั้งใจอ่านหนังสือเท่าไร แต่เขาก็มีผลการเรียนดีมาตลอด ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา พอในระดับมัธยมศึกษา ก็ไปเรียนเสริมหลังเลิกเรียนเหมือนกับนักเรียนคนอื่นๆ และตั้งแต่งเริ่มเข้าเรียน ลูกๆ เขาก็เรียนห้องเดียวกันมาตลอด

ขณะนี่ นางสาวน้อย ผู้เป็นแม่ เล่าว่า ลูกชายฝาแฝดสามคนเกิดจากการทำอิ๊กซี่ (ICSI) เพราะฝ่ายพ่อมีลูกยาก ซึ่งการทำอิ๊กซี่ คือการทำเด็กหลอดแก้ว และเป็นการกระตุ้นไข่ที่มีคุณภาพมากกว่า 1 ฟอง ซึ่งจำได้ว่า เขาเลือกไข่ 4 ฟอง เมื่อฉีดเชื้อที่คัดเลือกไว้แล้ว ปฏิสนธิเป็นตัวอ่อนก็สามารถเพาะเลี้ยงตัวอ่อนได้มากกว่า 1 ตัว ทำให้มีโอกาสที่เชื้อจะผสมกับไข่จนทำให้เกิดลูกแฝด ซึ่งรายของตนนั้นผสมติด 3 ฟอง จึงได้แฝดสามคนที่เกิดจากไข่คนละฟอง ทำให้เห็นว่า แฝดทั้งสามคน หน้าตาและส่วนสูงแตกต่างกัน ไม่ใช่แฝดเหมือนหรือแฝดคล้ายเช่นรายอื่นๆ

เมื่อถามแม่ว่า ทำไมลูกๆ จึงเลือกเรียนหมอ “คุณแม่น้อย” บอกว่า พอเด็กๆ เริ่มโตก็ถามพ่อและแม่เรื่องการเกิดของเขาว่า เกิดจากวิธีการผสมเทียมหรือการทำอิ๊กซี่ จึงทำให้เด็กๆ เริ่มสนใจเรื่องนี้ ซึ่งแต่เดิมเนื่องจากพ่อและแม่ทำงานเป็นพนักงานของธนาคาร จึงแนะนำและอยากให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง จึงให้เด็กๆ เรียนศิลป์ภาษา แต่ต่อมา เขาเริ่มสนใจทางการแพทย์จากกรณีการเกิดของเขา

“น่าจะเป็นเรื่องนี้ ที่ทำให้ลูกๆ ทั้งสามคนหันมาเรียนสายนี้”

และเมื่อถามเด็กๆ ทั้งสามคนว่า แต่ละคนมีความคิดและอุปนิสัยอย่างไร แต่ละคนก็บอกว่า ก็คล้ายๆ กัน ต่างคนต่างคิด แต่จะคิดคล้ายๆ กัน และเมื่อต้องตัดสินใจก็จะตัดสินใจไปในแนวทางเดียวกัน ไม่ต้องมีการลงมติใดๆ ข้อดีก็คือที่ทุกคนเรียนชั้นเรียนเดียวกัน ห้องเรียนเดียวกัน ทำให้สามารถปรึกษากันได้

“เช่นบางคนจะไม่เข้าใจในบางเรื่องบางวิชา ก็จะถามอีกสองคนที่เข้าใจ ทำให้มีการเรียนรู้ไปเท่าๆ กันเสริมกันและกันเป็นอย่างดี”

นายธนรัตน์ เข็มกลัด หรือปอนด์ พี่ชายคนโต รับหน้าที่อธิบายต่อว่า การเรียนก็อ่านหนังสือเป็นหลักแต่ก็แบ่งเวลาพักผ่อนและออกกำลังกายให้เหมาะสม ส่วนความชอบ พี่ชายคนโตชอบเล่นบาสเกตบอล คนกลางและคนเล็กชอบเล่นปิงปอง

ท้ายสุดนายไพโรจน์ผู้เป็นพ่อ เล่าถึงการสอบเข้าเรียนแพทย์ในครั้งนี้ ทีแรก ตนก็หนักใจและห่วงใย เพราะผลการเรียนของลูกๆ ทั้งสามคนอยู่ในระดับดี จึงคิดว่าหากสอบติดสองคน แล้วอีกคนสอบไม่ติด นี่แหละคือปัญหา จะทำให้เด็กๆ เสียใจและน้อยใจว่า ทำไมตัวเองถึงสอบไม่ติด หวั่นวิตกมาโดยตลอด แต่โชคดีมากที่เขาทั้งสามคนสอบติดทุกคน และเลือกเรียนหมอหมดทุกคน ทำให้ทั้งพ่อและแม่โล่งอกในประเด็นนี้ไปได้

ส่วนฐานะทางครอบครัวนั้น ไม่เดือดร้อน หลังจากออกจากการทำงานธนาคาร เราก็ลงทุนสร้างมินิมาร์ท และแมนชั่นในอำเภอท่ายาง ช่วยกันดูแลกิจการ มีชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข ทั้ง 7 คน รวมทั้งสามารถส่งเสียบุตรชายทั้ง 3 คน เรียนจบชั้นอุดมศึกษาได้อย่างไม่ต้องเดือดร้อน

ขณะที่ นายอรุณ สรรพคุณ ผอ.โรงเรียนพรหมานุสรณ์จังหวัดเพชรบุรี เผยว่า ผลการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาของนักเรียน โรงเรียนพรหมานุสรณ์ฯ ที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในปีนี้ สามารถสอบเข้าศึกษาต่อในหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โควตาทุนโครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท ปีการศึกษา 2564 กลุ่มแพทย์เพื่อชุมชน จำนวน 7 คน

แบ่งเป็นโควตาจังหวัดเพชรบุรี 5 คน ได้แก่ 1. นางสาวมัณฑนาพร สมานมิตร 2. นายพิสิษฐ์ เตชนันท์ 3. นายธนพัฒน์ เข็มกลัด 4. นายธนารักษ์ เข็มกลัด 5. นายธนรัตน์ เข็มกลัด โควตาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีผู้ผ่านการคัดเลือก 2 คน ได้แก่ 1. นายพีรณัฐ แสงชาตรี และ 2. นางสาวพาขวัญ ชมสายพลายงาม

ในจำนวนนักเรียนทั้ง 7 คนนี้ มีแฝดชาย 3 คนที่เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ได้แก่ นายธนรัตน์ เข็มกลัด หรือ “ปอนด์” นายธนารักษ์ เข็มกลัด หรือ “ดอลลาร์” และ นายธนพัฒน์ เข็มกลัด หรือ “มาร์ค” เป็นนักเรียนชั้น ม.6/1 โครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม หรือ “ห้องเรียน สสวท.” โรงเรียนพรหมานุสรณ์ จังหวัดเพชรบุรี