โดย บีม ได้โพสต์ข้อความว่า
“I’ll be back 🥲 Now I’m lost. Lead me the right pathways. I will just follow. (ฉันจะกลับมา 🥲 ตอนนี้ฉันหลงทางแล้ว นำฉันไปสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ฉันจะทำตามเท่านั้น)
ผมเลิกกัญชาอย่างถาวรครับ เพราะสารเคมีในสมองผมหลั่งเพี้ยน ผมใช้กัญชาเพื่อความชิล ชิลกับทุกปัญหาจนปัญหาพอกหางหมู ผมใช้มันมากเกินไป บางทีผมสุขมาก(ล้นๆ) บางทีจมทุกข์(down) มันมากเกินคนปกติ อารมณ์สวิง บวกกับ “ภาวะโรคซึมเศร้า” ทำให้ระบบประมวลผลในสมองผมรวนไปหมด พูดวนไปมา น้ำลายไหลไม่รู้ตัว จำเรื่องที่พูดไปไม่ได้เลย จับใจความไม่ได้
… ผมเขียนไว้เพื่ออุทาหรณ์ เพื่อป้องกันคนซ้ำรอยแบบผม… ไม่มีความสุขในชีวิตเลย
ขอบคุณช่า (ภรรยา) ที่มาดึงผมขึ้นจากหลุม หลุมที่ไม่ลึกมากแต่ผมลุกขึ้นเองไม่ไหว เห็นทางออกแต่มันทำไม่ได้ ผมจะหายขาดและมีสติในการใช้ชีวิตตลอดเวลาครับ 🙏 จากคนเคยคม แต่วันนี้มันทู่ไปหมด I’ll be back. 🙏🥲”
กรมการแพทย์ ชี้ "ทาสแมว" ระวังภัยใกล้ตัวจากสัตว์เลี้ยงสู่คน "เชื้อราแมว" เป็นเชื้อราที่สามารถก่อโรคในแมวได้ และสามารถติดต่อระหว่างแมวด้วยกันเอง รวมทั้งสามารถติดต่อมาที่มนุษย์ได้ พร้อมแนะ วิธีการรักษา และ การป้องกัน ที่ถูกวิธี
"เชื้อราแมว" (Microsporum canis) เป็น เชื้อรา ที่สามารถก่อโรคในแมวได้ และสามารถติดต่อระหว่างแมวด้วยกันเอง รวมทั้งสามารถติดต่อมาที่มนุษย์ได้ โดยเฉพาะคนที่ชอบสัมผัสกับแมว โดนแมวที่ติดเชื้อข่วนกัดหรือสัมผัสผิวหนังโดยอาจจะไม่ได้ทำความสะอาดหลังจากสัมผัส ทำให้เกิดการติด เชื้อรา เกิดภาวะโรคกลากแมวขึ้นมาได้ (Tinea infection)
นอกจากนี้ยังสามารถติดมาจากแมวที่ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ หรือสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่มีการปนเปื้อนเชื้อราแมว เช่น ขนแมว ตามบริเวณต่างๆ ได้
แมวที่เป็นโรคผิวหนัง อาจจะมีลักษณะดังนี้
ผิวหนังแดง แห้ง ลอกเป็นขุยๆ
มีขนหลุดเป็นหย่อมๆ บางบริเวณได้
ในขณะที่มนุษย์เมื่อมีอาการติด "เชื้อราแมว" มา จะมีอาการต่างๆ
เริ่มมีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย ตามลำตัวหรือแขนขาที่สัมผัส
ลักษณะผื่นจะเป็นผื่นแดงขอบค่อนข้างหนา มองเห็นชัด รวมทั้งมีขุยสะเก็ด และขนาดวงมีขนาดใหญ่ขึ้นตามการกระจายของเชื้อราที่ผิวหนัง
คนไข้จะมีอาการคันตามผื่นแดงที่เป็นได้
บางครั้งมีการติดเชื้อที่หนังศีรษะมีผื่นขึ้นที่หนังศีรษะและมีผมร่วงเป็นหย่อมได้
ในกรณีที่ผู้ป่วยแกะเกามากจนเป็นแผล อาจจะพบการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนเพิ่มเติมได้ ในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาไม่ถูกต้องหรือไม่ถูกวิธี มีโอกาสที่ผื่นลุกลามเป็นมากขึ้น หรือกระจายทั่วตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคนที่มีภูมิต้านทานร่างกายอ่อนแอวิธีการรักษาเชื้อรากลากแมว
วิธีการรักษา"เชื้อราแมว"
สำหรับผู้ป่วย ในกรณีที่เป็นผื่นกลากแมวไม่รุนแรง มีผื่นรอยโรค 1-2 รอยโรค แพทย์จะให้ยาทาฆ่า เชื้อรา โดยที่จะต้องทายาต่อเนื่อง 3-4 สัปดาห์ อาการของผู้ป่วยจะดีขึ้นได้ สำหรับในกรณีที่เป็นผื่นหลายรอยโรค หรือหลายตำแหน่ง หรือได้รับการรักษาด้วยยาทาแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือติด "เชื้อราแมว" ที่ศีรษะ แพทย์จะพิจารณาให้ยารับประทานยาต้าน เชื้อรา ตามที่แพทย์สั่งควบคู่กับยาทาต้านเชื้อราอย่างต่อเนื่อง นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าว
วิธีป้องกันตัวเอง
ขณะที่ นายแพทย์สุตศรัญย์ พรึงลำภู แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง สถาบันโรคผิวหนัง กล่าวเพิ่มเติมว่าวิธีการป้องกันตนเองจาก "เชื้อราแมว" คนที่เลี้ยงแมว ควรที่จะหมั่นดูแลสุขภาพของแมวที่เลี้ยง ควรพาแมวไปฉีดวัคซีนตามกำหนด จัดสถานที่เลี้ยงให้สะอาด แยกโซนบริเวณให้เหมาะสม ในกรณีที่แมวเป็นโรคผิวหนังหรือรอยโรค
ควรพาแมวไปพบสัตวแพทย์เพื่อทำการรักษา หลีกเหลี่ยงการสัมผัสแมวในช่วงที่แมวมีอาการหรือจนกว่าจะรักษาแมวจนหาย นอกจากนี้ไม่ควรที่จะคลุกคลีกับแมวมากเกินไป เช่น การเลี้ยงแมวบนเตียงหรือที่นอน ไม่ควรให้แมวสัมผัสหรือเลียใบหน้า หลังสัมผัสสัตว์เลี้ยง ควรที่จะทำความสะอาดบริเวณที่สัมผัสให้สะอาดทุกครั้งในทันที
ในกรณีที่คนไข้ติดเชื้อจากทางผิวหนังจากแมวแล้ว ควรทำความสะอาดเสื้อผ้าให้สะอาด ด้วยสารฟอกขาว หรือโซเดียมไฮโปคลอไรด์ หรือใช้ความร้อนรีดเสื้อผ้าทั้งบริเวณด้านในและด้านนอก
"แม่กิมไล้" หรือ กิมไล้ บุญประเสริฐ มีชื่อ-สกุลเดิมว่า น.ส.ไล้ ตะบูนพงษ์ เสียชีวิตเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 22 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา สิริอายุ 90 ปี
"แม่กิมไล้ บุญประเสริฐ" ชื่อนี้เป็นที่รู้จักในฐานะหญิงนักสู้ชีวิตด้วยความยากลำบาก มีความเข้มแข็ง อดทน ทำงานตรากตรำ เร่หาบ และเข็นรถเข็นขายขนม ริมฟุตบาทและในตลาดเมืองเพชรบุรีตั้งแต่เช้าจรดค่ำ สามารถฟันฝ่าอุปสรรคจนประสบความสำเร็จ ได้เป็นเจ้าของธุรกิจร้านขาย "ขนมหม้อแกง" และของฝาก-ของที่ระลึกของเมืองเพชรบุรี ภายใต้แบรนด์ "แม่กิมไล้" ทำให้หลายคนติดใจ จนกลายเป็นสินค้าขึ้นชื่อประจำจังหวัดเพชรบุรีมาจนถึงปัจจุบัน
ประวัติ "แม่กิมไล้"
"แม่กิมไล้" มีชื่อ-สกุลเดิมว่า น.ส.ไล้ ตะบูนพงษ์ เกิดเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2477 ที่ ต.บางตะบูน อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี เป็นบุตรสาวคนที่ 6 จากจำนวนพี่น้อง 7 คน บิดาชื่อ นายหมู ตะบูนพงษ์ มารดาชื่อ นางแดง ตะบูนพงษ์
ชีวิตในวัยเด็ก "แม่กิมไล้"
ครอบครัวของแม่กิมไล้ ค่อนข้างมีฐานะ บิดามารดาประกอบอาชีพทำขนมไทย ขายในชุมชนสองฟากฝั่งริมแม่น้ำปากอ่าวบางตะบูน และในงานประจำปีตามวัดต่าง ๆ เช่นวัดเขาตะเครา วัดปากอ่าวบางตะบูน และวัดเขายี่สาร
การศึกษา "แม่กิมไล้"
แม่กิมไล้ เริ่มการศึกษาที่ โรงเรียนวัดปากอ่าว (ญาณสาครวิทยาคาร) ต.บางตะบูนออก อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี ช่วงวันหยุดจะร่วมกับ น.ส.ลั้ง ตะบูนพงษ์ หรือ “แม่กิมลั้ง” ผู้เป็นพี่สาว พายเรือนำขนมไปขายให้แก่ชาวบ้านในชุมชนสองฟากฝั่งริมแม่น้ำปากอ่าวบางตะบูน
หลังจากเรียนจบชั้น ป.4 ที่โรงเรียนวัดปากอ่าวแล้ว แม่กิมไล้ได้พบรักกับ จ.ส.ต.กลม บุญประเสริฐ ซึ่งรับราชการเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ที่ สภ.ต.บางตะบูน แต่มารดาไม่ชอบลูกเขยที่เป็นตำรวจยศต่ำ และได้หมายมั่นจะให้บุตรสาวแต่งงานกับชายคนหนึ่งที่มีอายุแก่กว่ากัน 22 ปี แต่แม่กิมไล้ปฏิเสธ เนื่องจากไม่ได้รักชอบผู้ชายที่มารดาเลือกให้ ประกอบกับ จ.ส.ต.กลม ได้ย้ายมาประจำอยู่ที่ สภ.อ.เมืองเพชรบุรี นางกิมไล้จึงได้ออกมาใช้ชีวิตกับ จ.ส.ต.กลม ในตัวเมืองเพชรบุรี ขณะมีอายุได้ 18 ปี
เริ่มแรกทั้งคู่ได้เช่าบ้านพักอาศัยอยู่ในซอยหน้าวัดมหาธาตุ วรวิหาร ต.คลองกระแชง อ.เมือง จ.เพชรบุรี ขณะนั้นแม่กิมไล้มีชีวิตที่แสนจะลำบาก เงินทองก็ไม่มีใช้ เพราะสามีทำงานคนเดียว เงินเดือนก็น้อยเพียงเดือนละ 7.50 บาทเท่านั้น กับข้าวแต่ละวันจะมีเพียงปลาสีกุนกับนำพริกและผักที่หาเก็บเอาตามข้างบ้าน แต่ถึงแม้ชีวิตจะลำบากแค่ไหน แม่กิมไล้ก็ไม่เคยปริปากบอกใครและไม่คิดที่จะไปขอความช่วยเหลือจากใครด้วย
หลังจาก อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนคอยทำหน้าที่เลี้ยงลูกทั้ง 7 คน มาตลอด 10 ปี จนแทบไม่มีโอกาสออกจากบ้านไปไหนเลย เมื่อลูกคนแรกอายุได้ 9 ปี แม่กิมไล้เห็นว่าตนควรคิดหาอะไรทำ เพื่อเป็นการช่วยเพิ่มพูนรายได้ให้แก่ครอบครัวอีกทางหนึ่ง ประกอบกับแม่กิมไล้มีความรู้ในเรื่องการทำขนมหวาน ที่เรียนรู้จากมารดามาตั้งแต่เด็ก
จึงตัดสินใจทำขนมขาย โดยนำเงินทุนเท่าที่มีอยู่ไปซื้ออุปกรณ์และวัตถุดิบมาทำ ทั้งขนมกล้วย ขนมเทียน ขนมตาล และข้าวต้มมัด เสร็จแล้วเดินหาบไปนั่งขายแถวริมฟุตบาทและตามตลาดในตัวเมืองเพชรบุรี ตั้งแต่เช้าจรดค่ำเป็นประจำทุกวัน
การทำขนมขายในระยะแรกยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร แต่ "แม่กิมไล้" ก็ไม่ย่อท้อ ยังคงก้มหน้าก้มตาทำขนมต่อไป โดยมีลูก ๆ คอยช่วยเหลือเท่าที่พอจะช่วยได้ ส่วนสามีหลังเลิกจากหน้าที่การงานก็จะมาช่วยตัดทางมะพร้าว ฉีกใบตอง คั้นกะทิ และช่วยห่อขนม
"แม่กิมไล้" อดทนต่อสู้กับความยากจน มุ่งมั่นในการทำขนมแบบอดตาหลับขับตานอน จนเริ่มประสบผลสำเร็จ จากขนมที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ก็เริ่มเป็นที่กล่าวขานของชาวตลาดเมืองเพชรบุรี ขนมห่อที่เคยหาบเพียงเล็กน้อยก็ค่อย ๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้น จากที่เคยหาบขนมขายจนหลังแอ่น ก็ต้องเปลี่ยนมาใช้เป็นรถเข็นแทน
ต่อมา "แม่กิมไล้" ได้เปลี่ยนแนวคิดจากการทำขนมห่อ หันมาทำขนมหวานจำพวก ทองหยิบ ฝอยทอง ลูกชุบ บ้าบิ่น สังขยา ขนมหม้อแกง ฯลฯ โดยลองผิดลองถูกอยู่นานจนได้รสชาติของขนมที่อร่อยถูกปากลูกค้า จากนั้นได้ว่าจ้างช่างที่หน้าวัดยางต่อรถเข็นใส่ตู้กระจก เพื่อใส่ขนมหวานแล้วเข็นออกไปขายอยู่ที่หน้าวัดมหาธาตุ วรวิหาร จ.เพชรบุรี
วันหนึ่ง พระเทพวงศาจารย์ หรือ "หลวงพ่ออินทร์" เจ้าคณะจังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดยาง ในขณะนั้น ผ่านมาเห็นและได้ทักทายกับแม่กิมไล้ว่าจะรวยกันใหญ่แล้ว พร้อมตั้งชื่อให้ว่า "แม่กิมไล้" เป็นชื่อสิริมงคลสำหรับการค้าขายขนมหวานมาจนถึงปัจจุบัน
ขนมหวาน “แม่กิมไล้” ขายดิบขายดี และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ด้วยความที่ธุรกิจก้าวหน้า ในปี 2515 จึงมีการขยายกิจการเปลี่ยนจากรถเข็น ขอเช่าพื้นที่เปิดร้านขายขนมหวานที่หน้าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดเพชรบุรี
ขณะที่ ขนมหม้อแกง ของแม่กิมไล้ เป็นที่รู้จัก เพราะได้รับรางวัล “ชนะเลิศ” ในงานกาชาด จังหวัดเพชรบุรี เนื่องจากคณะกรรมการได้ชิมขนมหม้อแกงของแม่กิมไล้เห็นว่ามีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ จากนั้นธุรกิจรู้จักอย่างแพร่หลาย จึงมีการขยายสาขาเพิ่มมาจนถึงปัจจุบัน รวม 5 สาขา
ข้อมูลอ้างอิงจาก : เพชรภูมิ ฮอตนิวส์
เรื่องราวของสาวชาวจีนชื่อ หวัง ที่แพทย์วินิจฉัยว่า เธอมีอาการป่วยเป็น "มะเร็ง" ไม่เพียงเท่านั้น คนในครอบครัวเธอทั้ง 3 คน ก็ถูกตรวจพบว่าเป็น "มะเร็ง" เช่นเดียวกัน พ่อของเธอเสียชีวิตด้วยโรค "มะเร็ง" ลำไส้ใหญ่ พี่ชายของเธอเสียชีวิตด้วยเนื้องอกในสมอง สามีของเธอเป็น "มะเร็ง" ตับระยะสุดท้าย และเธอเป็น "มะเร็งปอด"
ครอบครัวของนางหวัง มีชีวิตที่ปกติเหมือนครอบครัวทั่วไป และพวกเขาดูแลสุขภาพมาเป็นอย่างดี เมื่อแพทย์ยืนยันว่าเธอเป็น "มะเร็ง" ยิ่งทำให้เธอสับสนว่าสาเหตุที่คนในครอบครัวนั้นเป็น "มะเร็ง" และค่อยๆ จากไปทีละคน มีสาเหตุมาจากอะไร? เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง ทีมแพทย์ได้ทำการทดลองจำนวนมาก และในที่สุดก็ค้นพบสารก่อ "มะเร็ง" ที่มีฤทธิ์รุนแรงคือ "อะฟลาทอกซิน" (Aflatoxin) ปะปนอยู่บน เขียง ที่เธอใช้ประกอบอาหารในทุกๆ วัน
นอกจากนี้ ครอบครัวของนางหวัง ยังมีพฤติกรรมใช้ตะเกียบไม้ไผ่ และ เขียง ไม้มานานแล้ว โดยพวกเขาใช้ประกอบอาหาร ทั้งอาหารปรุงสุก และ อาหารดิบ โดยไม่ได้ทำความสะอาด ตากให้แห้ง หรือเปลี่ยนเป็นประจำ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ก่อให้เกิดสารพิษ "อะฟลาทอกซิน" (Aflatoxin) ที่อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงได้
อย่างไรก็ตาม "อะฟลาทอกซิน" (Aflatoxin) จัดอยู่ในกลุ่มสารก่อ "มะเร็ง" ชนิดที่ 1 โดยองค์การอนามัยโลก ความเป็นพิษของมันมีความเป็นพิษมากกว่าสารหนูถึง 68 เท่า เป็นพิษมากกว่าโพแทสเซียมไซยาไนด์ ถึง 10 เท่า เพียง 1 มก. ก็ก่อให้เกิดมะเร็งได้ และถึงตายได้โดยตรงถึง 20 มก. อะฟลาทอกซินไม่มีกลิ่น ไม่มีรส และไม่มีสี
อุณหภูมิในการทำลาย "อะฟลาทอกซิน" (Aflatoxin) อยู่ที่ 280 องศาเซลเซียส ดังนั้นวิธีการปรุงและแปรรูปแบบเดิมๆ จึงไม่สามารถทำลายความเป็นพิษของสารพิษนี้ได้ นอกจากนี้สารพิษนี้ยังซ่อนตัวได้ง่ายในพื้นที่อยู่อาศัย เช่น ห้องครัวและห้องน้ำ
การป้องกันสาร "อะฟลาทอกซิน" (Aflatoxin)
เลือกซื้ออาหารหรือวัตถุดิบแห้งที่อยู่ในสภาพใหม่ บรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ไม่มีเชื้อรา สะอาด ต้องไม่มีกลิ่นอับ ส่งกลิ่นเหม็น หรือชื้น
ไม่เก็บอาหารแห้งเหล่านั้นไว้เป็นเวลานาน เพราะจะทำให้เกิดการสะสมของเชื้อราได้
นำอาหารแห้งเหล่านั้นไปตากแดดจัดๆ เพราะความร้อนจากแดดจะทำให้ความชื้นลดลง
จากกรณีที่ ท่องเที่ยว "สาวจีน" จากเมืองเจียงซู ที่ตั้งครรภ์ 3 เดือน มาเที่ยวชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาแต้ม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี พลัดตกหน้าผาลงไปถูกต้นไม้เบื้องล่าง ก่อนร่างกระแทกพื้น ทำให้กระดูกต้นขาซ้ายหัก กระดูกเข่าแตกทั้งสองข้าง แขนซ้ายหัก ไหปลาร้าซ้ายหัก กระดูกเชิงกรานหัก ตาขวาช้ำ และมีบาดแผลตามใบหน้า แต่ทั้งแม่และลูกในท้องรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ โดยเเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 2562 ซึ่งสามีได้วางแผนเพื่อที่จะฆาตกรรมเธอและลูกในท้องหวังฮุบสมบัติ
ผ่านไป 5 ปี นักท่องเที่ยว "สาวจีน" โผกอดทั้งน้ำตา กลับมาขอบคุณเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติผาแต้ม ช่วยชีวิตไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ประสบอุบัติเหตุตกหน้าผา
เฟซบุ๊ก อุทยานแห่งชาติผาแต้ม Phataem National Park เผยเรื่องราวดีๆที่แม้จะผ่านไปแล้ว 5 ปี แต่นักท่องเที่ยวหญิงชาวจีนคนนี้ไม่มีวันลืม โดยระบุว่า
" News ปลื้มปริ่ม นักท่องเที่ยวหญิงชาวจีนโผเข้ากอดเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติผาแต้ม เพื่อขอบคุณเมื่อคราวที่ให้การช่วยเหลือ (เมื่อ 5 ปี ที่แล้ว) กรณีประสบอุบัติเหตุตกหน้าผาอุทยานแห่งชาติผาแต้ม เมื่อปี พ.ศ.2562 #ท่องเที่ยวปลอดภัย กู้ภัยรวดเร็ว ฉับไว สร้างความมั่นใจในการท่องเที่ยว #อุทยานแห่งชาติผาแต้ม"
ช่วงนี้บ้านไหนได้รับบิลค่าไฟจากร้อนๆ ก็คงหนาว ไปตามๆกัน เพราะค่าไฟออกมาทีไรแพงเหมือนค่าผ่อนบ้าน และนี่คือผลพวงจากอากาศร้อนที่ทำให้หลายบ้านต้องเปิดแอร์กันฉ่ำ เพราะทนอากาศร้อนไม่ไหว แต่รู้หรือไม่ว่าการเปิดแอร์ที่บ้านนั้นมีวิธี "เปิดแอร์ยังไงให้ประหยัดไฟ" กันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการปรับโหมด การเปิดแอร์พร้อมพัดลมเพื่อระบายความร้อน
ล่าสุด กฟภ. แชร์วิธี "เปิดแอร์ยังไงให้ประหยัดไฟ" ซึ่งไม่ควรเปิด ๆ ปิด ๆ แอร์บ่อย ๆ การปล่อยให้แอร์ทำงานยาว ๆ ย่อมดีกว่า เพราะแอร์จะทำงานหนักและกินไฟมากที่สุดในช่วงที่เราเริ่มเปิด-ปิดแอร์ และช่วงที่แอร์สตาร์ตมอเตอร์ เพื่อปรับอุณหภูมิห้องให้ได้ตามที่เราต้องการ จากนั้นก็จะคงความเย็นนั้นการเปิด-ปิดแอร์บ่อย ๆ จะทำให้อุณหภูมิห้องขึ้น ๆ ลง ๆ ยิ่งกินไฟมากกว่าปกติ
ควรเปิดแอร์กี่องศาถึงจะประหยัดไฟ
ควรเปิดแอร์ 26-27 องศา ควบคู่กับเปิดพัดลม กระแสลมที่มาปะทะตัวทำให้การแลกเปลี่ยนความร้อนออกจากร่างกายได้ดีขึ้นตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้เองการเปิดแอร์ 27 องศาเซลเซียสพร้อมพัดลมจึงช่วยประหยัดค่าไฟได้จริง
เลือกขนาด BTU แอร์ ให้เหมาะกับพื้นที่ห้อง
ตั้งแต่เวลาปิดแอร์ ช่วยเซฟค่าไฟ
ปิดประตูหน้าต่างในห้องให้สนิท
ล้างแอร์เป็นประจำทุกๆ 6 เดือน
ปิดแอร์เมื่อไม่ใช้งาน และไม่ควรปิดๆ เปิดๆ แอร์บ่อยๆ