ไอริส แอพเฟล (Iris Apfel) แฟชั่นนิสต้าชาวอเมริกันวัย 102 ปี ที่มาพร้อมกับไลฟ์สไตล์สุดชิก และเป็นที่รักของคนทุกเพศทุกวัย วัดได้จากจำนวนผู้ติดตามบนอินสตาแกรมของเธอกว่า 2.9 ล้านคน ได้เผยถึง 10 ข้อคิดวัยเกษียณ ที่เป็นเคล็ดลับความสำเร็จในชีวิตของเธอ ที่พวกเราสามารถนำมาใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตได้
ไอริส แอพเฟล (Iris Apfel) โด่งดังไปทั่วโลกในเรื่องสไตล์การแต่งตัวที่ไม่เหมือนใคร เธอมักจะใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสหลายชั้น พร้อมแว่นตากรอบบึ้ม และเครื่องประดับชิ้นโตๆ โดยที่แต่ละชิ้นดูเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ จนสไตล์สุดชิกแสนเปรี้ยวและมีคลาสที่โดดเด่นของเธอไปเตะตาพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิตัน จนต้องจัดนิทรรศการพิเศษเกี่ยวกับการแต่งกายของเธอโดยเฉพาะที่ The Costume Institute เลยทีเดียว ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลก โดยขณะนั้นเธอมีอายุถึง 84 ปีแล้ว
พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิตันกล่าวถึงเธอว่า “ไอริส แอพเฟล เป็นหนึ่งในตำนานแฟชั่นอเมริกันตัวจริงที่มีชีวิตชีวาโดดเด่นที่สุดในวงการแฟชั่น สิ่งทอ และการออกแบบตกแต่งภายใน และตลอด 40 ปีที่ผ่านมา เธอได้สรรค์สร้างสไตล์ส่วนตัวที่แสดงถึงไหวพริบและบ่งบอกความเป็นตัวเองได้อย่างสุดเหวี่ยงจนยากจะลอกเลียนแบบ ความโดดเด่นในการแต่งตัวมาจากการมิกซ์แอนด์แมตช์ที่สุดติ่ง เธอเคยเอาเสื้อผ้าดีไซเนอร์หรูของ Dior มาใส่คู่กับของวินเทจจากตลาดนัด บางครั้งก็เป็นชุดเสื้อคลุมของสงฆ์ในศตวรรษที่ 19 กับกางเกงสกินนีลายจิ้งเหลนของ Dolce & Gabbana”
ก่อนจะกลายเป็น "ดาวดวงใหม่วัยยิ่งกว่าเกษียณ (Geriatric Starlet)" ซึ่งเป็นชื่อที่ไอริสตั้งให้ตัวเองหลังจบงานนิทรรศการที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิตันในนิวยอร์กในปี 1950 เธอกับคาร์ล แอพเฟล (Carl Apfel) สามีผู้ล่วงลับ ได้ร่วมกันก่อตั้งและบริหารบริษัทสิ่งทอระดับโลกเพื่อฟื้นฟูผ้าโบราณชื่อ “Old World Weavers” ซึ่งตอนนั้นทั้งคู่เพิ่งแต่งงานกัน และใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเป็นเวลานานถึง 68 ปี
คู่สามีภรรยาแอพเฟลเป็นเจ้าของ Old World Weavers จนถึงปี 1992 และได้ร่วมงานกับทำเนียบขาวถึง 9 สมัย ตั้งแต่แฮร์รี ทรูแมน ถึงบิล คลินตัน จนเธอได้รับฉายาตามที่บอกไว้ในหนังสือว่า "ราชินีแห่งผ้า (First Lady of Fabric)" หรือ "เจ้าแม่แห่งผ้า (Our Lady of the Cloth)" ระหว่างทำงานที่นั่น
นอกจากนี้ ไอริสยังมีผลงานที่เกี่ยวกับแวดวงแฟชั่น ความงาม รวมถึงภาพยนตร์ ออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น
ร่วมกับ MAC Cosmetics พัฒนาคอลเลกชันเครื่องสำอางรุ่นลิมิเต็ดสำหรับฤดูหนาวในปี 2011
ปี 2011 ได้ออกคอลเลกชันเครื่องประดับในสไตล์ของเธอเองจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์
มีภาพยนตร์สารคดีชีวิตของเธอเองในปี 2014 และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มมีในปี 2017
เขียนหนังสือของตนเองชื่อ “Iris Apfel: Accidental Icon” ในปี 2018
ปี 2018 บริษัทแมทเทล (Mattel) ออกแบบตุ๊กตาบาร์บี้รุ่นพิเศษที่เหมือนเธอเป๊ะๆ โดยวางจำหน่ายพร้อมกับหนังสือของเธอ เพื่อยกย่องจิตวิญญาณนักธุรกิจ และความเป็นอิสระของไอริส
ด้วยประสบการณ์ของการใช้ชีวิตหลังวัยเกษียณที่มีสีสันน่าสนใจของไอริส แอพเฟล ได้เผยถึง 10 ข้อคิดวัยเกษียณ ที่เธอเขียนในหนังสือ “Iris Apfel: Accidental Icon” ซึ่งเป็นเคล็ดลับความสำเร็จของเธอ ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในวัยเกษียณก็สามารถนำมาใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตได้
10 ข้อคิดวัยเกษียณ ของ ไอริส แอพเฟล (Iris Apfel)
1. ข้อคิดวัยเกษียณ : อย่ายึดติดกับอายุ
ไอริสกล่าวว่า "ฉันไม่เคยคิดถึงอายุตัวเองเลย อายุมันก็แค่ตัวเลขที่ผ่านไป สิ่งสำคัญคือฉันรักงานที่ทำและทุ่มเทให้กับมันอย่างสุดหัวใจ"
เธอยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า "ความแก่ไม่ใช่เรื่องง่าย" แล้วไงล่ะ “ร่างกายอาจจะเริ่มไม่เหมือนเดิมบ้าง แต่ก็ต้องฮึบสู้และดูแลตัวเองให้ดีที่สุด คุณอาจจะไม่ชอบการแก่ตัว แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต เมื่อแก่แล้วก็แค่ยอมรับว่าแก่ แล้วหันมาใช้ประสบการณ์ที่มีมาช่วยเหลือผู้อื่นจะดีกว่า"
2. ข้อคิดวัยเกษียณ : เลือกคู่ชีวิตที่คอยเป็นกำลังใจให้คุณ
"ทุกคนที่เคยเจอเขารู้ดีว่าเขาคือสุภาพบุรุษตัวจริง" ไอริสกล่าวถึงคาร์ล สามีสุดที่รักผู้จากไปในปี 2015 ด้วยวัย 100 ปี" อารมณ์ขันและน้ำใจอันงดงามของเขาเป็นที่เลื่องลือ เราสองคนทำอะไรๆ ด้วยกันเกือบทุกอย่าง คำแนะนำที่จริงใจและการสนับสนุนอย่างมั่นคงของเขาเป็นพลังสำคัญที่ทำให้หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นมาได้ เขาผลักดันฉันให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ และร่วมยินดีกับทุกความสำเร็จของฉันอย่างล้นเหลือ รอยยิ้มของเขาตอนที่เห็นฉันได้รับการยกย่องนั้นสดใสยิ่งกว่ารางวัลใดๆ ที่ฉันได้รับเสียอีก ฉันคิดถึงเขามากเหลือเกิน หลับให้สบายนะคาร์ล"
3. ข้อคิดวัยเกษียณ : เมื่ออะไรทำให้คุณตื่นเต้น จงลงมือทำมัน
ไอริส เขียนไว้ว่า "ฉันไม่เคยคาดหวังว่าใครจะรู้จักฉัน ไม่เคยหวังจะเป็นแฟชั่นไอคอน ไม่เคยฝันว่าพิพิธภัณฑ์จะแสดงเสื้อผ้าและเครื่องประดับของฉัน ไม่เคยจินตนาการถึงตัวเองในฐานะนางแบบหน้าปกหรือใบหน้าของบริษัทเครื่องสำอางในวัยเก้าสิบ… ฉันไม่มีความคาดหวังใดๆ เลย แค่ทำตามสัญชาตญาณและก็ตามมันไป ถ้ามีอะไรดึงดูดใจและกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของฉัน ฉันจะตามมันไป แล้วค่อยมาจัดการกับรายละเอียดในภายหลัง"
"การเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ต้องใช้พลังงานและความแน่วแน่อย่างมาก มันเหนื่อยมากที่จะทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ต้องเรียนรู้และฝึกฝนทักษะใหม่ๆ และทิ้งความกลัวไว้ข้างหลัง คนส่วนใหญ่ชอบที่จะไหลไปตามกระแส ซึ่งมันง่ายกว่ามาก แต่ไม่น่าสนใจเลยสักนิด"
ไอริสเชื่อว่า สิ่งสำคัญคือต้องกล้าที่จะก้าวออกจากกรอบเดิมๆ และลองทำสิ่งใหม่ๆ ถึงแม้ว่ามันจะท้าทายหรือยากลำบากก็ตาม เธอมักจะบอกตัวเองเสมอว่า "ถ้ามันดูน่าตื่นเต้นและน่าสนใจ ฉันก็ลงมือทำมัน"
4. ข้อคิดวัยเกษียณ : คิดแบบเด็ก เพื่อคงความอ่อนเยาว์
“ฉันมักพูดกับเพื่อนเก่าในครอบครัวอยู่บ่อยๆ ว่า เมื่ออายุมากขึ้น หากมีโอกาสที่ต้องเลือก โอกาสแรกจะทำให้เจ็บตอนเช้า แต่คุณต้องลุกขึ้นและก้าวข้ามความเจ็บปวดนั้น ดังนั้น หากต้องการที่จะอ่อนเยาว์ ก็ต้องคิดแบบเด็กๆ การมีความรู้สึกมหัศจรรย์ อารมณ์ขัน และความอยากรู้อยากเห็น สิ่งเหล่านี้เป็นยาชูกำลังของฉัน มันจะทำให้คุณอ่อนเยาว์ เหมือนเด็ก และรู้จักที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ๆ และพร้อมสำหรับการผจญภัยอีกครั้ง ฉันไม่เคยอยากเป็นคนแก่ขี้บ่นเลย ฉันจะเป็นวัยรุ่นที่มีชีวิตอยู่คนสุดท้ายของโลก และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป” ไอริสกล่าว
5. ข้อคิดวัยเกษียณ : อย่ามัวแคร์คำพูดคนอื่น ความคิดเห็นของตัวเองสำคัญที่สุด
"ฉันไม่เคยพยายามที่จะเข้ากับใคร มันไม่ได้หมายความว่าฉันจะทำตัวเป็นกบฏหรือทำสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับหรอกนะ โชคไม่ดีที่ฉันเคยถูกบังคับให้เล่นไพ่บริดจ์ตอนเด็กๆ มันเลยทำให้ฉันรู้ใจตัวเองตั้งแต่แรกเลยว่า ฉันต้องเป็นตัวของตัวเอง ต้องซื่อสัตย์ต่อตัวเองถึงจะดีที่สุด" ไอริสกล่าว
"ถ้าคุณพยายามจะเป็นทุกอย่างให้ทุกคน คุณก็จะกลายเป็น 'ไม่เป็นอะไรสำหรับใครเลย' สไตล์การแต่งตัวของฉันอาจจะ 'แตกต่าง' หรือ 'แปลกประหลาด' สำหรับบางคนที่อยากจะให้นิยาม แต่ฉันไม่แคร์ ฉันไม่ได้แต่งตัวให้คนมอง ฉันแต่งเพื่อตัวฉันเอง เมื่อคุณแต่งตัวไม่เหมือนคนอื่น คุณก็ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนคนอื่น จริงไหม"
6. ข้อคิดวัยเกษียณ : อย่าแยกตัว แต่ก็อย่าจมไปกับกระแส
"กวีชื่อดัง จอห์น ดอนน์ (John Donne) ได้กล่าวไว้ว่า ที่สำคัญคือฉันรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นเกาะร้างกลางมหาสมุทร แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ ฉันเข้ากับคนอื่นได้ดีในแบบของฉัน ฉันไม่เคยชอบทำตามกระแสเลย และมันก็ไม่เคยส่งผลเสียหายอะไรกับฉันในชีวิตกว่า 90 ปี ดังนั้นฉันคิดว่าทำถูกนะ...แต่ถ้าคุณไม่พยายามเป็นส่วนหนึ่งของสังคมก็ช่างมันเถอะ และนั่นจะเป็นตอนที่ความคิดริเริ่มของคุณอาจจะส่งผลเสียได้ เข้ากับกระแสก่อนแล้วค่อยก้าวออกมา มีเส้นบางๆ กั้นระหว่างการถูกมองว่าเป็นคนมีไอเดียแปลกใหม่กับการได้รับการยอมรับและแม้กระทั่งได้รับความรัก กับการถูกมองว่าแปลกแยกและถูกรังเกียจ แต่คุณสามารถมีทั้งสองอย่างได้นะ" ไอริสกล่าว
7. ข้อคิดวัยเกษียณ : เงินไม่ใช่เครื่องวัดความสำเร็จ
“ถ้าคุณมีความสุข เจอรักแท้ มีคนดีๆ คอยอยู่เคียงข้าง จงทำสิ่งที่ชอบและแบ่งปันให้ผู้อื่น นั่นแหละคือความสำเร็จ การขายวิญญาณเพื่อเงินเพียงอย่างเดียวไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่คุณต้องแลกมาเลย อย่างน้อยก็สำหรับฉันนะ”
8. ข้อคิดวัยเกษียณ : สไตล์ไม่ใช่เรื่องของเงิน
"สไตล์ไม่ใช่เรื่องของการใส่เสื้อผ้าราคาแพง คุณอาจจะมีเงินมากมายแต่ไม่มีสไตล์เลยก็ได้ คุณอาจจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมล่าสุด สวมรองเท้าราคาหลายหมื่นบาท กระหน่ำใส่เครื่องประดับจนดูระยิบระยับ แต่ดันดูเหมือนต้นคริสต์มาสไปซะงั้น รสนิยมไม่ใช่สิ่งที่คุณใส่ แต่เป็นวิธีที่คุณใส่ต่างหาก" เธอกล่าว
"ฉันมีความสุขที่จะใส่กำไลราคาแค่สามเหรียญพอๆ กับที่ใส่ชิ้นแพงๆ และฉันชอบมิกซ์ของแพงของถูกแต่งตัวตามใจชอบ ถ้าคุณพยายามมากเกินไปที่จะมีรสนิยมก็จะไม่สบายตัว เหมือนใส่ชุดที่ไม่ใช่ตัวคุณ มันก็จะดูไม่เข้ากัน เสื้อผ้าไปทาง ตัวคุณกลับไปอีกทาง ถ้าเครียด คุณจะไม่สามารถแต่งตัวให้เข้ากับบุคลิกของตัวเองได้เลย ถ้าเป็นแบบนั้นก็เลิกเถอะ ไม่ต้องพยายาม จะมีความสุขยิ่งกว่าแต่งตัวดีๆ เสียอีกนะฉันว่า"
9. ข้อคิดวัยเกษียณ : เริ่มต้นภารกิจใหม่ด้วยก้าวเล็กๆ
“คุณจะล้มเหลวก็ต่อเมื่อคุณไม่ลงมือทำ” ไอริสกล่าว
“ฉันไม่เคยยอมแพ้ต่ออคติทางเพศ ฉันมุ่งมั่นที่จะเริ่มต้นธุรกิจผ้า ฉันก็คิดแค่ว่าจะทำยังไงให้สำเร็จ ถ้าฉันมัวแต่คิดเยอะเกี่ยวกับการเปิด Old World Weavers บางทีฉันอาจจะไม่ได้ไล่ตามความฝันของตัวเองเลยก็เป็นได้ บางครั้งอย่ามัวแต่คิดเยอะ ลงมือทำเลย แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ก้าวเล็กๆ ก็ตาม ในชีวิตเก้าสิบกว่าปีบนโลกใบนี้ ฉันใช้ปรัชญานี้กับการใช้ชีวิตและการแต่งตัวเสมอ และมันก็ไม่เคยทำให้ฉันผิดหวังเลยแม้แต่น้อย”
10. ข้อคิดวัยเกษียณ : อย่าพยายามดูเด็กกว่าวัย
"การมีริ้วรอยเป็นเรื่องธรรมชาติ เมื่อคุณอายุมากขึ้น การพยายามทำตัวให้ดูเด็กกว่าวัยหลายปีมันไร้สาระสิ้นดี คุณหลอกใครไม่ได้หรอก ตอนคุณอายุ 75 ปีแล้วไปทำศัลยกรรมหน้ามาใหม่ ไม่มีใครคิดว่าคุณอายุ 30 หรอกนะจะบอกให้"
ไอริส แอพเฟล คือแรงบันดาลใจที่แท้จริง ปัจจุบันแม้ในวัย 102 ปี เธอก็ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตและความหลงใหลในแฟชั่นที่ไม่มีใครเทียบได้ เรื่องราวของเธอคือการทำงานหนัก อุทิศตน และไม่ยอมแพ้ต่อความฝัน เธอเป็นเครื่องเตือนใจว่าไม่ว่าจะสายเกินไปที่จะเริ่มต้นสิ่งใหม่ และอายุก็เป็นเพียงตัวเลข
ข้อมูลอ้างอิง : CNBC
ภาพ : Iris Apfel
ทำความรู้จักโรคเกาต์ และโรคเกาต์เทียม มีความแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด โดยทั้ง 2 โรคนี้มีลักษณะอาการใกล้เคียงกัน แต่จะมีกระบวนการวิธีรักษา และจุดสังเกตที่แตกต่างกัน
หนึ่งในโรคที่คนเป็นกันจำนวนมาก ทำให้เกิดอาการปวดตามข้อ และกระดูกที่เรียกกันว่า ‘โรคเกาต์’ แต่รู้หรือไม่ว่า มีโรคที่มีลักษณะอาการใกล้เคียงกัน แต่มีการรักษา และเฝ้าระวังที่ไม่เหมือนกันอยู่ด้วย โรคนี้มีชื่อเรียกว่า ‘โรคเกาต์เทียม’
ไทยรัฐออนไลน์ ได้ข้อมูลที่น่าสนใจจาก โรงพยาบาลวิมุต ที่ได้นำเสนอความแตกต่างระหว่าง โรคเกาต์ และโรคเกาต์เทียมได้อย่างน่าสนใจดังนี้ “โรคเกาต์ (Gout) และโรคเกาต์เทียม (Pseudogout) ต่างเป็นชนิดของโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบของข้อทั้งคู่ (Inflammatory Arthritis Diseases) สาเหตุมาจากผลึกเกลือบริเวณข้อต่อ ที่ระคายเคืองจนทำให้เกิดการอักเสบ นำมาซึ่งอาการปวด บวม ร้อนแดงตามบริเวณข้อของร่างกาย”
ความแตกต่างระหว่าง ‘โรคเกาต์ และ โรคเกาต์เทียม’
โรคเกาต์
โรคเกาต์ เกิดจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูงกว่าปกติ จึงเกิดการสะสมของผนึกเกลือโมโนโซเดียมยูเรต ไปอยู่ตามข้อต่อและเนื้อเยื่อต่างๆ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่ส่วนปลาย เช่น มือ และเท้า จนเกิดการระคายเคืองที่ไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ทําให้เกิดภาวะข้ออักเสบเฉียบพลัน
ส่วนใหญ่มักจะเกิดกับผู้ชาย และผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน โดยโรคเกาต์ สามารถเข้ารับการรักษาและควบคุมไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำได้ โดยอาจจะต้องหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เนื้อสัตว์ เครื่องใน อาหารทะเล และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
นอกจากนี้โรคเกาต์ยังส่งผลกระทบควบคู่ไปกับโรคเบาหวาน ความดัน หากเป็นในระยะยาวไม่รีบรักษา อาจก่อนเกิดเป็นโรคมะเร็ง (เม็ดเลือดขาว และ สะเก็ดเงิน)
โรคเกาต์เทียม
โรคเกาต์เทียม เกิดจากการสะสมผลึกแคลเซียมไพโรฟอสเฟตดีไฮเดรต ซึ่งเป็นคนละชนิดกันกับโรคเกาต์โดยทั่วไป ส่วนใหญ่จะไปเกิดในข้อบริเวณใหญ่ๆ ของร่างกายเฉพาะจุด
แม้โรคเกาต์เทียม อาจจะอันตรายน้อยกว่า แต่มักจะส่งผลกระทบต่อการทำงาน ใช้ชีวิต และการการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นได้ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย และในสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
โรคเกาต์เทียมต่างจากโรคเกาต์ที่จะเกิดจากการตกผลึกคนละชนิดกัน และเกิดในข้อต่อของอวัยวะต่างๆ โดยโรคเกาต์จะสามารถเกิดได้หลายที่ตามข้อเล็กๆ
จุดสังเกตของ ‘โรคเกาต์ และ โรคเกาต์เทียม’
โรคนี้อาจจะเฝ้าระวัง และติดตามอาการได้ด้วยตนเองว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอย่างไร เจ็บปวดตรงข้อต่อส่วนไหนในเบื้องต้น แต่อย่างไรก็ตามควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินอาการอย่างเคร่งครัด โดยจะได้รับการวินิจฉัยที่แน่ชัด และถูกต้องที่สุดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้วยวิธีเจาะดูดน้ำไขข้อเพื่อดูชนิดของผลึกเกลือ เพราะว่าการโรคเกาต์ และโรคเกาต์เทียม อาจมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป
โรคเกาต์ และ โรคเกาต์เทียม เป็นสองโรคที่ควรติดตามอาการ และเช็กร่างกายอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากโรคทั้งสอง อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ยังสามารถลุกลามเปลี่ยนแปลงไปเป็นโรคอื่นๆ ได้อีกด้วย ดังนั้นการติดตาม และรักษาอาการจึงเป็นเรื่องสำคัญ และมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เป็นโรคดังกล่าว
ข้อมูล : Vimut Hospital
ความเสื่อมโทรมของผิวพรรณและร่างกายย่อมเปลี่ยนไปตามวัยเมื่ออายุมากขึ้น แต่บางคนก็อาจดูสูงวัยกว่าอายุจริง เนื่องจากพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การสูบบุหรี่ ตากแดดจัด นอนดึก และกังวลมาก ล้วนเป็นตัวเร่งให้เราดูแก่เร็วกว่าวัย งานวิจัยจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาใน eBioMedicine ระบุว่า ผู้ที่ดื่มน้ำเพียงพอจะมีสุขภาพดีกว่า มีโอกาสเป็นโรคประจำตัวอย่างโรคหัวใจและปอดน้อยกว่า และมีอายุยืนกว่าผู้ที่ดื่มน้ำไม่เพียงพอ
แน่นอนว่าอีกปัจจัยที่อาจช่วยชะลอวัย นั่นคือ "การดื่มน้ำ" งานวิจัยชิ้นล่าสุดจากวารสาร eBioMedicine ปี 2023 ได้ติดตามสุขภาพของผู้เข้าร่วมการวิจัยกว่า 11,000 คน ที่มีอายุระหว่าง 45-66 ปี เป็นเวลานานถึง 25 ปี เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มน้ำกับกระบวนการชะลอวัย ผลลัพธ์ที่ได้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่มีระดับโซเดียมในเลือดสูงกว่าเกณฑ์ปกติมีโอกาสเป็นโรคเรื้อรัง และมีสัญญาณของร่างกายเสื่อมโทรมมากกว่าคนที่ระดับโซเดียมอยู่ในเกณฑ์กลาง นอกจากนี้ ผู้ที่มีระดับโซเดียมสูงกว่ายังมีอายุขัยที่สั้นกว่าอีกด้วย
"ผลวิจัยชี้ว่า การดื่มน้ำให้เพียงพออาจช่วยชะลอวัยและยืดอายุขัยให้ปราศจากโรคภัยได้" ดร.นาตาเลีย ดมิตทรีวา ผู้ร่วมวิจัยและนักวิจัยจากห้องปฏิบัติการฟื้นฟูหัวใจและหลอดเลือด สถาบันโรคหัวใจ ปอด และเลือดแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (NHLBI) กล่าว
ทีมวิจัยได้ตรวจวัดระดับโซเดียมในเลือดของผู้เข้าร่วมการศึกษา เพื่อเป็นตัวชี้วัดความชุ่มชื้น (หรือภาวะขาดน้ำ) ตามการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Merck Manual ระบุว่า แม้ว่าโซเดียมมีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลระดับของเหลวในร่างกาย แต่การมีโซเดียมในเลือดสูงนั้นเชื่อมโยงกับภาวะขาดน้ำ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะโซเดียมในเลือดสูงได้ (hypernatremia) นอกจากนี้ ผลวิจัยยังแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่มีระดับโซเดียมในเลือดสูงมักจะมีสภาพร่างกายแก่กว่าอายุจริง
ดื่มน้ำน้อยอาจทำให้แก่เร็วขึ้น
ทีมงานวิจัยระบุว่า ระดับโซเดียมในเลือดที่เป็นปกติจะอยู่ระหว่าง 135-146 มิลลิโมลต่อลิตร (mmol/l) และพบว่าผู้เข้าร่วมวิจัยที่มีระดับโซเดียมเกิน 142 มิลลิโมลต่อลิตร มีโอกาสเป็นโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้น 39% และมีสัญญาณร่างกายแก่กว่าอายุจริง (หรือที่เรียกว่าอายุทางชีวภาพ) มากถึง 50% อีกด้วย ยิ่งอายุทางชีวภาพสูง ก็ยิ่งเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร นอกจากนี้งานวิจัยยังชี้ว่า "ภาวะขาดน้ำ" เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ระดับโซเดียมสูง ดังนั้น การดื่มน้ำให้เพียงพอจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
การดื่มน้ำไม่พอไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้สมดุลของน้ำในร่างกายของเราเสียไปเมื่ออายุมากขึ้น ทั้งนี้เพราะการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของร่างกายก็ทำให้กักเก็บน้ำไว้ได้ยากขึ้นด้วย เช่น ปัสสาวะออกมากขึ้นเนื่องจากไตทำงานลดลงตามวัย (อ้างอิงจาก Merck Manual) นอกจากนี้ ผู้สูงอายุยังมีแนวโน้มต้องกินยาหลายชนิด ซึ่งบางชนิดอาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้นได้อีกด้วย โดยเฉลี่ยแล้ว น้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญราว 60% ของน้ำหนักตัวในคนหนุ่มสาว แต่ตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 45% ในผู้สูงอายุ ซึ่งนี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงอายุมีแนวโน้มเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำได้ง่ายกว่า
นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณโซเดียมในเลือดกับ "อายุตามเซลล์" ซึ่งประเมินผ่านปัจจัยบ่งชี้สุขภาพ 15 อย่าง เช่น ความดันโลหิตตัวบนช่วงหัวใจบีบตัว คอเลสเตอรอล และน้ำตาลในเลือด ซึ่งช่วยให้มองภาพรวมว่าระบบต่างๆ ในร่างกายของแต่ละคนทั้งหัวใจและหลอดเลือด ปอด ระบบเมตาบอลิซึม ไต และภูมิคุ้มกัน ทำงานได้ดีเพียงใด และยังพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น อายุ เชื้อชาติ เพศ ประวัติการสูบบุหรี่ และโรคความดันโลหิตสูงร่วมด้วย
ดร.นาตาเลีย แนะนำว่า “ผู้ที่มีระดับโซเดียมในเลือดสูง 142 มิลลิโมลต่อลิตร (มม./ล.) ขึ้นไป ควรประเมินปริมาณน้ำที่ดื่ม” และเสริมว่า คนส่วนใหญ่สามารถเพิ่มปริมาณน้ำที่ดื่มได้อย่างปลอดภัย โดยน้ำเปล่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด นอกจากนั้น ผลไม้ น้ำผลไม้ และผักบางชนิดก็มีน้ำมากเช่นกัน สถาบันการแพทย์แห่งชาติของสหรัฐฯ แนะนำว่า ผู้หญิงควรดื่มน้ำประมาณ 6-9 แก้ว (1.5-2.2 ลิตร) ต่อวัน ส่วนผู้ชายควรดื่ม 8-12 แก้ว (2-3 ลิตร) ต่อวัน
ด้านสำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทย ได้มีวิธีคำนวณว่าในแต่ละวันเราควรดื่มน้ำในปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอ ด้วยการใช้น้ำหนักตัวของเรา (กิโลกรัม) คูณด้วย 2.2 คูณด้วย 30 หารด้วย 2 ก็จะได้เป็นปริมาณน้ำเป็นมิลลิลิตรที่ควรดื่มในหนึ่งวัน ยกตัวอย่างเช่น
น้ำหนักตัว 70 กิโลกรัม × 2.2 × 30 / 2 จะเท่ากับ 2,310 มิลลิลิตร
แต่หากไม่ต้องการที่จะคำนวณให้ยุ่งยาก ก็ควรที่จะดื่มน้ำในแต่ละวันให้เพียงพอประมาณ 8-10 แก้ว หรือเทียบเท่ากับการดื่มน้ำจากขวดขนาด 600 มิลลิลิตร ประมาณ 3-4 ครั้ง และสำหรับนักกีฬาที่มีการสูญเสียน้ำมากกว่าคนทั่วไปอาจต้องดื่มเพิ่มมากขึ้นจากที่ปริมาณแนะนำ 1-2 แก้ว เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ
วิธีทำให้ตัวเองไม่ขาดน้ำ
ถึงแม้ร่างกายเราจะเปลี่ยนแปลงตามวัยไปบ้าง แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า เราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างเพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บได้ อย่างเรื่อง "โซเดียม" ในอาหาร รับประทานเค็มมากเกินไปก็ไม่ดี เพราะนอกจากจะทำให้เราขาดน้ำแล้ว การรับโซเดียมมากๆ ยังเสี่ยงต่อความดันโลหิตต่ำ โรคหัวใจ และน้ำหนักตัวเพิ่มอีกต่างหาก ทางออกง่ายๆ ที่ช่วยดูแลสุขภาพเราไปยาวๆ เลยคือ "ลดเค็ม" และ "ดื่มน้ำให้พอ"
เพื่อให้แน่ใจว่าคุณดื่มน้ำเพียงพอแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจาก Nebraska Medicine University Health Center แนะนำเคล็ดลับง่ายๆ คือ ให้ดื่มน้ำเปล่าสักแก้วตั้งแต่ตื่นนอน และก่อนมื้ออาหารทุกมื้อ ถ้าไม่ค่อยชอบน้ำเปล่า ลองเลือกเป็นน้ำโซดาหรือ Sparkling water ที่ผลิตจากแหล่งน้ำแร่ตามธรรมชาติ (น้ำพุ) มีความบริสุทธิ์มากกว่า รสชาติดีกว่าโซดา ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน สามารถใช้ดื่มให้ความสดชื่น โดยในน้ำจะมีสารแคลเซียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียมซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายตามธรรมชาติอยู่แล้วโดยไม่ต้องปรุงแต่งใดๆ เพิ่ม ซึ่งจะช่วยเติมน้ำให้ร่างกายได้ดีกว่าน้ำอัดลมหรือกาแฟที่มีคาเฟอีน ทั้งยังเป็นยาลดปัสสาวะ ทำให้เสี่ยงต่อการขาดน้ำได้ง่าย โดยทั่วไป ผู้ชายควรดื่มน้ำประมาณ 16 แก้วต่อวัน ส่วนผู้หญิงประมาณ 11 แก้ว เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้ระบบร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว
แม้ว่ากระบวนการแก่ชราเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การดื่มน้ำให้เพียงพอถือเป็นเคล็ดลับดีๆ ในการดูแลสุขภาพและยืดอายุขัยได้อย่างทรงพลัง ลองเช็กตัวเองดูสิว่า คุณหยิบน้ำเป็นสิ่งแรกหลังตื่นนอนและก่อนมื้ออาหารหรือไม่ คุณเลือกน้ำเปล่าก่อนน้ำหวานรสจัดใช่ไหม ทุกก้าวเล็กๆ ในการดื่มน้ำอย่างเหมาะสมล้วนส่งผลดีทั้งสิ้น อยากชะลอวัยเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยเคล็ดลับเหล่านี้ อย่างเช่น
พกขวดน้ำติดตัวตลอดวัน
เติมเลมอนหรือส้มสักชิ้นลงในน้ำเพื่อเพิ่มรสชาติ
เลือกผลไม้ผักใบเขียวที่อุดมไปด้วยน้ำเป็นของว่าง
ลดการใช้เครื่องปรุงรสสำเร็จรูป
เลือกอาหารสดแทนอาหารสำเร็จรูป
อ่านฉลากโภชนาการ เลือกอาหารที่มีโซเดียมต่ำ
ลองใช้น้ำมะนาว แทนเกลือ เพิ่มรสชาติให้กับอาหาร
จำไว้ว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำและการกินอาหารเพียงเล็กน้อยสามารถช่วยชะลอวัยและยังส่งผลดีต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีเมื่อมีอายุมากขึ้น ทั้งช่วยให้ร่างกายสดชื่น ผิวพรรณดี ป้องกันโรคต่างๆ
ดังนั้นดื่มน้ำสักแก้วเพื่ออนาคตที่ดีต่อสุขภาพและเพื่อความมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น สร้างอนาคตที่สดใสให้กับตัวเองเถอะ ร่างกายของคุณจะขอบคุณอย่างแน่นอน
ข้อมูลอ้างอิง : Health Digest, National Heart, Lung, and Blood Institute
ภาพ : iStock