ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



The Kloset พื้นที่สร้างสรรค์ที่เติมเต็มความหมายของชีวิต ให้กับกลุ่มหญิงรักหญิงในประเทศไทย

ในโลกที่มีสีสันแตกต่างหลากหลาย และความสนใจในรสนิยมทางเพศที่ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยโครโมโซมชายหญิง ดูเหมือนความคิดต่อสิ่งนี้จะเริ่มงอกงามผลิบานขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลกรวมทั้งในสังคมไทย แต่ในบางครั้งมายาคติบางอย่างก็กลายเป็นข้อจำกัดทำให้บางคนไม่สามารถเป็นตัวของตัวเอง หรือค้นหาพื้นที่พักใจได้อย่างเต็มที่

วันนี้เราอยากพาคุณมาพูดคุยกับ ‘คิลิน’ เอมอนันต์ อนันตลาโภชัย หนึ่งในผู้ก่อตั้ง The Kloset ร้านกาแฟ บุ๊กคลับ และพื้นที่พักใจที่เธอเรียกมันว่า ‘รัง’ ของกลุ่มคนที่เป็นหญิงรักหญิง หรือที่เราเรียกกันว่า ‘ยูริ’ (Yuri) ไปรู้จักที่มาที่ไปและเหตุผลสำคัญที่ทำไมถึงทำให้เธอลุกขึ้นมาสร้างคอมมูนิตี้แห่งนี้ เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งตัวตนของใครสักคนที่อยากค้นหาความหมายในชีวิตของตัวเอง

“คือเราอาจจะไม่ได้ดูละครที่เหมือนพวกคุณดู เราอาจจะไม่ได้บ้าคลั่งพระเอกนางเอกที่อยู่ในกระแส เราอาจจะชอบเคต บลันเชตมากๆ เราอาจจะติดตามคาร่า เดอลาวีน มากๆ นึกออกไหมคะ มนุษย์เราทุกคนต้องมีสิ่งที่เรานิยมชมชอบเป็นของตัวเอง ทุกคนมีสิทธิ์ในการแฮปปี้กับสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในพื้นที่ของตัวเอง”

ทุกคนต้องกลับบ้านใช่ไหมคะ แต่บางครั้งบ้านก็ไม่ใช่รังของพวกเรา บางคนมีรังของตัวเองเป็นห้องนอน บางคนมีห้องนอนแต่มีรังเป็นเตียนนอนของตัวเอง ที่นี่จะเป็นที่ที่ทุกคนมาแล้วไม่ต้องคิดอะไร เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องบอกว่าตัวเองคิดอะไร มาแล้วจะนอนจะนั่งไม่ต้องระวังตัว ไม่ต้องคิดอะไร

ถ้าพูดถึงเรื่องเพศ สำหรับคนที่เป็นหญิงรักหญิงบางคนจะถูกมองว่าเป็นชายขอบ บางคนเฉิดฉายมากใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ นั่นเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมของเขาไม่เหมือนกัน ครอบครัวบางที่เปิดมากแฮปปี้มากไม่ว่าเขาจะเป็นอะไร แต่สำหรับบางคนมันยากมากจริงๆ และเขาไม่มีที่อยู่ และมนุษย์ทุกคนจะต้องมีจุดยืนที่มีตัวตน แต่บางครั้งบางสภาวะที่เขาคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง มันลดตัวตนตัวเองลงไป บางคนใช้ชีวิตมาคุยกับที่บ้านก็ไม่เข้าใจ คุยกับเพื่อนก็ไม่สนุก แต่บังเอิญมาเจอคนที่อ่านการ์ตูนเล่มเดียวกันแล้วคุยรู้เรื่อง ชอบ BNK48 เหมือนกันแล้วคุยรู้เรื่อง แค่นั้นเอง มันไม่เกี่ยวกับเรื่องสถานที่ มันเป็นที่ที่เขารู้ว่ามาแล้วมีตัวตนได้อย่างมีความสุข


คิดว่าสิ่งที่ทำอยู่มันคือการสู้กับบรรทัดฐานบางอย่างของสังคมที่มีต่อเรื่องนี้หรือเปล่า

เราไม่ได้สู้กับใครเลยค่ะ การที่เราจะเป็นตัวของตัวเองเราไม่จำเป็นต้องสู้กับใคร และเราจะไม่เป็นตัวเองหรือไม่ ก็ไม่ได้เกี่ยวกับใครเหมือนกัน ถ้าจะให้มุมมองที่นี่เป็นแค่ร้านกาแฟ เป็นแค่บุ๊กคลับ ถ้าคุณเป็นผู้หญิงและชื่นชอบที่จะมาอ่านหนังสือด้วยกัน และอยู่กันแบบเงียบๆ ไม่มีการชนแก้ว ไม่มีการหาคู่ เราแค่มาดื่มกาแฟกันธรรมดา หรือจะใส่กระโปรงมานอนที่นี่ นอนไปเลยไม่มีใครสนใจ แต่ถ้าคุณไปนอนที่ร้านอื่น มันอึดอัด ผู้ชายอาจจะไม่เข้าใจ แต่เป็นผู้หญิงแค่จะก้มก็ต้องเอามือปิดหน้าอก แต่ที่นี่เขาอยู่กันมันเพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกว่าเป็นตัวของตัวเอง มีสิทธิอย่างเต็มที่ เราไม่ต้องต่อสู้กับใคร

เวลาคนพูดคำว่าคอมมูนิตี้ สำหรับคุณคำนี้มันคืออะไร

มันมีคำกว้างๆ ในการสร้างคอมมูนี้ตี้อยู่สองคำ คือจิตใต้สำนึก กับศีลธรรม ที่มีต่อมนุษย์ทุกคนทุกผู้ ไม่ใช่แค่ลูกค้าหรือคนที่เดินเข้ามาในที่นี่เท่านั้น และเราทำต้องไม่หวังอะไรก่อน เราทำให้มันเป็นเหมือนรังที่เราอยากอยู่เอง ถ้าเรามีความสุขคนอื่นมีความสุข

“บางครั้งเราคาดหวังจากคนอื่นไม่ได้ คุณจะคาดหวังให้คนอื่นมารักเราหรือว่ารับได้ทุกคน คนที่ป่วยแต่ไม่รู้ว่าตัวเองป่วย เราคาดหวังจากเขาไม่ได้นะคะ มันอยู่ที่เราจะมองความเป็นจริง หรือมองความน่าจะเป็น เราอย่าผลักความเป็นตัวตนหรือความรู้สึกของเราไปให้เขา”

เวลาคนภายนอกมองเข้ามา คนมักเข้าใจผิดต่อคนที่เป็นยูริอย่างไร

คนมองยูริว่าต้องเป็นเลสเบี้ยน แต่ไม่ใช่ บางทีคนที่เขียนนิยายยูริก็เป็นผู้หญิงธรรมดาที่มีแฟนเป็นผู้ชาย คนอ่านหนังสือบางคนเป็นผู้ชายแท้ๆ ที่ชอบเห็นผู้หญิงรักผู้หญิง และคนอ่านบางคนก็ไม่ได้จำกัดเพศตัวเอง คือถ้าบอกว่ายูริเท่ากับเลสเบี้ยนคงไม่ใช่ หรือคำว่าเลสเบี้ยนเท่ากับต้องเซ็กซี่ ต้องเป็นเน็ตไอดอล ต้องเที่ยวกลางคืน ต้องเป็นพริตตี้ สิ่งนี้ก็ไม่ใช่เหมือนกัน

คือเราอาจจะไม่ได้ดูละครที่เหมือนพวกคุณดู เราอาจจะไม่ได้บ้าคลั่งพระเอกนางเอกที่อยู่ในกระแส เราอาจจะชอบเคต บลันเชตมากๆ เราอาจจะติดตามคาร่า เดอลาวีน มากๆ นึกออกไหมคะ มนุษย์เราทุกคนต้องมีสิ่งที่เรานิยมชมชอบเป็นของตัวเอง ทุกคนมีสิทธิ์ในการแฮปปี้กับสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในพื้นที่ของตัวเอง สิ่งนี้ก็เหมือนกัน เวลาที่เรามองกลุ่มคนที่เป็นเกย์ เลสเบี้ยน ยูริ หรืออะไรก็ตาม เรายังมามัวนั่งมองอยู่เลยว่าเขาเป็นอะไร เราควรมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไปได้แล้ว เราควรมองว่าเขาทำอะไร เขาเป็นเขานั่นแหละ แต่เราควรมองว่าผลงานเขาคืออะไร ปล่อยให้เขาเป็นเขา เหมือนที่คุณเป็นคุณแล้วไม่อยากให้ใครมายุ่ง แค่นี้มันก็เป็นพื้นฐานชีวิตจริงๆ ที่ทุกคนมีความสุขได้แล้วนะ เพราะไม่ว่าเป็นเพศใดก็ตาม ทำผิดก็คือทำผิด ทำดีก็คือทำดี ทำถูกก็คือทำถูก แค่นั้นเอง เป็นเรื่องที่จริงๆ ไม่ต้องมานั่งพูดก็ได้

หลายครั้งที่ได้สัมภาษณ์กลุ่มคนที่เป็น LGBT ทุกคนจะพูดคล้ายๆ กันว่าการถูก Bully จากสังคม หรือแม้แต่ Bully ในกลุ่มก็มีเยอะมาก คนที่เป็นยูริเป็นแบบนั้นด้วยไหม

ต้องบอกว่าในกลุ่มของยูริจะไม่ค่อยมีในแง่นั้น แต่จะเป็นแง่ที่ขาดพื้นที่ในการเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่มากกว่า แต่เข้าใจว่าสำหรับกลุ่มคนเพศทางเลือก จะมีในบริบทของความที่คนคนนั้นเป็นตัวของตัวเองอย่างชัดเจน แล้วก็ผลักความเป็นตัวเองนั้นไปสู่สายตาคนอื่น อันนี้ไม่ได้แค่ในบริบทของคนที่เป็นยูริเท่านั้นนะ เป็นเรื่องของเพศ อย่างคนที่เป็นทอมแต่ทำตัวไม่น่ารักกับคนทั่วไป ก็ไม่แปลกที่เขาจะถูก Bully ทั้งกายวาจาใจ เพราะว่าเขาทำตัวไม่น่ารัก และเป็นตัวของตัวเองอย่างผิดกาลเทศะหรือเปล่า

แต่ในกรณีที่คนที่เป็นตัวเองในพื้นที่ของเขาแล้วมีคนไป Bully เขา ไม่ว่าจะในทางไหน จะถ่ายภาพออกมาแล้วเอามาประจานก็ตาม แบบนั้นเป็นการละเมิดสิทธิ์ในแบบที่ไร้อารยะมากๆ แต่ในสังคมยูริไม่ค่อยมี เพราะส่วนมากจะเป็นคน Introvert อ่านหนังสืออยู่เงียบๆ แต่ละคนจะมีเส้นที่ปิดประตูของตัวเองอยู่แล้ว สำหรับคนที่เสพอักษร ขอใช้คำนี้นะคะ มันน้อยมากเลยที่เขาคนนั้นจะใช้อารมณ์ในการเกลียด แล้วก็สาดอารมณ์กันแบบนั้น แต่ในฝั่งของผู้ชาย หรือเกย์มันเยอะกว่ามากๆ

ถ้ามองตามความเป็นจริง จะทำอะไรหรือเป็นอะไร ต้องเหมาะกับสภาพแวดล้อม เพื่อตัวคุณเองค่ะ แต่ถ้ามองตามความน่าจะเป็น บางครั้งเราคาดหวังจากคนอื่นไม่ได้ คุณจะคาดหวังให้คนอื่นมารักเราหรือว่ารับได้ทุกคน คนที่ป่วยแต่ไม่รู้ว่าตัวเองป่วย เราคาดหวังจากเขาไม่ได้นะคะ มันอยู่ที่เราจะมองความเป็นจริง หรือมองความน่าจะเป็น เราอย่าผลักความเป็นตัวตนหรือความรู้สึกของเราไปให้เขา ทำให้เขาอึดอัดไหม เหมือนลูกบางคนที่บอกว่าฉันจะเป็นสิ่งนี้ แม่ต้องเข้าใจสิ ถามแบบไม่เข้าข้างใครเลยนะคะ ทำไมแม่ต้องเข้าใจหนูล่ะ เพราะแม่เขาก็มีความคาดหวังของเขา เขาก็เป็นเขา หนูจะเป็นอะไรหนูก็เป็น แต่อย่าบอกว่าต้องเข้าใจหนูนะ แม่เขาก็มีสิทธิ์ที่จะไม่เข้าใจ และหนูก็มีสิทธิ์ยอมรับว่าแม่ไม่เข้าใจ เราจะใช้เวลา มันเป็นแบบนี้มากกว่าที่อยากให้ทุกคนมองเข้าไปในตัวเองทีละน้อย และใช้เวลาทำความเข้าใจตัวเองและคนอื่นเยอะๆ ชีวิตที่ไม่โทษใครมันมีความสุขมาก

“สำหรับเราถ้ามีคนมองเข้ามา เราก็คาดหวังให้คนเข้าใจ แต่ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เพราะถ้าเราคาดหวังจากคนอื่นมันเหมือนเราเอาความสุขของเราไปฝากไว้ที่เขา มันไม่ใช่ เรามีความสุขกับสิ่งที่เป็น ที่บ้านมีความสุขกับสิ่งที่เราเป็น และเราพยายามจะบอกกับทุกคนที่มาที่นี่ว่า ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ขอให้เป็นตัวของตัวเองในแบบที่ถูกที่ควร แล้วก็มีความสุขกับตัวเองเยอะๆ ก็พอแล้ว”

มันมาพร้อมกับการยอมรับความจริง ว่าทุกอย่างมีเหตุปัจจัย และไม่ว่าผลมันเป็นอย่างไรไม่มีใครเอาปืนจ่อหัวให้คุณทำ ทุกคนตัดสินใจด้วยการตัดสินใจที่ดีที่สุดในสภาวะนั้นเสมอ ผลจะออกมาดีหรือแย่ ปัจจุบันนี่แหละคือสิ่งที่ทำมาแล้ว และคุณจะทำให้เป็นอย่างไรต่อก็คือปัจจุบัน คำว่าถ้าไม่มีประโยชน์

สำหรับคนที่มีความกลัวที่จะเป็นตัวของตัวเองอยู่อยากจะบอกอะไรกับเขา

อันนี้ยาก เราจะบอกเสมอว่าถ้ากลัวไม่ต้องขยับ ปลอดภัยแล้วค่อยขยับ เพราะมันไม่คุ้มเลยที่ออกมาเป็นตัวของตัวเองแล้ววิกฤตกว่าเดิม เพราะภูมิต้านทานของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ถ้าดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่ง แล้วรู้สึกว่าจุดที่ยืนอยู่ทุกข์มากกว่าสุข ก็ไม่มีอะไรจะเสียที่จะก้าวออกมา แต่อย่างไรก็ตามจงหาจุดสมดุลของตัวเอง ที่จะเป็นหรือไม่เป็นอะไรแล้วสบายใจ ซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกันเราไปใส่รองเท้าแล้วรู้สึกแทนเขาไม่ได้ ถึงได้มีที่นี่ไงคะ ไม่ต้องห่วงว่าตัวเองเป็นอะไร ตามสบาย สิ่งที่เราทำอยู่คือการเติมความสุขให้ใครก็ตามที่อยากมีความสุขในตัวเอง

อยากให้คอมมูนิตี้แบบนี้เดินหน้าไปอย่างไร

จริงๆ เราก็อยากให้มีพื้นที่สำหรับผู้ชายที่มีลักษณะ Introvert เราไม่ได้บอกว่าเป็นเกย์หรือไม่เป็นเกย์ แต่เป็นพื้นที่สำหรับคุณผู้ชายที่สามารถนอนกรน สูบบุหรี่ อ่านหนังสือ นั่งทำงานแบบที่ไม่ต้องกังวลว่ามีผู้หญิงอยู่ไหม ฉันต้องทำตัวดีไหม ฉันต้องอาบน้ำหรือเปล่า เราอยากให้มีอะไรแบบนี้มาด้วย แบบนั้นแหละถึงจะเปิดมุมมองของคนในสังคมจริงๆ คือต่างคนต่างทำ

ความสุขของการทำสิ่งนี้คืออะไร

มันเยอะมาก เห็นน้องคนหนึ่งมาอีกแล้วเพราะอยากมานั่งเล่นกีตาร์กับพี่คนหนึ่ง เห็นน้องๆ มาเล่นเกม เราเห็นเด็กพวกนี้ที่ไม่รู้จะไปไหน แล้วเขาได้เพื่อน ได้เป็นตัวของตัวเองอย่างมีความสุข แค่นี้ก็พอแล้ว