ชีวิตไม่มีความบังเอิญ ปรางค์ ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา สาวรุ่นใหม่ที่ค้นหาความสุขในการทำงานของตัวเอง หลังจากที่ออกมาจาก Comfort zone แล้วออกไปเจอสิ่งใหม่ๆที่ท้าทายตัวเอง จนค้นพบการทำงานที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดสร้างจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
ปรางค์ ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา เจ้าของ Flower Healing Creative Workshop แห่ง Prang Floral Studio ที่เสริมสร้างจินตนาการและผ่อนคลายความเครียด ด้วยการจัดดอกไม้ โดย คุณปรางค์ เล่าว่า เดิมทีทำงานพีอาร์เอเจนซี มีความ เครียดพอสมควร เลยสร้างความสดชื่นในชีวิตด้วยการสั่งดอกไม้ให้กับตัวเอง เพราะเป็นคนชอบสิ่งสวยๆงามๆ พอทำแล้วรู้สึกดีขึ้น เลยไปเข้าเวิร์กช็อปจัดดอกไม้ ซึ่งทำให้มีสมาธิ และเป็นการเอาตัวเราออกจากความเครียดได้ดี
พอดีสามีที่ทำงานกระทรวงการต่างประเทศต้องไปประจำที่สหรัฐฯ จึงลาออกเพื่อติดตามสามี แต่เนื่องจากติดสถานการณ์โควิด ทำให้การเดินทางเลื่อนออกไป ช่วงที่ว่างๆ เลยรับจัดดอกไม้ผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก Prang A.Sukhasvasti และ IG : @prangfloraldesign และหลังจากกลับมาอยู่เมืองไทย จึงเกิดแนวคิดทำเวิร์กช็อปจัดดอกไม้ที่ : Prang Floral Studio ซอยประดิพัทธ์ 23 (สำหรับ Private Class) และรับจัดนอกสถานที่สำหรับผู้ที่สนใจร่วมกิจกรรม และสำหรับ Private Group Class เกิน 4 คน
“ตอนที่อยู่อเมริกา ปรางค์ได้ไปลงคอร์สเพิ่มทักษะและได้ไปทำงานจัดดอกไม้กับชาวเกาหลี ซึ่งได้ประสบการณ์มากมาย พอได้กลับมาเมืองไทย ปรางค์รู้สึกว่าหลังจากโควิดวิถีชีวิตทุกคนเปลี่ยนไปโดยเฉพาะคนที่อยู่ เมืองใหญ่ ผู้คนมีความเครียดมากขึ้น เลยมีความคิดที่จะจัดเวิร์กช็อปจัดดอกไม้ ที่เป็น Healing สร้างความผ่อนคลาย ทำให้เรามีสมาธิ เราสามารถหาความสุขเล็กๆได้จากสิ่งรอบตัว ความสุขไม่ได้อยู่ที่วัตถุนิยมอย่างเดียว เราอยู่กับธรรมชาติโฟกัสที่ธรรมชาติมากขึ้นมันจะทำให้เราจิตใจรู้สึกนิ่งมากขึ้นก็เลยเป็นที่มาของการเวิร์กช็อปนี้ค่ะ” แนวคิดในการทำงาน คุณปรางค์บอกว่า เวิร์กช็อปของปรางค์ ไม่ได้เน้นว่าต้องเป็นตามขั้นตอนหนึ่ง สอง สาม ผิดวัตถุ ประสงค์ของการทำเวิร์กช็อปเพื่อผ่อนคลาย แต่จะเป็นเวิร์กช็อปเพื่อให้คนทำได้ใส่ความคิดสร้างสรรค์ ทำให้เราหลุดอยู่จากปัญหาต่างๆของตัวเอง
“ปรางค์ไม่ได้จัดเวิร์กช็อปนักจัดดอกไม้มืออาชีพ แต่จะเป็นคอร์สผ่อน คลาย สร้างความคิดสร้างสรรค์ให้เราหลุดออกจากกรอบความคิด ที่เราวางไว้ว่าต้องเป็น 1 2 3 เพราะหลายๆอย่างในชีวิตของเราไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง ถ้าเราหลุดจากตรงนั้น เปิดใจในทุกๆอย่างรอบตัวเรา จะทำให้เรามองเห็นอะไรใหม่ๆ มุมใหม่ เปิดใจยอมรับในสิ่งต่างๆมากยิ่งขึ้น ซึ่งปรางค์มองว่าเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งเราอยู่ในสังคมปัจจุบันที่ต้องยอมรับกับความแตกต่างทางความคิด ศิลปะจะช่วยลดช่องว่างตรงนี้ได้ และช่วยทำให้จิตใจคนเปิดกว้างมากขึ้นแล้วเราก็จะมีความสุขได้ง่ายขึ้นค่ะ”.
การวัดมูลค่าแบรนด์ ถ้าเป็นการวัดมูลค่าโดยใช้ความรู้สึกหรือการตัดสินใจของตัวบุคคลอาจทำให้เกิดปัจจัยหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อมูลค่านั้น แต่หากเป็นการวัดมูลค่าในเชิงปริมาณ ซึ่งใช้หลักการตลาด การเงิน และการบัญชี มาบูรณาการ และได้มูลค่าแบรนด์ที่เป็นตัวเงินคงจะพอทำให้เห็นภาพได้ว่าแบรนด์นี้แข็งแกร่งเพียงใด
เช่นเดียวกับ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ หรือ BEM ผู้ให้บริการทางพิเศษและรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินและสายสีม่วง ที่ล่าสุดคว้ารางวัล Thailand’s Top Corporate Brand 2023 มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุดด้วยมูลค่า 89,418 ล้านบาท ในหมวดธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 จากเวที “ASEAN and Thailand’s Top Corporate Brands” จัดขึ้นโดยหลักสูตรปริญญาโท ด้านการจัดการแบรนด์และการตลาด ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและสื่อในเครือผู้จัดการ
อัลวิน จี รองกรรมการผู้จัดการ BEM เผยว่า บริษัทให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลกิจการที่ดีและผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม พร้อมส่งมอบบริการที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ขณะเดียวกันยังมีกิจกรรมที่สร้างความสุขให้กับการเดินทางของผู้ใช้บริการ 3 ด้าน นั่นคือ Happy Journey : Health & Safety เน้นเรื่องสุขภาพและความปลอดภัย, Happy Living Society : Society and communities อยู่ร่วมกับสังคมและชุมชนรายรอบเส้นทางอย่างมีความสุข และ Happy Planet : Environment and Climate Action กิจกรรมที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ โดยกิจกรรมเหล่านี้ถูกออกแบบให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่พนักงานผู้เป็นต้นทางของความสุข เพื่อมอบความสุข ความปลอดภัยในการเดินทางแบบไม่สิ้นสุด
แพทย์เผยห้ามทำ 3 สิ่งนี้หลังเพิ่งกินอิ่มเด็ดขาด!! เหมือนตายผ่อนส่ง อาจทำหลอดเลือดสมองอุดตัน เสียชีวิตแบบไม่คาดคิด
จาง ชายชาวจีนวัย 49 ปี ที่สุขภาพแข็งแรงดี แต่อยู่ๆ ก็หลอดเลือดสมองอุดตัน เสียชีวิตชนิดช็อกคนในครอบครัวและเพื่อนๆ สาเหตุเพราะหลังกินอิ่ม ชอบทำ 3 สิ่งนี้เป็นประจำ ซึ่งแพทย์เผยว่า ไม่ต่างจากการค่อยๆ ฆ่าตัวเองไปทีละน้อย
หลังกินอิ่มทุกมื้ออาหาร นายจางจะทำ 3 สิ่งนี้เป็นประจำ ทำให้เขาตายผ่อนส่งแบบไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาเป็นคนสุขภาพดี ไม่เคยป่วยเลย
วันที่นายจางเสียชีวิต หลังกินมื้อเย็นเสร็จ เขาไปนอนดูทีวีบนโซฟา 10 นาทีผ่านไป นายจางบ่นว่ารู้สึกจุกมาก คลื่นไส้ และเวียนหัวด้วย จึงลุกขึ้นไปเดินย่อยอาหาร อีกไม่นานมีเสียงดังจากชั้น 2 ภรรยาและลูกรีบวิ่งขึ้นไปดู ก็พบว่านายจางนอนอยู่บนพื้น ปากเบี้ยว พูดไม่ได้ ครอบครัวจึงรีบเรียกรถพยาบาลทันที แต่ระหว่างทางไปโรงพยาบาล นายจางได้เสียชีวิต เนื่องจากหลอดเลือดสมองอุดตัน
นายแพทย์หลี่ แห่งโรงพยาบาลกลางจูโจว เผยว่าหลังมื้ออาหาร มีคนจำนวนมากที่ไม่ได้สนใจว่า ควรทำหรือไม่ควรทำอะไร เหมือนเช่นนายจางที่ปกติก็เป็นคนสูบบุหรี่ เครียดเพราะงาน และชอบกินของมันอยู่แล้ว แถมไม่เคยตรวจสุขภาพประจำปีเลย แม้จะดูสุขภาพดี แต่เขามักจะหลงๆ ลืมๆ และเวียนหัวเป็นประจำ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ
ทั้งนี้ นายแพทย์หลี่เตือนว่า หลังมื้ออาหาร ร่างกายต้องใช้พลังงานส่วนใหญ่ไปย่อยอาหาร ทำให้ความต้องการเลือดของกระเพาะและลำไส้เพิ่มขึ้น หากทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะหลอดเลือดสมองอุดตัน จึงควรหลีกเลี่ยงการทำ 3 สิ่งนี้ทันทีหลังกินอิ่ม นั่นคือ..
ห้ามนอนหลังกินอิ่ม : เพราะจะไปขัดขวางการย่อยอาหาร การนอนทันทีจะทำให้การไหลเวียนเลือดไปยังสมองลดลง อาจทำให้เวียนหัวและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดสมองอุดตัน โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง
ออกกำลังกายอย่างหนักหลังกินอิ่ม : บางคนคิดว่าการออกกำลังกายจะช่วยย่อยอาหาร แต่ถ้าทำมากเกินไปอาจส่งผลเสีย การออกกำลังกายอย่างหนักหลังกินอิ่ม จะทำให้การย่อยอาหารไม่ดี และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดสมองอุดตัน
สูบบุหรี่หลังมื้ออาหาร : มีหลายคนที่มีนิสัยสูบบุหรี่หลังอาหาร แต่นั่นเป็นอันตรายอย่างมาก นิโคตินจะทำให้หลอดเลือดตีบ เพิ่มความเสี่ยงต่อการอุดตันของหลอดเลือด และภาวะหลอดเลือดสมองอุดตัน นอกจากนี้ยังทำให้ร่างกายดูดซับสารพิษเร็วขึ้น เป็นอันตรายต่อระบบหัวใจและสมองอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมอื่นๆ ที่ควรหลีกเลี่ยงหลังมื้ออาหาร เช่น การอาบน้ำ การเข้านอนทันที ดื่มชา ดื่มน้ำมากเกินไป และทำงานที่มีความเครียดสูง.
ที่มาและภาพ : soha, FREEPIK
แม่ลูกสองจากมินเนสโซตาเผยประสบการณ์ล้มป่วยเป็นโรคประหลาดที่ทำให้มีพฤติกรรมเหมือน “แวมไพร์” และไม่สามารถกินอาหารที่มีกระเทียมเป็นส่วนผสมเพราะอาจทำให้เธอแพ้จนเสียชีวิตได้
ฟีนิกซ์ ไนติงเกล คุณแม่วัย 32 ปีจากรัฐมินเนสโซตา สหรัฐอเมริกา ป่วยเป็นโรคที่เรียกว่า Acute intermittent porphyria ซึ่งเป็นโรคเกี่ยวกับระบบเมตาบอลิซึมที่เกิดขึ้นได้ยากมาก โดยจะมีอาการ เช่น ปวดเนื้อตัว ปวดไมเกรน ท้องผูก และอาเจียนติดต่อกันหลายวัน หากได้รับปัจจัยกระตุ้นโรค ส่วนในกรณีของไนติงเกล ปัจจัยกระตุ้นของเธอคืออาการแพ้กำมะถัน ซึ่งเป็นสารที่พบมากในกระเทียม ซึ่งอาจทำให้เธอเสียชีวิตได้ หากกินเข้าไปมากเกินไป
ไนติงเกลให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า คนมักเรียกโรคนี้ว่าโรค “แวมไพร์” หรือโรคผีดูดเลือด ทั้งนี้ ท่านเคาต์แดรกคูลาตัวจริงหรือเจ้าชายวลาดที่ 3 แห่งวาลาเคีย ผู้เป็นต้นแบบของผีดูดเลือดในตำนานโลกตะวันตก ก็มีผู้สงสัยว่าเขาอาจจะป่วยเป็นโรคนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งกลายเป็นที่มาของลักษณะเฉพาะตัวของแวมไพร์ที่จะต้องเกลียดกระเทียมและไม่ชอบแสงอาทิตย์
ไนติงเกลอธิบายว่าเป็นเพราะผู้ป่วยโรคนี้ต้องหลีกเลี่ยงการกินกระเทียมและการโดนแสงแดดจัด ส่งผลให้ผู้ป่วยมักมีสีผิวซีดขาวและมีปัญหาเหงือกร่น นอกจากนี้ ผลข้างเคียงของโรคต่อระบบประสาททำให้คนภายนอกเชื่อว่าผู้ป่วยโรคนี้เป็นตัวประหลาดหรือโดนผีสิง
ไนติงเกลจำต้องงดเว้นอาหารใด ๆ ที่มีกำมะถัน เพราะหากเธอเผลอกินเข้าไปในปริมาณมากและกินต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ อีกทั้งอาการป่วยของเธอบางครั้งก็ไม่มีที่มาที่ไป ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ไนติงเกลจึงกินได้แต่อาหารที่เธอมั่นใจว่าปลอดภัย แม้กระทั่งยาบางชนิด เธอก็กินไม่ได้ด้วยซ้ำ
คุณแม่ยังสาวบรรยายถึงอาการที่กำเริบอย่างร้ายแรงเจียนตายที่เธอเคยประสบมาว่า เธออาเจียนอย่างหนักติดต่อกัน 2 วัน บางช่วงก็อาเจียนอย่างต่อเนื่องถึง 60 ครั้ง รวมทั้งมีอาการหายใจไม่ออก
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ไนติงเกลเจออาการกำเริบมากแล้ว 480 ครั้งเป็นอย่างน้อย ระหว่างที่เธอพยายามหาหนทางรักษามาตลอดระยะเวลายาวนานหลายสิบปี จนกระทั่งเพิ่งได้คำตอบเมื่อปีที่แล้วว่าตัวเองป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่ ความเจ็บปวดที่เธอต้องเผชิญในแต่ละครั้งนั้นไม่สามารถใช้ยาช่วยบรรเทาอาการได้
โรคของไนติงเกลทำให้เธอไม่สามารถกินกระเทียมได้ เพราะอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
โรคของไนติงเกลทำให้การออกไปรับประทานอาหารตามร้านนอกบ้านกลายเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเธอ เพราะเธอไม่รู้ว่าอาหารอะไรที่เธอกินได้อย่างปลอดภัย เนื่องจากกระเทียมเป็นส่วนผสมยอดนิยมในอาหารหลายเมนู เธอจึงกินได้แต่อาหารจานเดิม ๆ นอกจากนี้เธอยังหลีกเลี่ยงการกินองุ่นแดง ถั่วเหลือง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และกาแฟ
สาวผู้ป่วยเป็นโรคประหลาดนำประสบการณ์ส่วนตัวมาเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้รับรู้ โดยหวังว่าจะได้ทำให้คนรู้จักโรคนี้มากขึ้น รวมถึงคนที่ป่วยเป็นโรคนี้ แต่ยังตรวจไม่พบว่าตัวเองเป็นโรคอะไรกันแน่ จะได้มีข้อมูล เพราะยังมีผู้คนอีกไม่น้อยที่ต้องทนทุกข์อยู่กับโรคนี้และโดนมองว่าเป็นคนบ้า ไม่ใช่คนป่วย
ที่มา : nypost.com...
เพราะเล็งเห็นความสำคัญของ “พลัง” คนรุ่นใหม่ ในการเข้ามาร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลง เพื่อปกป้อง ฟื้นฟู และอนุรักษ์ทรัพยากร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. จัดการประกวดนวัตกรรมอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล ครั้งที่ 3 ในโครงการ PTTEP Teenergy ปีที่ 9
ในปีนี้ ผลงานของน้องๆ ที่โดดเด่นจากทั้ง 3 หัวข้อการประกวด ได้แก่ “Protect” การปกป้องท้องทะเลจากภัยคุกคามต่างๆ “Preserve” การอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และ “Provide” การสร้างโอกาสเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน นำมาต่อยอดพัฒนาเป็นงานที่นำไปประยุกต์ใช้งานได้จริงในอนาคตเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล
ผลงานแรก “ทุ่นดูดซับน้ำมัน (Greasy Gulp) ด้วยเทคโนโลยี Superhydrophobic membranes” โดย นายหัฐกร ปะรักกมานนท์ หรือ น้องเจเจ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ตัวแทนจากทีม Greasy Gulp กล่าวว่าจากปัญหาคราบน้ำมันบริเวณป่าชายเลนในพื้นที่จ.สมุทรสาคร ทีมจึงคิดค้นทุ่นดูดซับน้ำมันและคราบไขมันที่มีแผ่นกรอง (Filter) ผลิตจากดอกธูปฤๅษี วัชพืชที่มีคุณสมบัติไม่ชอบน้ำ และยังเป็นสารไม่มีขั้ว ทำให้ยึดจับกับสารในกลุ่มน้ำมันและไขมันได้ดี ช่วยกรองและกักเก็บน้ำมันไว้ในทุ่นที่สร้างมาจากขยะพลาสติก หลังได้รับรางวัล ทีมพัฒนาผลงานโดยปรับขนาดของตัวทุ่นเพื่อให้รองรับน้ำมันและไขมันได้มากขึ้น พร้อมปรับแผ่นกรองให้ซึมซับได้ดียิ่งขึ้น พัฒนาฝาทุ่นให้มีรูร้อยเชือก เพื่อยึดให้ทุ่นอยู่กับที่และต้านแรงคลื่นได้ ติดตั้งวัสดุถ่วงลูกทุ่นแบบปรับน้ำหนักได้เพื่อให้ทุ่นลอยตัวทั้งในน้ำทะเลและแหล่งน้ำจืดต่างๆ
ผลงานต่อมา “ระบบติดตามและระบุตำเเหน่งตามเวลาจริงของเรือประมงพื้นบ้าน” นายฐาพล ชินกรสกุล หรือ น้องซัน นิสิตชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตัวแทนทีม MARINE-COMM เล่าว่าอยากช่วยเหลือชาวประมงที่มีเรือขนาดเล็กและยังไม่มีระบบติดตามที่ช่วยระบุตำแหน่งและบันทึกการเดินเรือ โดยใช้พลังงานต่ำและราคาถูก หลังจากได้รับรางวัล ได้พัฒนาตัวจำลองต้นแบบ (Prototype) ของเครื่องติดตามให้มีขนาดเล็กลง เพื่อเพิ่มความสะดวกในการติดตั้งและใช้งาน ส่วนซอฟต์แวร์พัฒนาให้ระบบตอบสนองต่อการระบุตำแหน่งให้แม่นยำยิ่งขึ้น ผ่านแอปพลิเคชั่นเก็บข้อมูลตำแหน่งการทำประมง มีระบบยืนยันตัวตนผู้ใช้งานเพื่อป้องกันความเป็นส่วนตัวที่สามารถควบคุมระดับการแบ่งปันข้อมูลได้ตามความสมัครใจ
ปิดท้ายที่ผลงาน “ช้อนย่อยสลายได้ทางชีวภาพจากสารสกัดสาหร่าย” น.ส.วิสสุตา ฉัตรจิรโรจน์ หรือ น้องวิว นักศึกษาชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยมหิดล ตัวแทนทีมแก๊งลูกหมู กล่าวว่า ทีมคิดค้นช้อนโดยใช้สารสกัดจากสาหร่ายซึ่งย่อยสลายได้รวดเร็ว นำมาผสมกับแป้งข้าวหอมมะลิไทยและแป้งสาลีเพื่อขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ หลังจากได้รับรางวัลจึงพัฒนา แม่พิมพ์ขึ้นใหม่ ให้มีรูปแบบที่หลากหลายขึ้น ใช้รับประทานได้ทั้งอาหารคาวและหวาน ทนความร้อนได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังพัฒนาสูตรและกระบวนการผลิตโดยใช้สาหร่ายพวงองุ่นอบแห้ง จากวิสาหกิจชุมชนอาหารทะเลแปรรูปบ้านพะเนิน จ.เพชรบุรี ช่วยลดขยะอาหาร เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ และสร้างรายได้ให้ชุมชน...