ครบเครื่อง
ญ. อมตะ
ครบเครื่อง ญ. อมตะ 8 สิงหาคม 2563

เดินหน้าปลดล็อกกัญชาเสรี

ครม.เดินหน้าปลดล็อกกัญชาเสรี ขยายวงให้ผู้ป่วย หมอพื้นบ้าน แพทย์แผนไทย เกษตรกรที่ร่วมกับผู้ได้รับอนุญาตผลิตสมุนไพร สามารถได้รับใบอนุญาตให้ผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือ มีกัญชาไว้ในครอบครองได้

4 ส.ค.63 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ(ฉบับที่..)พ.ศ. .... ตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ ซึ่งเป็นการแก้ไขกฎหมายฉบับเดิมที่ใช้เมื่อปี 2562 ฉบับใหม่ที่แก้ไขนี้มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ผู้ป่วยที่ ได้รับการรับรองจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์หรือหมอชาวบ้าน ผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิตด้านเกษตรกรรมและเกษตรกรที่ดำเนินการผลิตภายใต้ความร่วมมือกับผู้รับอนุญาตผลิตซึ่งยาหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพร และบุคคลอื่นตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษกำหนด สามารถได้รับใบอนุญาตให้ผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 หรือกัญชาได้ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของประชาชนที่ต้องการใช้กัญชาเพื่อรักษาโรค และปัญหาการพัฒนาองค์ความรู้และต่อยอดกัญชาทางการแพทย์

ทั้งนี้กฎหมายเดิม ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการปลดล็อกกัญชานั้น กำหนดให้เฉพาะหน่วยงานของรัฐ หรือผู้ขออนุญาต ที่ต้องดำเนินการร่วมกับหน่วยงานของรัฐเท่านั้นจึงจะสามารถขออนุญาตผลิต นำเข้า หรือส่งออกได้ ส่งผลให้การพัฒนาองค์ความรู้และการต่อยอดกัญชาทางการแพทย์อยู่ในวงจำกัด ขณะที่ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ และหมอพื้นบ้าน ไม่สามารถขออนุญาตปลูกกัญชาเพื่อนำมาปรุงยาตำรับที่มีกัญชาเป็นส่วนผสมสำหรับคนไข้ได้ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้เปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่าง กฎหมายฉบับใหม่นี้ไปเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันในกฎหมายฉบับนี้ยังกำหนดเกี่ยวกับกระบวนการเก็บรักษาและทำลายยาเสพติดให้โทษของกลาง โดยกำหนดให้ กรณีที่มีการยึดหรือริบยาเสพติดให้โทษ เมื่อได้มีการตรวจชนิดและปริมาณแล้วว่าเป็นยาเสพติดให้โทษ ให้กระทรวงสาธารณสุขหรือผู้ที่กระทรวงสาธารณสุขมอบหมาย สามารถทำลายหรือนำยาเสพติดดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ได้ ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาการเก็บรักษายาเสพติดของกลางไว้เป็นเวลานาน ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณและสถานที่เก็บรักษา

ทั้งนี้หลังจากครม.อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้แล้ว จะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

วิธีเวฟไข่ในไมโครเวฟ ทำอย่างไรลดเสี่ยงไข่ระเบิด

แค่เห็นภาพข่าวก็ขนลุก กรณีสาวต้มไข่ในไมโครเวฟ พอนำออกมาระเบิดลวกใส่หน้าจนปวดแสบปวดร้อน จริงๆ เรื่องการต้มไข่ในไมโครเวฟนั้น เป็นสิ่งที่ไม่แนะนำให้ทำกันอยู่แล้ว เนื่องจากจะทำให้เกิดการระเบิดได้ แต่บางคนแนะนำให้เหยาะเกลือประมาณ 1 ช้อนโต๊ะลงไปในน้ำก่อนที่จะนำไข่ไปต้มเพื่อป้องกันไม่ให้ไข่ระเบิด แต่เราก็ยังไม่อยากแนะนำ หรือให้ลองเสี่ยง

หรือบางคนนำไข่ต้มสุกไปอุ่นร้อนด้วยไมโครเวฟอีกครั้งนั่นก็ทำให้เกิดการระเบิดได้เช่นกัน นั่นเป็นเพราะความร้อนในการอุ่นอาหารด้วยไมโครเวฟ จะทำให้โมเลกุลของน้ำในไข่ต้มสั่นสะเทือนกลายเป็นพลังงานความร้อน ทำให้ถุงน้ำภายในไข่แดงมีอุณหภูมิสูงและมีความดันมากขึ้น โดยที่ไม่สามารถระบายออกได้ภายใต้เปลือกไข่ เมื่อถุงน้ำที่มีความร้อนสูงถูกรบกวนจากอุปกรณ์ที่เจาะเข้าไป ถุงน้ำเดือดทั้งหมดภายในไข่แดงก็พร้อมที่จะระเบิดทันที ซึ่งเป็นเหตุให้บางครั้งเมื่อนำไข่ออกมาจากไมโครเวฟแล้ว หากนำอะไรไปเจาะ หรือกระทบไข่จึงระเบิดในเวลาต่อมา

ดังนั้นเราขอแนะนำวิธีที่คุณสามารถเวฟไข่ในไมโครเวฟได้อย่างปลอดภัย ไม่ระเบิดใส่หน้า ซึ่งมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

เวฟไข่แบบแยกไข่ขาว กับไข่แดง

• ทาก้นภาชนะที่จะใส่ไข่ด้วยเนย มาการีน หรือน้ำมันพืช เน้นว่าทาแค่บางๆ พอ

• ตอกไข่ และแยกไข่ขาวกับไข่แดงออกจากกัน ใส่ไข่ขาวกับไข่แดงแยกกันคนละถ้วย หรือบางคนอาจคิดว่ายุ่งยาก ให้เทรวมกันแล้วเวฟพร้อมกัน แต่ไข่ขาวกับไข่แดงจะสุกในเวลาที่ไม่เท่ากัน

• ใช้ส้อม หรือมีดเจาะไข่แดงก่อนนำไปเวฟ เพราะแม้จะแยกไข่แดง กับไข่ขาวออกจากกันแล้ว แต่เยื่อหุ้มไข่แดงเมื่อโดนความร้อนจัดอาจทำให้ปะทุออกมาได้

• ใช้พลาสติก Wrap บริเวณปากภาชนะที่จะนำไข่ไปอุ่น (โดยต้องเลือกพลาสติกที่สามารถนำไปใช้กับไมโครเวฟได้เท่านั้น)

• สำหรับการเวฟไข่ขาวนั้นให้ใช้ความแรงแบบปานกลาง หรือแบบต่ำ และให้หยุดเวฟก่อนไข่ขาวจะสุก เนื่องจากเมื่อนำไข่ขาวออกมาจากไมโครเวฟแล้ว ความร้อนด้านในยังคงอยู่ ซึ่งจะช่วยทำให้ไข่สุกต่อไปได้ ( ไข่ขาว 1 ฟองใช้เวลาแค่ไม่ครึ่งนาที- 1 นาทีเท่านั้นพอ)

• หากเวฟไข่แดงให้นำภาชนะที่ใส่ไข่แดงเข้าไปเวฟในอุณหภูมิเช่นเดียวกับการเวฟไข่ขาว แต่ใช้เวลาสั้นกว่า เพราะใช้เวลาไม่เกินครึ่งนาทีก็เพียงพอ แต่ถ้าต้องการเวฟไข่แดงหลายๆ ฟองให้หยุดเวฟทุกๆ ครึ่งนาที

แม้จะมีการแนะนำเทคนิคต้มไข่ในไมโครเวฟหลายๆ วิธี แต่ก็ยังมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องระมัดระวังไม่ให้ไข่ระเบิด ดังนั้นหากใครต้องการความปลอดภัย เราแนะนำให้คุณปรุงไข่แบบแยกเวฟไข่ขาว และไข่แดงแทนจะปลอดภัยกว่า

10 ทริคจัดหิ้งพระในบ้านอย่างไรให้เป็นสิริมงคลกับเจ้าของ

บ้านแต่ละหลังย่อมมีหิ้งพระ หรือมากกว่านั้นอาจจะมีหิ้งเทพ หิ้งรูปบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ แต่ก็ยังพบปัญหาว่าหลายคนไม่ทราบว่าควรจัดวาง ตั้งหิ้งพระไว้บริเวณใดของบ้านถึงเหมาะสมและเป็นมงคลกับชีวิต รวมถึงอาจเผลอวางหิ้งพระผิดที่ผิดทางจนเกิดความไม่เป็นมงคลได้ Sanook! Home เลยรวบรวมคำแนะนำเรื่องการจัดหิ้งพระให้เหมาะสมและเป็นมงคลต่อเจ้าของบ้าน

การจัดหิ้งพระในบ้านอย่างไร ให้เป็นสิริมงคลกับเจ้าของบ้าน

1. หมั่นดูแลหิ้งพระให้สะอาดอยู่เสมอ หลายจุดในบ้านเจ้าของบ้านให้ความสำคัญแต่บางครั้งหลงลืมตำแหน่งของหิ้งพระ ดังนั้นต้องหมั่นเช็ดทำความสะอาดองค์พระหรือรูปเทพ เพราะหากองค์พระหรือรูปเทพมีฝุ่นจับเชื่อว่าจะทำให้คนในบ้านเจ็บป่วย นอกจากนั้นควรหมั่นเปลี่ยนน้ำ ดอกไม้ในแจกันบูชาเพื่อให้ชีวิตของคนในบ้านสดชื่น แจ่มใสอยู่ตลอดเวลา

2. เลือกตำแหน่งที่สงบ หิ้งพระควรตั้งอยู่ในพื้นที่ๆ สงบ ไร้เสียงรบกวน จอแจ เช่นบางบ้านประดับหิ้งพระไว้บริเวณประตูเข้า-ออก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าคนในบ้านจะพบแต่ความวุ่นวาย

3. หิ้งพระไม่ควรติดตั้งผนังเดียวกับห้องน้ำหรือห้องครัว รวมถึงไม่ควรหันหน้าหิ้งบูชาไปตรงกับประตูห้องน้ำหรือห้องครัว เพราะจะทำให้คนในบ้านเจ็บป่วย มีเรื่องขัดแย้งหรือเงินทองรั่วไหล

4. หิ้งพระบนหลังตู้ควรสูงกว่าศีรษะ หากคุณพักอาศัยในคอนโดมิเนียม อพาร์ทเมนท์หิ้งพระควรอยู่สูงกว่าศีรษะเพราะมันเกี่ยวพันกับความเจริญก้าวหน้า อาชีพการงาน

5. ห้องพระคือห้องพระ ห้องพระก็คือห้องสำหรับตั้งบูชาพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว เราอย่าใช้ห้องพระไว้เก็บข้าวของชนิดอื่นๆ รวมทั้งห้องพระไม่ควรอยู่ติดกับห้องน้ำหรือมีประตูตรงกับห้องน้ำ

6. หิ้งพระไม่ควรตั้งอยู่ปลายเตียง หากไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ควรตั้งหิ้งบูชาไว้ในห้องนอน เนื่องจากเราอาจมีกิจกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อหน้าหิ้งพระเช่นการเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือการร่วมหลับนอนของคู่สามี-ภรรยา อีกทั้งยังไม่ควรหันหน้าหิ้งพระไปยังทิศที่เตียงตั้งอยู่ด้วย

7. ห้องรับแขกไม่ใช่ที่ตั้งของหิ้งบูชา อย่างที่บอกว่าหิ้งพระควรตั้งอยู่ในห้องที่ค่อนข้างมีบรรยากาศสงบ

8. บนหิ้งพระควรมีองค์พระหรือองค์เทพเป็นจำนวนเลขคี่

9. หลีกเลี่ยงการตั้งหิ้งบูชาไว้ใต้คาน เพราะหมายถึงดวงชะตาของเจ้าของบ้านอาจถูกกดทับ และมักมีเรื่องให้ปวดหัวอยู่เสมอ

10. หิ้งพระควรตั้งอยู่ในมุมที่เป็นสัดส่วน ไม่ใช่เมื่ออยู่นอกบ้านแล้วสามารถมองเห็นหิ้งพระในบ้านอย่างชัดเจน เช่นนั้นถือว่าไม่ดี นอกจากนี้ยังมีทิศต้องห้ามไม่ให้เจ้าของบ้านตั้งหิ้งพระอีกด้วย มาดูกันว่าคุณเกิดปีไหนและห้ามไม่ให้ตั้งหิ้งพระตรงไหน


เจ้าของบ้านเกิดปีไหนและห้ามไม่ให้ตั้งหิ้งพระตรงไหน

1. เจ้าของบ้านเกิดปีชวด ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศเหนือ เพราะจะส่งผลให้เจ้าบ้านเกิดอันตราย จนอาจถึงขั้นเสียชีวิต

2. เจ้าของบ้านเกิดปีฉลู ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จะส่งผลให้เจ้าบ้าน เกิดการเจ็บป่วยอย่างกะทันหัน

3. เจ้าของบ้านเกิดปีขาล ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จะส่งผลให้ผู้หญิงและสมาชิกในครอบครัวเกิดอันตราย

4. เจ้าของบ้านเกิดปีเถาะ ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาไปทางทิศตะวันออก จะส่งผลให้เกิดความสูญเสียคนในบ้านจะเสียชีวิต

5. เจ้าของบ้านเกิดปีมะโรง ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออก จะส่งผลให้คนในบ้านเกิดการเสียหายทั้งชายและหญิง

6. เจ้าของบ้านเกิดปีมะเส็ง ห้ามตั้งหิ้งพระบูชา หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพราะจะส่งผลให้คนในครอบครัวมีความยุ่งยากที่สุดจนหาความสงบสุขไม่ได้

7. เจ้าของบ้านเกิดปีมะเมีย ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศใต้ จะส่งผลให้เกิดเรื่องราวอัปมงคลขึ้นภายในบ้าน

8. เจ้าของบ้านเกิดปีมะแม ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพราะจะส่งผลให้ครอบครัว เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นอย่างไม่คาดฝัน

9. เจ้าของบ้านเกิดปีวอก ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เพราะจะส่งผลให้เกิดเรื่องร้าย ๆ กับสมาชิกเพศชายในครอบครัว

10. เจ้าของบ้านเกิดปีระกา ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเพราะ จะทำให้ความทุกข์โศกมาเยือนครอบครัวจนต้องร้องให้อยู่เสมอ

11. เจ้าของบ้านเกิดปีจอ ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เพราะจะส่งผลร้ายให้สมาชิกในครอบครัวอย่างมาก ถึงขั้นเสียชีวิตได้

12. เจ้าของบ้านเกิดปีกุน ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเพราะจะส่งผลให้เกิดเรื่องร้าย ๆ ในครอบครัวอยู่ตลอด เสียเงินเสียทองขึ้นโรงขึ้นศาล

ได้หลักการจัดหิ้งพระแบบง่ายๆ กันไปแล้ว ก็ลองตรวจเช็คดูนะคะว่าเราวางถูกต้องแล้วหรือยัง

ขอบคุณข้อมูลจาก amulet zazana

ภาพจาก www.istockphoto.com

7 ประโยชน์ของ "มังคุด" ราชินีผลไม้ ต้านมะเร็งลำไส้-ต่อมลูกหมาก

“มังคุด” เป็นผลไม้ที่คนไทยคุ้นเคยและอาจเป็นของโปรดของหลายคนอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อได้ทราบว่ามังคุดอุดมไปด้วยสารอาหารและวิตามินมากขนาดไหน คำว่า “ราชินีผลไม้แห่งเอเชีย” และ “อาหารของเหล่าทวยเทพ” ในเขตแคริบเบียนของฝรั่งเศส คงไม่ใช่คำเปรียบเปรยที่เกินเลย เพราะในมังคุดลูกเล็กๆ นี้มีสารอาหารมากมายที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

7 ประโยชน์ของ “มังคุด”

1. มังคุดมีวิตามินซีที่ช่วยย่นระยะเวลาในการเป็นไข้หวัดให้หายเร็วขึ้น เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกาย และลดความเสี่ยงโรคลักปิดลักเปิด (เลือดออกตามไรฟัน)

2. มังคุดมีวิตามินบีคอมเพล็กซ์ (บี 1 ไนอะซิน) ที่ช่วยในการเผาผลาญพลังงาน และช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น

3. มังคุดมีโฟเลตที่ดีต่อหญิงตั้งครรภ์ เพราะช่วยป้องกันการพิการแต่กำเนิดในทารก ช่วยในการสร้างน้ำนมของมารดาหลังคลอด และยังช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย

4. มังคุดมีใยอาหารจำนวนมาก ที่ช่วยการทำงานของระบบขับถ่าย และลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับลำไส้ต่างๆ

5. งานวิจัยพบว่า สารสกัดจากมังคุดมีฤทธิ์ต้านการลุกลามของมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมาก

6. เปลือกมังคุดก็ยังอุดมไปด้วยสารพฤกษเคมีแซนโทน (Xanthone) จึงมักมีผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากเปลือกมังคุดผสมอยู่ในอาหารและเครื่องดื่มเสริมสุขภาพ

7. มังคุดมีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยต้านการอักเสบ

ข้อควรระวังในการรับประทานมังคุด

มีบางคนเคยได้ยินว่าให้รับประทานมังคุดนึ่งเพื่อเป็นยารักษาโรคต่างๆ โดยเป็นการนำเอาสารอาหารจากเปลือกมังคุดให้แทรกซึมเข้าไปในเนื้อมังคุดมากขึ้น และอันที่จริงแล้วหากรับประทานสารสกัดเปลือกมังคุดในขนาดสูง อาจมีกระทบต่อการทำงานของตับและไตได้ นอกจากนี้อาหารเสริมที่มีส่วนประกอบของสารสกัดจากเปลือกมังคุดยังอาจส่งผลต่อการทำงานของตับและไตได้เช่นกัน ดังนั้นผู้ที่มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคตับ ไต รวมถึงเบาหวาน และโรคอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานอาหารเสริมจากมังคุด

ส่วนมังคุดสด ไม่ควรรับประทานมากจนเกินไป ควรสลับรับประทานกับผลไม้ และอาหารอื่นๆ เพื่อให้ได้สารอาหารที่หลากหลาย และเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

ขอขอบคุณ

ข้อมูล :หนังสือ "มหัศจรรย์อาหารชะลอวัย" โดย ศัลยา คงสมบูรณ์เวช ของสำนักพิมพ์อัมรินทร์

ภาพ :iStock

ไขความลับแหล่งที่มาของหินสโตนเฮนจ์

สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) เป็นสิ่งมหัศจรรย์ยุคหินใหม่ ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของอังกฤษ แต่นักโบราณคดียังไม่อาจไขความกระจ่างได้แน่ชัดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อันลึกลับของกลุ่มหินทรายก้อนยักษ์ที่สูงตระหง่านเหล่านี้ว่าพวกมัน สร้างขึ้นได้อย่างไร จุดประสงค์ในการสร้างคืออะไร และแหล่งที่ของหินนั้นมาจากไหนกันแน่

ล่าสุด ทีมวิจัยนำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยไบรก์ตัน ได้คิดค้นเทคนิคใหม่วิเคราะห์หินซาร์เซน (sarsens) ที่สูงถึง 9 เมตร น้ำหนักมากถึง 30 เมตริกตัน ในกลุ่มหินสโตนเฮนจ์ ด้วยการใช้อุปกรณ์แมสส์ สเปกโตรเมตรี และเครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของหินที่เป็นซิลิกา 99% แต่ก็มีร่องรอยขององค์ประกอบอื่นๆรวมอยู่ด้วย จากนั้นก็จะเปรียบเทียบลักษณะองค์ประกอบในหินกับแหล่งที่มาที่เป็นไปได้ 20 แห่ง จนสามารถระบุได้ถึงแหล่งที่มาของหินยักษ์ซาร์เซน

ทีมเฉลยว่า หินเหล่านี้อยู่ในป่าเวสต์วูดส์ห่างออกไป 25 กิโลเมตร ซึ่งการค้นพบนี้ช่วยกระตุ้นทฤษฎีที่ว่าแท่งหินขนาดใหญ่ (megaliths) ถูกนำมาที่สโตนเฮนจ์ในเวลาเดียวกันเมื่อประมาณ 2,500 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นช่วงที่ 2 ของการก่อสร้างอนุสาวรีย์หินสโตนเฮนจ์นั่นเอง ส่วนคนในยุคนั้นจะขนส่งหินมาอย่างไร หรือจุดประสงค์สำคัญ ของกลุ่มหินโบราณแห่งนี้ ก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป.