ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



ครบเครื่อง ญ.อมตะ 22 พฤษภาคม 2564

เครียดมากทำไงดี เปิดทริค 4 วิธีผ่อนคลายความคิด ลดความกังวล

วิธีแก้เครียด ผ่อนคลายภาวะคิดมาก ลดความวิตกกังวลอย่างเกิดผล สามารถนำวิธีการดังกล่าวไปแนะนำกับคนใกล้ชิด หรือลูกหลานวัยเรียนได้ด้วย เพราะความเครียด ภาวะคิดมาก และโรควิตกกังวลสามารถเกิดขึ้นกับบุคคลช่วงวัยใดหรือเพศใดก็ได้ ไม่ใช่เฉพาะผู้ใหญ่อย่างเดียว

1.ปรับปรุงความสมดุล

การที่ระบบต่างๆ ภายในร่างกายและฮอร์โมนขาดความสมดุลนั้น ถือเป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดความเครียดได้เหมือนกัน วิธีการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน จึงเป็นวิธีการสำคัญอันดับต้นๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความเครียด ผ่อนคลายภาวะคิดมาก ลดความวิตกกังวลได้อย่างเกิดผล

เราทุกคนควรปฏิบัติตามวิธีดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานเป็นประจำ ได้แก่ ดูแลรักษาร่างกายและข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวให้สะอาด แปรงฟันทุกวันอย่างถูกต้อง กินอาหารสุกสะอาด ปราศจากสารอันตราย หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารสีฉูดฉาด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกๆ ปี

2.ยอมรับความเครียด

ความเครียดเป็นภาวะอารมณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยใดก็ตาม การที่เรารู้สึกเครียด คิดมาก หรือวิตกกังวลกับเรื่องบางเรื่อง ทั้งๆ ที่คนอื่นรอบตัวไม่ได้มาเครียดเรื่องเดียวกับเรา ถือเป็นเรื่องปกติมากๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย

ฉะนั้นแล้ว อย่าพยายามเก็บกดอารมณ์เครียดๆ เอาไว้ ไม่จำเป็นต้องพยายามคิดบวกว่า “เราไม่เครียดๆ” และยอมรับกับตัวเองไปตรงๆ เลยว่า “เรากำลังเครียดเรื่องนี้อยู่นะ” เพื่อให้ตัวเราเองตระหนักรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และหาทางแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด

3.ค้นหาความผิดพลาด

เมื่อเรารู้แล้วว่าเรามีปัญหาและต้องแก้ไขปัญหาให้ได้ สิ่งที่เราจำเป็นต้องทำเป็นลำดับถัดมาก็คือค้นหาที่มาของความผิดพลาด เช่น เราเครียดเพราะถูกเรียกไปตักเตือนเรื่องประสิทธิภาพในการทำงานถดถอยอย่างเห็นได้ชัด

เราค้นหาความผิดพลาดแล้วพบว่า เราอดหลับอดนอนดูซีรีส์ จนไม่มีสติสตังเวลาทำงาน ต้องทำงานแบบเบลอๆ ไปตลอดทั้งวัน เป็นเหตุให้ประสิทธิภาพในการทำงานด้อยลง และถูกเรียกไปตักเตือนในที่สุด การที่เรามีความพยายามที่จะแก้ไขสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น โดยไม่ก่นด่าความผิดพลาดของตัวเองอยู่ร่ำไป นับเป็นการเคารพและให้เกียรติตัวเองทางหนึ่ง ซึ่งจะนำมาซึ่งหนทางสู่การพัฒนาตนเองลำดับถัดไป

4.ซ่อมแซมความรู้สึก

หลังจากที่ยอมรับความเครียดที่เกิดขึ้นได้ รวมถึงค้นหาความผิดพลาดของตัวเองเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ควรทำเป็นลำดับถัดมา คือการซ่อมแซมความรู้สึกของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติดังเดิม นั่นก็คือการปล่อยวางอดีตที่ผ่านมาให้ได้ เพราะการที่เรายึดติดกับสภาวะอารมณ์ที่ผ่านพ้นไปแล้วในอดีต ไม่ยอมปล่อยวางเสียทีนี่แหละ เป็นจุดอ่อนที่ทำให้หลายๆ คนไม่หลุดพ้นจากความเครียดเสียที

เริ่มซ่อมแซมความรู้สึกของตัวเองด้วยการไม่ยึดติดกับเรื่องราวในอดีต มูฟออนไปข้างหน้า พร้อมที่จะเผชิญกับชีวิตในวันใหม่ หันเหความสนใจไปยังสิ่งใหม่ๆ ให้เวลาตัวเองได้สะสมความรู้สึกดีๆ จากการทำกิจกรรมในแต่ละวัน เพื่อให้ความทรงจำดีๆ และประสบการณ์ดีๆ เหล่านี้ไปอุดรูรั่วทั้งหลายในใจ แล้วภาวะคิดมากทั้งหมดทั้งมวลก็จะค่อยๆ มลายหายไปเอง


ฮือฮา เพนตากอนยันคลิปจริง UFO บินฉวัดเฉวียน ก่อนดำดิ่งใต้ทะเล

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯยืนยัน คลิปจริง UFO บินฉวัดเฉวียนใกล้เรือรบล่องหนของสหรัฐฯ ก่อนดำสู่ใต้ทะเล ด้านอดีต จนท.ทหารเรืออาวุโสสหรัฐฯชี้แสดงให้เห็นเทคโนฯการบิน ก้าวล้ำสหรัฐฯไปไกลนับ 100-1,000 ปี

เมื่อ 18 พ.ค.64 เว็บไซต์ nbcphiladelphia และเดลี่เมล รายงานว่า กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯยืนยันคลิปวิดีโอใหม่ที่หลุดออกสู่สาธารณะเป็นคลิปจริง บันทึกภาพเหตุการณ์สุดระทึก เจ้าหน้าที่ทหารเรือประจำเครื่องบินของกองทัพเรือสหรัฐฯ พบวัตถุบินที่ไม่สามารถระบุอัตลักษณ์ได้ (UFO) รูปร่างทรงกลม สีดำ กำลังบินฉวัดเฉวียนอยู่ใกล้เรือล่องหนของกองทัพสหรัฐฯ ก่อนจะดำลงไปใต้น้ำทะเล ที่บริเวณนอกชายฝั่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่สหรัฐอเมริกา เมื่อ 2 ปีก่อน

เจเรมี คอร์บิน ผู้ผลิตภาพยนตร์สารคดี กล่าวกับ NBCnews เมื่อวันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม ที่ผ่านมาว่า คลิปนี้ถูกบันทึกได้ที่บริเวณนอกชายฝั่งเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อปี 2562 โดยเครื่องบินของกองทัพเรือสหรัฐฯ และคลิปวิดีโอได้ถูกเก็บไว้ที่ศูนย์ข้อมูลการรบของ USS Omaha

คลิปวิดีโอที่สร้างความตื่นตะลึงในการปรากฏตัวของจานบินยูเอฟโอล่าสุดนี้ แสดงให้เห็นว่ามีวัตถุบินได้รูปร่างทรงกลมลำหนึ่งกำลังบินอยู่เหนือผิวน้ำทะเลเป็นเวลาราว 2-3 นาที ใกล้ชายฝั่งเมืองซานดิเอโก ก่อนจะหายลงไปใต้ผิวน้ำทะเล โดยจากคลิปวิดีโอได้ยินคำพูดของเจ้าหน้าที่ทหารว่า ''มันกระแทกน้ำกระเด็น' ขณะที่ยูเอฟโอได้หายไป

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯยืนยันว่าคลิปวิดีโอนี้เป็นคลิปจริงที่บันทึกโดยเจ้าหน้าที่ทหารกองทัพเรือสหรัฐฯ พร้อมกับจะมีการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบปรากฎการณ์ทางอากาศที่ไม่อาจระบุอัตลักษณ์ได้ของกระทรวงกลาโหมต่อไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดนี้ได้ถูกแต่งตั้งขึ้นมาเมื่อปีที่แล้ว เพื่อตรวจสอบรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับวัตถุบินที่ไม่อาจระบุอัตลักษณ์ได้อย่างที่เห็นในคลิปวิดีโอ

ด้านอดีตเจ้าหน้าที่ทหารอาวุโสของสหรัฐฯคนหนึ่งได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับเทคโนโลยีของยูเอฟโอที่ได้เห็นในคลิปนี้ว่า มีความล้ำหน้ากว่าเทคโนโลยีการบินของสหรัฐฯในขณะนี้ นับ 100-1,000 ปีเลยทีเดียว

ทั้งนี้ เจเรมี คอร์เบลล์ ได้แชร์คลิปปริศนานี้ ทางอินสตาแกรม ก่อนที่ต่อมา กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯจะออกมายืนยันคลิปนี้ ว่าถูกบันทึกโดยเจ้าหน้าที่บนเครื่องบินของกองทัพเรือ เมื่อปี 2562.

Cr ภาพ จากคลิป


จีนเป็นชาติที่สองส่งยานลงจอดสำเร็จบนพื้นผิวดาวอังคาร

วันอาทิตย์ ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 : ปักกิ่ง (รอยเตอร์/บีบีซี นิวส์) - ยานหุ่นยนต์สำรวจอากาศของจีนที่ไม่มีลูกเรือ ประสบความสำเร็จในการลงจอดบนพื้นผิวของดาวอังคารในวันนี้ ทำให้จีนกลายเป็นประเทศที่ 2 รองจากสหรัฐฯ ที่สามารถนำยานอวกาศลงจอดบนดาวอังคาร

จีนนำยานหุ่นยนต์สำรวจอวกาศร่อนลงจอดบนพื้นผิวของดาวอังคารได้สำเร็จ โดยยานหุ่นยนต์ 6 ล้อ ที่ชื่อ จูร่ง(Zhurong) ลงจอดบนพื้นที่ที่เรียกว่ายูโทเปียแพลนิเทีย (Utopia Planitia)ภูมิภาคที่กว้างใหญ่ไพศาลทางขั้วเหนือของดาวอังคาร ในช่วงเช้าวันเสาร์ตามเวลาในกรุงปักกิ่ง หุ่นยนต์จูร่ง ถูกส่งไปดาวอังคารด้วยยานเทียนเหวิน-1 ของจีนซึ่งเดินทางเข้าสู่วงโคจรของดาวอังคารได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาและได้ทำการสำรวจบริเวณพื้นที่ที่เรียกว่ายูโทเปียโดยทำการถ่ายภาพที่แสดงให้เห็นจุดปลอดภัยที่สุดที่จะนำหุ่นยนต์จูร่งลงสู่พื้นราบ

หุ่นยนต์สำรวจจูร่ง ขับเคลื่อนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ น้ำหนักประมาณ 240กิโลเมตร และติดตั้งอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์6 ชิ้น ซึ่งจะถูกนำออกจากตัวยานในเวลาต่อไป เพื่อปฏิบัติภารกิจสำรวจหาร่องรอยของสิ่งมีชีวิตบนพื้นผิวของดาวอังคารนาน 3 เดือน หุ่นยนต์ร่อนลงจอดอย่างราบรื่นโดยใช้แคปซูลป้องกัน, ร่มชูชีพและแท่นจรวดร่วมกันช่วยในการลงจอด การสัมผัสพื้นผิวดาวอังคารได้ถือเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่ง เนื่องจากลักษณะของภารกิจนี้ยากลำบาก

ก่อนหน้านี้ มีเพียงสหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่ส่งยานลงจอดบนดาวอังคารได้ การลงจอดของยานจีนครั้งนี้ ทำให้จีนเป็นประเทศที่ 2 ที่ทำสำเร็จ ซึ่งนับต่อจากนี้ไป

นักวิทยาศาสตร์ของจีนก็ต้องติดตามภารกิจนี้ต่อไป ระยะห่างระหว่างโลกกับดาวอังคารอยู่ที่ 320 ล้านกิโลเมตร ซึ่งหมายความว่า ข้อความทางคลื่นวิทยุ หรือคลื่นเสียงที่จะส่งจากตัวยาน ต้องใช้เวลานานเกือบ 18 นาทีในการเดินทางถึงพื้นโลก


5 วิธีสร้างภูมิคุ้มกันด้วยตัวเอง รับมือ “โควิด-19”

1. รับประทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์

ร่างกายต้องการสารอาหารหลักทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และสารอาหารรองไม่ว่าจะเป็นวิตามินต่างๆ เช่น วิตามิน A C E D B6 B9 B12 รวมถึงแร่ธาตุสังกะสี เหล็ก ทองแดง แมกนีเซียม ซีลีเนียม และแมงกานีส ซึ่งสามารถรับได้จากอาหารธรรมชาติ อย่างผักและผลไม้ที่มีวิตามิน C สูง จะเป็นบรอกโคลี ผักโขม ผักเคล มะขามป้อม ฝรั่ง ส้มหรือแหล่งอาหารของวิตามิน A จะอยู่ในเครื่องในสัตว์ ไข่แดง นม และผลิตภัณฑ์จากนมโดยควรรับประทานอาหารสด หลีกเลี่ยงอาหารกึ่งสำเร็จรูปหรืออาหารแช่แข็ง เพราะจะทำให้ขาดสารอาหารหรือวิตามินได้

2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายหนัก อาจเป็นการออกกำลังกายแบบง่ายๆ ที่สามารถ ทำภายในบ้านก็ได้ ซึ่งควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที จำนวน 3 ครั้งต่อสัปดาห์โดยการออกกำลังกายจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และกระตุ้นให้ระบบการหมุนเวียนของเลือดโดยรวมเป็นไปด้วยดี ทำให้เซลล์ต่างๆ ภายในร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น ส่งผลให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรง สามารถจัดการกับเชื้อโรคได้ง่ายขึ้น จึงลดโอกาสการเกิดโรคขณะเดียวกันร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินหลังการออกกำลังกาย ซึ่งช่วยให้เกิดภาวะผ่อนคลายและลดความวิตกกังวลต่างๆ ได้

3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้การนอนหลับมีประสิทธิภาพ ควรมีการเตรียมตัวก่อนเข้านอน 1 ชั่วโมง โดยงดใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทั้งโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือโทรศัพท์มือถือ เพราะเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายตื่นและนอนไม่หลับ

รวมถึงต้องฝึกนิสัยให้เคยชินว่าเมื่ออยู่บนเตียงนอนแล้วไม่ควรทำกิจกรรมอย่างอื่นนอกจากการนอนหลับ นอกจากนั้น ควรจัดสรรเวลานอนให้เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงเวลาของการ Work from home ควรแบ่งเวลาการใช้ชีวิตให้ไม่ทับซ้อนกัน หรือแบ่งเป็น 8/8/8 คือ ทำงาน นอนหลับพักผ่อน และทำกิจกรรมต่างๆ อย่างละ 8 ชั่วโมง

4. จัดการกับความเครียด เพราะความเครียดเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงต้องหาวิธีจัดการหรือตั้งรับให้ดี ซึ่งหากรู้ว่าตัวเองกำลังเครียดก็ต้องมีสติ สำรวจความคิดและอารมณ์ และรู้เท่าทันความเครียดที่เกิดขึ้น แล้วนำตัวเองออกมาจากสภาวะนั้นด้วยการหากิจกรรมคลายเครียดที่ชอบ เช่น ร้องเพลง เล่นดนตรี ดูหนัง อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมแปลกใหม่ที่ตัวเองไม่เคยลองทำมาก่อน ซึ่งสามารถเลือกดูกิจกรรมได้จากสื่อออนไลน์ที่มีคลิปการสอนต่างๆ อย่างการสร้างสรรค์งานศิลปะแบบ DIY หรือทำอาหาร เป็นต้น

5. เสริมด้วยวิตามิน วิตามินเป็นเหมือนทางลัดในการฟื้นฟูภูมิคุ้มกัน ซึ่งนิยมรับประทานกันในรูปแบบเม็ด เช่น

1. วิตามิน C ที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงมากขึ้น ส่งผลให้ไม่ป่วยหรือเป็นหวัดได้ง่าย อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย และเพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจ

2. วิตามิน D ซึ่งช่วยดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้กระดูกแข็งแรง ขณะเดียวกันยังช่วยเรื่องภูมิคุ้มกัน และการนอนหลับที่ดี ช่วยต่อต้านการอักเสบต่างๆ

3. วิตามิน E ที่เป็นตัวช่วยในการทำงานของตับมีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และหากได้รับวิตามินตัวนี้อย่างเหมาะสมก็จะช่วยป้องกันและซ่อมแซมเส้นผม ผิวและเล็บได้

คนเราสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ด้วยตัวเอง แต่ขณะเดียวกันก็ทำลายภูมิคุ้มกันได้ด้วยตัวเองได้เหมือนกันจากไลฟ์สไตล์ต่างๆ ที่ทำอยู่ ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงและกิจกรรมที่จะทำลายภูมิคุ้มกันด้วย นอกจากนี้ ยังต้องปกป้องตัวเองจากโควิด-19 อย่างเข้มข้นไปพร้อมกัน ทั้งการสวมหน้ากากทุกครั้งเมื่อออกจากบ้าน หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงจากนำมือมาจับหน้า และไม่เข้าไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงรักษาระยะห่างจากผู้อื่นอย่างเหมาะสม

ขอขอบคุณ

ข้อมูล :นพ.อนันตศักดิ์ อภัยรัตน์ ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายแพทย์ เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล


ทีมวิจัยพบไดโนเสาร์มหัศจรรย์ ที่ตามล่าเหยื่อในความมืด

ปัจจุบันมีนก 10,000 ชนิดอาศัยอยู่ในแทบทุกถิ่นบนโลก แต่มีเพียงไม่กี่ชนิดที่มีการปรับตัวให้ล่าเหยื่อที่เคลื่อนไหวว่องไวได้ในยามค่ำคืน ทว่าสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์สงสัยมานานก็คือไดโนเสาร์เธอโรพอด (Theropod) ที่ได้วิวัฒนาการก่อเกิดเป็นนกยุคปัจจุบัน มีการปรับตัวทางประสาทสัมผัสที่คล้ายกันกับนกหรือไม่

การศึกษาของทีมวิจัยนำโดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวิตวอเตอร์สแรนด์ ในโจฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้ เผยว่าหลังใช้การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์วัดรายละเอียดและรวบรวมข้อมูลของขนาดดวงตาและหูชั้นในของนกที่มีชีวิตเกือบ 100 ชนิดกับซากฟอสซิลไดโนเสาร์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว โดยวัดการได้ยินจากความยาวของลาจีนา ซึ่งเป็นอวัยวะที่ประมวลผลข้อมูลเสียงที่เข้ามา พบว่านกแสกสามารถล่าเหยื่อในความมืดสนิทโดยใช้การได้ยินเพียงอย่างเดียว เพราะมีลาจีนาที่ยาวที่สุดเมื่อเทียบกับนกทุกชนิด ส่วนการประเมินการมองเห็น ทีมดูที่วงเปลือกลูกตาที่มีลักษณะแบบเดียวกับเลนส์กล้อง ยิ่งรูม่านตาเปิดได้กว้างแสงก็ยิ่งเข้าได้มากขึ้นทำให้มองเห็นได้ดีในช่วงกลางคืน การวัดเส้นผ่าศูนย์กลางของวงเปลือกลูกตาก็จะบอกได้ว่าดวงตารวบรวมแสงได้มากเพียงใด

ทีมพบว่าเธอโรพอด อย่างไทแรนโนซอรัส (Tyrannosaurus) และโดรมีออซอรัส (Dromaeosaurus) มีการมองเห็นที่เหมาะสำหรับช่วงกลางวันและการได้ยินที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยน่าจะช่วยในการล่าเหยื่อได้ แต่เธอโรพอด ขนาดเล็ก “ชูวูยา” (Shuvuuia) ที่อยู่ในวงศ์อัลวาเรสซอร์ (Alvarezsaurs) มีทั้งการได้ยินและการมองเห็นในเวลากลางคืนที่ไม่ธรรมดา มันมีลาจีนาขนาดใหญ่เกือบจะเท่ากับของนกแสกในปัจจุบัน นั่นบ่งชี้ว่าไดโนเสาร์ตัวเท่าไก่อย่าง “ชูวูยา” ที่เคยอาศัยอยู่ในทะเลทรายมองโกเลียในยุคโบราณสามารถล่าเหยื่อได้ในความมืดมิด.