ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



เตือนห้ามใช้ 'น้ำยาซักผ้าขาว' ร่วมกับ 'น้ำยาล้างห้องน้ำ' อันตรายถึงตาย

อย.เตือนอย่าใช้ 'น้ำยาซักผ้าขาว' ร่วมกับ 'น้ำยาล้างห้องน้ำ' อันตรายถึงชีวิต ผสมกันแล้วมีความเป็นพิษสูง เช็กอาการหลังได้รับสารพิษ

หลังจากที่มีการออกมาแชร์คลิป ประสบการณ์ล้างห้องน้ำโดยใช้ "น้ำยาซักผ้าขาว" และเท "น้ำยาล้างห้องน้ำ" ตามลงไป ปรากฏว่าเกิดกลิ่นที่รุนแรงมาก ทำให้แสบตา แสบจมูก แสบคอ ต่อมามีอาการหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก ต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลนั้น ภก.วีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ระบุว่า ห่ การนำน้ำยาซักผ้าขาวผสมหรือใช้ร่วมกับน้ำยาล้างห้องน้ำ ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้

"น้ำยาซักผ้าขาว" และ "น้ำยาล้างห้องน้ำ" จัดเป็นวัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือนหรือทางสาธารณสุข สารเคมีในน้ำยาซักผ้าขาว เป็นสารเคมีที่มีคุณสมบัติฟอกขาวและฆ่าเชื้อโรค เช่น โซเดียมไฮโปคลอไรต์ ส่วนสารเคมีที่อยู่ในน้ำยาล้างห้องน้ำ ประกอบด้วยสารที่มีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง เช่น กรดเกลือหรือกรดไฮโดรคลอริก

เมื่อนำผลิตภัณฑ์ "น้ำยาซักผ้าขาว" และ "น้ำยาล้างห้องน้ำ" ที่มีกรดไฮโดรคลอริกและโซเดียมไฮโปคลอไรต์มาผสมกันหรือใช้ร่วมกัน จะเกิดปฏิกิริยาเคมีเปลี่ยนเป็นก๊าซคลอรีน มีกลิ่นฉุน มีความเป็นพิษสูง หากสูดดมจะระคายเคืองทางเดินหายใจ อาจเกิดอาการไอ คลื่นไส้อาเจียน แน่นหน้าอก หอบเหนื่อย บางรายที่อาการรุนแรง อาจมีภาวะน้ำท่วมปอด ขาดออกซิเจน ระบบทางเดินหายใจล้มเหลวและมีภาวะเลือดเป็นกรด อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

ที่ผ่านมาพบว่าเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้กับผู้ใช้หลายราย เนื่องจากเชื่อคำแนะนำทางสื่อออนไลน์ ที่เป็นข่าวปลอม (แนะนำให้ใช้น้ำยาซักผ้าขาวร่วมกับน้ำยาล้างห้องน้ำ) อย. จึงขอเตือนผู้บริโภค อย่าเชื่อ หยุดแชร์ข่าวปลอมดังกล่าว ห้ามนำน้ำยาซักผ้าขาวและน้ำยาล้างห้องน้ำมาผสมกัน หรือใช้ผลิตภัณฑ์ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน โดยก่อนใช้ต้องอ่านฉลากและปฏิบัติตามวิธีใช้ คำแนะนำ คำเตือนอย่างเคร่งครัด

ขณะใช้ น้ำยาล้างห้องน้ำ ควรสวมถุงมือยางหรือรองเท้ายาง และภายหลังการใช้ต้องล้างถุงมือยาง รองเท้ายางและมือด้วยน้ำสะอาดและสบู่ทุกครั้ง ควรเลือกใช้น้ำยาล้างห้องน้ำที่มีเลขทะเบียนวัตถุอันตราย โดยสังเกตเครื่องหมาย อย. วอส. โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย. ได้ที่ เว็บไซต์ fda.moph.go.th หัวข้อ “ตรวจสอบผลิตภัณฑ์


ย้อนดูฎีกาคดี ‘อดีตพยาบาล’ เหี้ยมใช้ ‘ไซยาไนด์’ วางยาฆ่าผัวเอาเงินประกัน

เปิดแฟ้มคดีดัง ปี พ.ศ. 2555 ศาลฎีกา มีคำพิพากษา คดีอดีตผู้ช่วยพยาบาลสาว วางยาฆ่าผัว ปลอมเอกสารเอาเงินประกัน โดยยกฟ้องข้อหาความผิดต่อชีวิต เหตุเพราะโจทก์ไม่มีพยานนำสืบแน่ชัดเรื่องเสียชีวิตจากวัตถุออกฤทธิ์ แต่ข้อหาปลอมเอกสารเอาเงินประกัน หลักฐานแน่นแถมข้ออ้างจำเลยฟังไม่ขึ้น ลงโทษจำคุก 20 ปี

26 เมษายน 2566:หลังจากโลกออนไลน์ได้ตระหนักถึงพิษภัยของสารพิษร้ายแรง “ไซยาไนด์” จนเทรนทวิตเตอร์พุ่งขึ้นสูงอันดับหนึ่งในช่วงคืนวันที่ 25 เม.ย. 2566 ที่ผ่านมา เนื่องจากมีข่าวเกี่ยวกับภรรยาของนายตำรวจ ต้องตกเป็นผู้ต้องหาในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรอง ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญาในมาตรา 289 (4) ได้บัญญัติโทษไว้เพียงสถานเดียว คือโทษ “ประหารชีวิต” ด้วยเหตุนี้ “เดลินิวส์ออนไลน์” จึงขอนำท่านผู้อ่านย้อนรอยคดีดังที่มีการฟ้องร้องกันในชั้นศาล โดยกล่าวอ้างถึงการใช้สารพิษ “ไซยาไนด์” กันอีกครั้ง

โดยเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2555 ที่ห้องพิจารณาคดี 709 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีที่พนักงานอัยการกองคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางณัฐกานต์ อนะมาน หรือครัวกลาง อายุ 58 ปี อดีตผู้ช่วยพยาบาล เป็นจำเลยในความผิดฐาน “ฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นเพื่อหวังเงินประกันโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เคลื่อนย้ายทำลายศพเพื่อปิดบังการตาย แจ้งความเท็จ ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ฉ้อโกง มีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 และ 4 ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย”

คดีนี้โจทก์ฟ้อง เมื่อวันที่ 18 ต.ค.45 บรรยายความผิดจำเลยสรุปว่า

เมื่อระหว่างวันที่ 6 ม.ค. – 31 ส.ค.44 จำเลยได้กระทำความผิดกฎหมายหลายบทหลายกรรม โดยปลอมและใช้เอกสารปลอมในการทำประกันชีวิต และประกันอุบัติเหตุให้กับนายรุณ ครัวกลาง อายุ 31 ปี อดีตสามี โดยทำประกันไว้กับบริษัทต่างๆ ถึง 18 บริษัท รวม 20 กรมธรรม์วงเงิน 40,645,000 บาท โดยมีจำเลยเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ จากนั้นจำเลยได้วางแผนฆ่าผู้ตาย โดยแอบใส่ยาพิษให้ดื่มจนมีอาการง่วงซึมขณะขับรถ และประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำขณะเดินทางไป จ.สระบุรี เมื่อถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลแล้วกลับมาพักฟื้นต่อที่บ้าน จำเลยยังได้ลักลอบใส่ยาพิษร้ายแรงลงในกาแฟให้ดื่มจนเป็นเหตุให้นายรุณถึงแก่ความตายสมเจตนา เพื่อหวังผลประโยชน์จากการทำประกัน หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นบ้านพักจำเลยใน จ.สระบุรี พบวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท 2 และประเภทที่ 4 จำนวนมาก จึงตรวจยึดไว้เป็นของกลาง โดยจำเลยให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 24 ก.พ.46 ให้จำคุกฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม 18 ปี ฐานปลอมเอกสารสิทธิ์เพื่อรับผลประโยชน์ 2 ปี รวม 20 ปี ส่วนข้อหาพยายามฆ่า พิพากษายกฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์ไม่ชัดเจนเพียงพอว่าผู้ตายรับสาร “ไซยาไนด์” เพราะผู้ตายได้รับอุบัติเหตุกระทบกระเทือนทางสมองอย่างรุนแรงอาจเสียชีวิตเพราะโรคแทรกซ้อนก็ได้ และศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 4 มี.ค.48

ต่อมาอัยการโจทก์และจำเลยยื่นฎีกา ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า ที่โจทก์ฎีกาให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานฆ่า แลพยายามฆ่านั้น ในชั้นพิจารณาโจทก์ไม่มีพยานมานำสืบให้เชื่อได้อย่างแน่ชัดว่า ผู้ตายเสียชีวิตลงจากวัตถุออกฤทธิ์ มีเพียงนางฉลวย ครัวกลาง น้องสาวผู้ตาย เบิกความว่า ก่อนผู้ตายจะเสียชีวิตได้ไปเยี่ยม เมื่อสอบถามผู้ตายก็จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทราบเพียงว่าไปดื่มกาแฟที่บ้านจำเลย ส่วนจำเลยเบิกความว่าไม่ได้เป็นคนชงกาแฟให้ผู้ตายดื่ม อีกทั้งคำเบิกความของพยานโจทก์ที่เป็นแพทย์ ก็ขัดแย้งกันเกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิต ส่วนเรื่องที่จำเลยนำศพผู้ตายไปฌาปนกิจก่อนที่จะผ่าชันสูตรศพนั้น ศาลเห็นว่าเรื่องการผ่าชันสูตรศพเป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้ให้การรักษา เมื่อแพทย์ได้มอบศพให้จำเลยนำไปประกอบพิธีทางศาสนาจึงไม่ได้เป็นการกระทำโดย พลการ

สำหรับข้อหาปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ฉ้อโกง ลงลายมือชื่อของผู้ตายในสำเนาเอกสารต่างๆ เพื่อนำไปยื่นกับตัวแทนบริษัทประกันชีวิตนั้น เห็นว่า ที่จำเลยอ้างว่าผู้ตายยินยอมให้จำเลยกระทำ เป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีเหตุผลใดที่ผู้ตายจะให้จำเลยไปเอาประกันเอง อีกทั้งผู้เอาประกันจะต้องลงลายมือชื่อด้วยตนเอง การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทประกันและผู้ตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม ฐานปลอมเอกสารสิทธิเพื่อรับผลประโยชน์ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 20 ปีจำเลยนั้นชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน....


“นาซา” มั่นใจความร่วมมือสถานีอวกาศกับรัสเซีย “จะราบรื่นจนครบกำหนด”

องค์การนาซาของสหรัฐ ยังคงเชื่อมั่นในความร่วมมือสถานีอวกาศนานาชาติกับรัสเซีย จะดำเนินไปอย่างไร้อุปสรรคจนครบกำหนด โดยขอก้าวข้ามผ่านความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสองประเทศ...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 26 เม.ย. ว่านายบิล เนลสัน ผู้อำนวยการองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ ( นาซา ) กล่าวว่า จริงอยู่ที่สหรัฐและรัสเซียมีจุดยืนแตกต่างกันอย่างชัดเจน ในบริบทภูมิศาสตร์การเมืองโลก เกี่ยวกับวิกฤติการณ์ในยูเครน ซึ่งเป็นผลจากการที่รัฐบาลมอสโกเปิดฉากปฏิบัติการทางทหารในยูเครน เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2565

อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือระหว่างนาซากับองค์การอวกาศรัสเซีย ( รอสคอสมอส ) ในด้านการบริหารจัดการสถานีอวกาศนานาชาติ ( ไอเอสเอส ) ยังคงเป็นไปอย่างราบรื่นตามแผนการ และด้วยความเป็นมืออาชีพระหว่างนักบินอวกาศของทั้งสองประเทศ

อนึ่ง นาซาเผยแพร่รายงานเมื่อเดือนก.พ. ปีที่แล้ว เกี่ยวกับความโปร่งใสของภารกิจไอเอสเอส ว่าจะดำเนินการเรื่อยไปจนถึงสิ้นปี 2573 หลังจากนั้นอีก 1 เดือน คือภายในสิ้นเดือน ม.ค. 2574 จะมีการควบคุมให้ไอเอสเอสเดินกลับโลก และให้ตกในบริเวณที่เรียกว่า “ขั้วที่เข้าไม่ถึง” ( Pole of inaccessibility ) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “จุดนีโม” ( Point of Nemo )...

ทั้งนี้ จุดนีโม ถือเป็น “สุสาน” ของสถานีอวกาศและดาวเทียม อยู่ทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเมื่อวัดระยะโดยรอบในรัศมี 360 องศา พบว่าอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ที่สุดในทุกทิศทาง และเป็นบริเวณที่มีความหลากหลายทางชีวภาพในระดับต่ำมากถึงมากที่สุด

สำหรับแผ่นดินซึ่งอยู่ใกล้กับจุดนีโมที่สุดคือ หมู่เกาะพิตแคร์น ดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร ส่วนชื่อของจุดนีโมได้รับการตั้งตามชื่อของ “กัปตันนีโม” ผู้บังคับการเรือดำน้ำจากนิยายเรื่อง “ใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์” ( Twenty Thousand Leagues Under the Sea ) ของจูลส์ เวิร์น

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES... สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/2259377/


นักวิทย์จีนเล็งใช้เทคโนโลยี “พิมพ์สามมิติ” สร้างอาคารบนพื้นผิวดวงจันทร์

รวมถึงตรวจสอบความเป็นไปได้ในการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงอย่างการพิมพ์สามมิติ บนพื้นผิวดวงจันทร์ “หากต้องการอยู่บนดวงจันทร์ในระยะยาว เราจำเป็นต้องสร้างสถานีโดยใช้วัสดุบนดวงจันทร์” นายอู๋กล่าว

ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยในประเทศหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยถงจี้ และมหาวิทยาลัยซีอันเจียวทง ได้เริ่มศึกษาความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติบนดวงจันทร์แล้ว

ทั้งนี้ ยานฉางเอ๋อ 8 จะเป็นยานสำรวจดวงจันทร์ลำที่สาม ต่อจากยานฉางเอ๋อ 6 (Chang’e-6) และยานฉางเอ๋อ 7 (Chang’e-7) ที่จะลงจอดบนดวงจันทร์ในโครงการสำรวจดวงจันทร์ครั้งต่อไปของจีน


'ไซยาไนด์' คืออะไร เพียงแค่ปลายเล็บก็ตายได้ ไม่กี่นาที

ทำความรู้จัก 'ไซยาไนด์' ที่ว่ากันว่าเป็น ยาพิษ สุดฮิต เพียงแค่ปลายเล็บ ก็ตายได้ ไม่กี่นาที อาการเหมือนขาดอากาศหายใจ

จากคดี “น้องก้อยเสียชีวิต” โดยเกิดอาการวูบ ขณะปล่อยปลา ซึ่งผลการตรวจหาสารพิษ อย่างไม่เป็นทางการจากโรงพยาบาลตำรวจ พบสารพิษในกลุ่ม “ไซยาไนด์” ส่งผลให้หัวใจล้มเหลว ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของน้องก้อย นอกจากนั้น ยังพบมีผู้เสียชีวิตคล้ายกันเกือบ 10 ราย

หากพูดถึง “ไซยาไนด์” ชื่อนี้คงจะคุ้นหูว่าเป็น “ยาพิษ” ในคดีฆาตกรรม ขณะเดียวกันคนส่วนใหญ่ ก็ยังไม่เคยเห็นหน้าตาของไซยาไนด์เสียด้วยซ้ำไป คมชัดลึก รวบรวมความรู้ เกี่ยวกับ “ไซยาไนด์” คืออะไร อันตรายแค่ไหน ถึงเรียกว่า โดนเพียงแค่ปลายเล็บ ก็เสียชีวิตได้

ไซยาไนด์ (Cyanide) คือ สารเคมีอันตรายที่ออกฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว เป็นกลุ่มของสารเคมี ที่มีไซยาไนด์ไอออน (CN-) เป็นองค์ประกอบ สารเคมีกลุ่มนี้มีความเป็นพิษสูงมาก มักพบในรูปของสารประกอบโลหะอัลคาไลด์ ที่เป็นของแข็งสีขาว และสารประกอบโลหะหนัก พบได้มากในพืช ในรูปของกรดไฮโดรไซยานิค สามารถวิเคราะห์หาได้ในรูปของไซยาไนด์ไอออน สามารถวิเคราะห์หาไซยาไนด์ได้โดยใช้วิธีการกลั่น (Distillation Measurement) เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะเข้าไปยับยั้งการทำงานของเซลล์ จนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

ไซยาไนด์ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด

สารกลุ่ม “ไซยาไนด์” ที่ควรรู้จักมี 2 ตัว คือ ตัวหนึ่งเป็นของแข็ง เกลือไซยาไนด์ ซึ่งเป็นโซเดียมไซยาไนด์ หรือ โปรแตสเซียม ไซยาไนด์ ส่วนอีกตัว มีสถานะเป็นก๊าซ คือ ไฮโดรเจน ไซยาไนด์ ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยา เมื่อเอากรด เช่น กรดเกลือ หรือกรดกำมะถัน ผสมกับเกลือไซยาไนด์ ประการสำคัญ คือ พิษต่อร่างกายไม่ว่าจะเป็นเกลือไซยาไนด์ หรือก๊าซ เป็นอันตรายถึงตายได้เหมือนกัน ก๊าซไฮโดรเจนไซยาไนด์ จึงถูกใช้ในการประหารนักโทษระหว่างสงคราม

ฤทธิ์เดชของไซยาไนด์

ไซยาไนด์สามารถฆ่าคนได้อย่างรวดเร็ว สามารถเข้าสู่ร่างกายคนได้จากหลายเส้นทาง ทั้งการสูดก๊าซไซยาไนด์เข้าไป การกินไซยาไนด์ ทั้งชนิดเม็ดและชนิดน้ำ หรือแม้แต่การสัมผัสกับสารไซยาไนด์ หากกินไซยาไนด์เข้าไปขณะท้องว่าง จะใช้เวลาออกฤทธิ์เป็นหน่วยนาที แต่ถ้ามีอาหารอยู่เต็มกระเพาะแล้ว จะหน่วงเวลาเสียชีวิตเป็นหน่วยชั่วโมงแทน เพราะในกระเพาะเรามีกรดที่ใช้ในการย่อยอาหารอยู่ การกินเกลือไซยาไนด์เข้าไปขณะท้องว่าง ไซยาไนด์จะทำปฏิกิริยากับกรดในกระเพาะ เป็นก๊าซไซยาไนด์อยู่ในกระเพาะอาหาร และออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าสูดไฮโดรเจนไซยาไนด์เข้าไป จะเสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่วินาที

ความเข้มข้นของไซยาไนด์ก็มีผลกับความเร็วมาก ถ้าจับคนล็อกไว้ในห้องก๊าซขนาด 1x1x1 เมตร แล้วปล่อยไฮโดรเจนไซยาไนด์เข้าไปประมาณ 300 มิลลิกรัม จะเสียชีวิตในทันที แต่ถ้าปล่อยไฮโดรเจนไซยาไนด์ 150 มิลลิกรัมเข้าไป จะมีเวลาอีกประมาณ 30 นาทีก่อนเสียชีวิต แต่ถ้าปล่อยก๊าซเข้าไปเพียง 20 มิลลิกรัม จะยังไม่เสียชีวิต เพียงแต่จะมีอาการผิดปกติเล็กน้อยหลังจากนั้น

ไซยาไนด์ อาการเป็นอย่างไร

ภาวะเป็นพิษแบบเฉียบพลัน เป็นอาการที่พบได้ยาก เกิดขึ้นในทันที อาจทำให้เกิดอาการ เช่น หายใจติดขัด เลือดไหลเวียนผิดปกติ ภาวะหัวใจหยุดเต้น สมองบวม ชัก และหมดสติ เป็นต้น

ภาวะเป็นพิษแบบเรื้อรัง เกิดจากการได้รับไซยาไนด์ปริมาณเล็กน้อย ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ในเบื้องต้นอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ ง่วงซึม คลื่นไส้ อาเจียน เกิดผื่นแดง และอาจมีอาการอื่นๆ เกิดขึ้นตามมา เช่น รูม่านตาขยาย ตัวเย็น อ่อนแรง หายใจช้า เป็นต้น นอกจากนี้ หากไม่ได้รับการรักษาเป็นเวลานาน อาจทำให้หัวใจเต้นช้า หรือเต้นผิดปกติ ผิวหนังบริเวณใบหน้าและแขนขากลายเป็นสีม่วง โคม่า และเสียชีวิตในที่สุด