ทีมนักดาราศาสตร์วิจัยรูปแบบวิวัฒนาการของดาวเคราะห์ประหลาด
มินิ-เนปจูน (mini-Neptune) เป็นดาวเคราะห์นอกระบบประเภทหนึ่งที่อธิบายได้ว่ามันโคจรรอบดาวฤกษ์นอกระบบสุริยะของเรา ดาวเคราะห์ประเภทนี้มีมวลมากกว่าโลกแต่น้อยกว่าดาวเนปจูน ร่างกายของมันประกอบไปด้วยแกนหินขนาดใหญ่และล้อมรอบด้วยก๊าซหนาทึบ
เมื่อเร็วๆนี้งานวิจัยใหม่โดยทีมนักดาราศาสตร์นำโดยสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนียหรือแคลเทค ในสหรัฐอเมริกา ใช้หอดูดาว W.M. Keck บนยอดภูเขาไฟเมานาเคอาในฮาวาย ศึกษา 1 ใน 2 มินิ-เนปจูนในระบบดาวที่เรียกว่า TOI 560 อยู่ห่างออกไป 103 ปีแสง รวมถึงใช้กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลขององค์การนาซา ส่องดูมินิ-เนปจูน 2 ดวงที่โคจรในระบบ ดาว HD 63433 อยู่ห่างออกไป 73 ปีแสง ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าก๊าซในชั้นบรรยากาศกำลังหนีออกจากมินิ-เนปจูนที่ชื่อ TOI 560.01 ซึ่งอยู่ด้านในสุดของระบบดาว TOI 560 และก๊าซในชั้นบรรยากาศก็กำลังหนีออกจากมินิ-เนปจูนที่ชื่อ HD 63433 c ซึ่งโคจรอยู่ด้านนอกสุดในระบบดาว HD 63433
ที่น่าประหลาดใจคือก๊าซรอบๆ TOI 560.01 กำลังหลบหนีไปทางดาวฤกษ์แม่เป็นส่วนใหญ่ จึงท้าทายให้ค้นคว้าถึงวิธีการไหลออกของก๊าซ ซึ่งอาจนำไปสู่คำอธิบายที่เป็นไปได้ประการหนึ่งว่ามินิ-เนปจูนกำลังกลายเป็นซุปเปอร์เอิร์ธ (super-Earth) คือดาวเคราะห์คล้ายโลกที่มีมวลมากกว่าโลก แต่มีมวลน้อยกว่าดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์ โดยมินิ-เนปจูนทั้ง TOI 560.01 และ HD 63433 c ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นซุปเปอร์เอิร์ธในกาลข้างหน้า.
(ภาพประกอบ TOI 560.01 Credit : W.M.Keck Observatory/Adam Makarenko)
รู้จัก “กุหลาบพันธุ์วาเลนไทน์” พร้อมความหมายสีแดงและสีขาว กับวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาฯ 65
กุหลาบพันธุ์วาเลนไทน์ (Valentine Floribunda Rose) เป็นดอกกุหลาบที่ปลูกได้ในประเทศไทย ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับอาคารหรือบ้านเรือน มีสายพันธุ์ที่เป็นลักษณะไม้เลื้อย และไม้พุ่ม ถือว่าเป็นพันธุ์กุหลาบที่ปลูกง่าย ออกดอกดก สีสันสะดุดตา ทนทานต่อสภาพอากาศ ทำให้ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทย
กุหลาบวาเลนไทน์ ทำไมถึงนิยม
ดอกไม้ที่มีความหมายดีนั้นมีหลายสายพันธุ์ แต่พันธุ์กุหลาบก็กลายเป็นดอกไม้ที่นิยมในวันวาเลนไทน์ ทำไมถึงใช้ดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์นั้น หลากหลายตำนานเรื่องราว สำหรับประเทศไทยที่นิยมปลูกกุหลาบพันธุ์วาเลนไทน์ เพราะเป็นพันธุ์กุหลาบที่ปลูกง่าย ออกดอกดก สีสันสะดุดตา ทนทานต่อสภาพอากาศ ทำให้ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทย
กุหลาบสัญลักษณ์แห่งความโรแมนติก
พันธุ์กุหลาบมีหลากหลายสี ทำไมกลายมาเป็นที่นิยม มีเรื่องเล่าว่าหญิงสาวอังกฤษในยุควิกตอเรีย มีสังคมที่ถูกจำกัดด้วยขนบธรรมเนียม และประเพณีที่เข้มงวด ใช้ความหมายของดอกไม้ส่งมอบให้แทนการสื่อสารทางภาษาพูดหรือเขียน เป็นความนิยมสนทนาแบบมีศิลปะ วิธีการที่แพร่หลายนี้บันทึกว่ามาจากหญิงสาวชื่อ Mary Wortley Montagu ภริยาเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำตุรกีในศตวรรษที่ 18 เธอชื่นชอบและหลงใหลการใช้ดอกไม้เป็นสัญลักษณ์ การเขียนจดหมายของเธอจึงใช้ภาษาดอกไม้ที่นิยมในตุรกี การส่งดอกไม้หากันอาจหมายถึงการส่งสารมิตรภาพ ความหลงใหล หรือแม้กระทั่งเป็นคำประณาม แต่การตีความการใช้ดอกไม้เป็นสัญลักษณ์ทางภาษาของเธออาจจะไม่ตรงกับต้นฉบับทั้งหมด
ดอกไม้ต่างๆ มีทั้งสีและกลิ่นที่ไม่เหมือนกัน แต่เมื่อพูดถึงความรัก ดอกกุหลาบดูเหมือนจะอธิบายความหอมหวาน สดชื่น ได้อย่างละเอียดอ่อน
จนถึงศตวรรษที่ 19 มีหนังสือที่อธิบายเกี่ยวกับภาษาของดอกไม้ เป็นหนังสือภาพวาดสำหรับเด็ก ดอกไม้จึงนิยมเป็นส่วนหนึ่งในบทกวี หรือการแสดงออกทางสัญลักษณ์ทางอารมณ์
นอกจากความหมายทางกวีแล้ว นักพฤกษศาสตร์ในอังกฤษและฝรั่งเศสก็ปรับปรุงพัฒนาสายพันธุ์กุหลาบให้มีหลากหลายขึ้นตามความนิยม และส่งออกจำหน่ายไปยังประเทศต่างๆ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ความนิยมมอบดอกกุหลาบในช่วงวันวาเลนไทน์ก็นิยมมากขึ้น ส่งผลให้กุหลาบวาเลนไทน์มีราคาสูง และคนเรามักซื้อดอกกุหลาบมอบให้กันเพื่อแสดงถึงความรักจนถึงปัจจุบัน
กล่าวโดยสรุปคือการใช้ดอกไม้เป็นสัญลักษณ์ทางความรู้สึกและอารมณ์ได้รับอิทธิพลมาจากหญิงสาวยุควิกตอเรีย และมีคนให้คำจำกัดความดอกกุหลาบสีต่างๆ ไว้ดังนี้
ความหมายของดอกกุหลาบวาเลนไทน์
• กุหลาบวาเลนไทน์สีขาว
กุหลาบวาเลนไทน์สีขาว หมายถึง ความรักอันบริสุทธิ์
• กุหลาบวาเลนไทน์สีแดง
กุหลาบวาเลนไทน์สีแดง หมายถึง ความรักโรแมนติก
• กุหลาบวาเลนไทน์สีชมพู
กุหลาบวาเลนไทน์สีชมพู หมายถึง ความหลงใหล และขอบคุณช่วงเวลาดีๆ ที่ทำร่วมกันมา
การมอบกุหลาบสีแดงในวันวาเลนไทน์ของชายหนุ่ม จึงหมายถึงการสารภาพรัก และแสดงความต้องการ เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกที่มากกว่าคำพูด แต่ไม่ได้มอบให้กันเฉพาะวาเลนไทน์เท่านั้น เทศกาลอื่นๆ เช่น วันเกิด วันครบรอบ ชายหนุ่มหญิงสาวก็มักเลือกดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์แห่งความรู้สึกเช่นกัน.
ที่มา : TIME
ความหมายเมนูวันกินผัก 7 อย่าง หลังวันตรุษจีน
วันกินผัก 7 อย่าง หรือฉิกเอี่ยฉ่ายในภาษาแต้จิ๋ว ที่ตรงกับชิวฉิก ในภาษาจีน หรือวันที่ 7 ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งปี 2565 นี้ ตรงกับวันที่ 7 กุมภาพันธ์ เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญของทุกปีหลังจากผ่านวันไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ และรับประทานอาหารร่วมกันหลังไหว้กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาในครอบครัว
ฉิกเอี่ยฉ่าย แปลตามตัวคือ “ฉิก” หมายถึง 7 “เอี่ย” หมายถึงชนิด
“ฉ่าย” หมายถึงผัก รวมกันเป็นเมนูผัก 7 ชนิดที่นิยมนำมาปรุงเป็นอาหารเพื่อรับประทานกันในวันชิวฉิก ซึ่งชาวจีนจะนิยมซื้อผักที่นอกจากมีความหมายมงคลแล้ว ในทางคุณสมบัติของพืชผักแล้ว ถือว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายเพราะล้วนมีกากใยสูง และช่วยระบบขับถ่ายได้ดี ให้สารอาหารบำรุงร่างกาย ส่วนรสชาติของผักแต่ละชนิดที่นำมาปรุงรวมกัน ก็จะเข้ากันอย่างดี เพราะมีทั้งที่ให้รสหวาน สดชื่น และรสขม
เรียกได้ว่า หลังจากรับประทานอาหารที่ส่วนใหญ่เป็นเมนูหมู เป็ด ไก่ และเนื้อสัตว์ต่างๆ รวมถึงแป้งมาหลายวันแล้ว ก็ได้เวลาที่ร่างกายจะได้รับประทานผักอย่างเต็มที่บ้างในวันกินผัก 7 อย่างที่มีคุณสมบัติหลักๆ ดังนี้
• หัวไชเท้า ช่วยการย่อย ล้างกระเพาะ ลำไส้
• ตั่วฉ่าย มีเส้นใย กากใยสูง มีวิตามิน และเบตาแคโรทีนสูง
ส่วนรสชาตินั้นจะออกขมๆ แต่พอเคี้ยวแล้วจะมีรสกลมกล่อมหวานติดลิ้น หลายคนจึงนิยมทำเป็นผักดอง
• ผักคะน้า มีวิตามินเอ ซี สารต้านอนุมูลอิสระ มีรสสัมผัสหวานกรอบ
• ผักขึ้นฉ่าย มีคุณสมบัติลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน บรรเทาอาการปวดตามข้ออีกด้วย
• ชุงฉ่าย หรือชุนฉ่าย หรือผักขมจีน มีวิตามินเอสูง รสชาติขม นิยมต้มกับกระดูกหมูหรือหมูสามชั้น ซึ่งเป็นคนละชนิดกับผักโขมที่นิยมเอามาผัดมากกว่า
• เก๋าฮะฉ่าย มีวิตามินซี วิตามินเคสูง
• ต้นกระเทียม ช่วยขับพิษ สารพิษ
สำหรับความหมายของผักแต่ละชนิดนี้ บางคำอิงจากคำพ้องเสียง และตัวอักษรภาษาจีนที่ให้ความหมายมงคล อย่าง หัวไชเท้า หมายถึงความบริสุทธิ์ สะอาด หรือบางคนอาจหมายถึงโชคลาภ
ตั่วฉ่ายที่นำไปปรุงได้ทั้งเมนูจับฉ่าย และผักดอง
ตั่วฉ่าย ก็หมายถึงความยิ่งใหญ่ ผักคะน้า หมายถึงความเป็นเลิศ ผักขึ้นฉ่าย หมายถึงความขยัน
ผักขมจีน ที่ต้มกับกระดูกหมู หมูสามชั้น ใส่เห็ดหอม ก็อร่อย
ชุงฉ่าย หรือชุนฉ่าย หรือผักขมจีน หมายถึง ความรุ่งเรือง ประสบความสำเร็จ ทรัพย์สินเหลือ และเพิ่มพูน เก๋าฮะฉ่าย เป็นที่ชื่นชอบเป็นที่รัก มนุษยสัมพันธ์ดี
ต้นกระเทียม สามารถนำไปปรุงเป็นเมนูไข่เจียว หรือข้าวผัดได้
ต้นกระเทียม หรือ ซึ่งเกี้ย ความเป็นเจ้าคนนายคน เพราะคำว่าซึ่ง หรือสึ่ง หมายถึงการนับ ที่มีความเชื่อในสมัยก่อนว่าหากนับเลขได้ ก็จะเป็นใหญ่เป็นโต หรือหากใครอยากใส่กะหล่ำปลี ก็มีความหมายดีในด้านความมีชื่อเสียง และลูกหลานรักใคร่สามัคคีกัน
ส่วนการปรุงเมนูผัก 7 อย่างนี้ ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละบ้าน ที่บางคนชอบผัดก่อนแล้วนำไปต้ม พร้อมใส่หมูสามชั้นด้วย หรือบางคนก็ต้มในน้ำซุปกระดูกหมู เติมเกลือ และซีอิ๊ว เพื่อให้ได้น้ำใสๆ ซดแล้วสดชื่น ที่เรียกกันว่ากินน้ำซุป เชง เชง.
ทำไมยิ่งออกกำลังกายหนัก… ยิ่งต้องระวังเรื่องสุขภาพ
เราพบว่าปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยหันมาใส่เรื่องของสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่มีการระบาดของโควิด-19 ก็ยิ่งมีคนรักตัวเองมากขึ้น หาวิธีต่างๆ มากมาย เพื่อดูแลตนเองและครอบครัวให้แข็งแรง มีการสร้างภูมิคุ้มกันโรค เช่น หันมาออกกำลังกายมากขึ้น หนักขึ้น หลายคนชอบเข้าใจว่า คนที่ป่วยบ่อย ความเสี่ยงโรคต่างๆ จะเยอะ หรือคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ แต่จริงๆ แล้ว คนที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงดี ไม่เคยเจ็บป่วย หรือชอบออกกำลังกายเป็นประจำ การตรวจสุขภาพร่างกายก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย และนี่คือ 4 เหตุผลว่าทำไม คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ออกกำลังกายหนักๆ ยิ่งต้องหมั่นตรวจเช็กสุขภาพ
เพราะการออกกำลังกายหนัก...ทำกล้ามเนื้อหัวใจหนา เสี่ยง “หัวใจวายเฉียบพลัน”
ในขณะที่เราออกกำลังกาย หัวใจจะมีการสูบฉีดเลือดมากขึ้นกว่าปกติ อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้นกว่าเดิม ความดันโลหิตเพิ่มสูงข้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้เกิด “กล้ามเนื้อหัวใจหนา” ขึ้นบริเวณห้องล่างซ้ายและล่างขวา ซึ่งเป็นกลไกการปรับตัวของกล้ามเนื้อหัวใจเมื่อต้องทำงานหนักนั่นเอง
โดยพบว่า การออกกำลังกายแบบเวตเทรนนิ่งที่เน้นเพาะกล้ามเพียงอย่างเดียว สามารถเพิ่มโอกาสให้กล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายหนาขึ้นได้มากกว่าการออกกำลังกายประเภทอื่น ในขณะที่การปั่นจักรยานมาราธอนหนักๆ จะส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขยายออกและหนาขึ้นในคราวเดียวกัน ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดและการทำงานของหัวใจ สาเหตุสำคัญของการเกิด “หัวใจวายเฉียบพลัน” ได้ ซึ่งการตรวจหัวใจ EKG และ Echo จะช่วยให้รู้ทันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนาได้
เพราะการออกกำลังกายหนัก...ส่งผลต่อ (ค่า) ตับ เลยต้องเช็กร่างกายให้ชัวร์!
ระดับค่า SGOT หรือ AST ที่ได้จากการตรวจตับ อาจมีความสัมพันธ์กับการออกกำลังกาย โดยเฉพาะการออกกำลังกายหนักเกินไป ใช้แรงมาก เช่น การเวตเทรนนิ่งเพื่อเล่นกล้าม ที่ก่อให้เกิดการตายของเซลล์กล้ามเนื้อ...ซึ่งนับว่าเป็นกลไกที่ปกติ! แต่เพราะมีการออกกำลังกายหนักๆ ซ้ำๆ ต่อเนื่อง ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อเก่าตายเร็ว เซลล์ใหม่ยิ่งเกิดขึ้นทดแทนเร็ว ระดับค่า SGOT หรือ AST ที่เป็นเอนไซม์สร้างขึ้นจากความเสียหายของตับ, เม็ดเลือดแดง, หัวใจ, กล้ามเนื้อ, ตับอ่อน หรือไต จึงสูงขึ้นด้วย
แต่...เราจะเห็นได้ว่า ค่านี้ไม่ได้มีที่มาที่ไปแค่จากความเสียหายของกล้ามเนื้อ อาจเป็นการบอกถึงความผิดปกติของอวัยวะอื่นๆ รวมถึงตับเองด้วย เพราะฉะนั้น หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ออกกำลังกายหนัก แล้วผลตรวจค่า SGOT หรือ AST สูง อย่าเพิ่งเข้าใจว่าเป็นแค่ผลจากการออกกำลังกาย แต่ควรงดออกกำลังกายแล้วกลับมาตรวจซ้ำอีกครั้ง เพื่อวินิจฉัยให้แน่ชัดว่าค่า SGOT หรือ AST ที่สูงขึ้นเกิดจากอะไรกันแน่ เพื่อจะได้เข้าสู่ขั้นตอนการรักษาที่ตรงจุดก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน
เพราะการออกกำลังกายหนัก เพิ่มความเสี่ยง “ไตวาย” ได้
การออกกำลังกายหนักส่งผลต่อหัวใจ...อันนี้อาจเคยได้ยินกันบ่อยๆ แต่การออกกำลังกายหนักเกินไป แล้วส่งผลต่อ “ไต” นี่สิ! อาจทำให้หลายคนเกิดคำถามว่าเกี่ยวข้องกันได้ยังไง? ซึ่งการออกกำลังกายที่ออกแรงมาก หรือการออกกำลังกายหนักต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ เช่น การวิ่งมาราธอน อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิด “ภาวะกล้ามเนื้อสลาย” หรือ Rhabdomyolysis เป็นภาวะที่กล้ามเนื้อส่วนที่เสียหายสลายตัวแล้วทำการปล่อยสารที่อยู่ภายในเซลล์เข้าสู่กระแสเลือด หากไม่รุนแรง...แค่พักผ่อน ดื่มน้ำมากๆ ก็ดีขึ้น แต่หากอาการรุนแรงอาจส่งผลทำให้ไตวายได้
เพราะออกกำลังกายหนัก...ไม่วอร์มอัพ เวิร์กเอาต์ผิดวิธี นำไปสู่ “โรคข้อเสื่อม”
หลายคนหันมาใส่ใจสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย แต่อาจลืมไปว่า “การไม่วอร์มอัพ” อาจทำให้การออกกำลังกายส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่า ซึ่งหนึ่งในผลข้างเคียงจากการออกกำลังกายโดยขาดการวอร์มอัพนั้น คือ “กระดูก กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น ถูกทำร้าย” โดยเฉพาะคนที่ออกกำลังกายหนักๆ ก่อให้เกิดแรงกด เกิดการเสียดสีกันระหว่างข้อต่างๆ ซึ่งการบาดเจ็บซ้ำๆ เรื้อรังนานๆ ไม่ได้รับการดูแลรักษา นำไปสู่การสึกและเสื่อมของข้อต่างๆ เช่น ข้อเข่า หรือข้อไหล่ได้
องค์การอนามัยโลก หรือ WHO กำหนดให้การออกกำลังกายที่เหมาะสม คือ สัปดาห์ละ 150 ชั่วโมง หรือครั้งละ 30 นาที จำนวน 5 ครั้งต่อสัปดาห์ สำหรับใครที่ออกกำลังกายหนักมากเกินไปก็ควรปรับลดให้พอเหมาะ อย่าปล่อยให้การออกกำลังกายที่ควรเป็นการเสริมสร้างสุขภาพที่ดี...กลายเป็นการทำร้ายสุขภาพให้พังลงแทน
บทความโดย : เครือโรงพยาบาลพญาไท Phyathai Call Center 1772
5 เคล็ดลับ ยืดอายุให้ "แบตเตอรี่" โน๊ตบุ๊กทนทาน เสื่อมช้าลง
ทำยังไงให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานนานขึ้น ป้องกันแบตเสื่อมเร็ว เพราะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มี "แบตเตอรี่" ในเครื่อง มีเรื่องวงจรแบตเข้ามาเกี่ยวข้อง เราจึงต้องมีเทคนิคการชาร์จและดูแลอุปกรณ์อย่างถูกต้อง เพื่อถนอมอายุแบตเตอรี่ให้ทนทานยิ่งขึ้น
ทำยังไงให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานนานขึ้น ป้องกันแบตเสื่อมเร็ว เพราะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มี "แบตเตอรี่" ในเครื่อง มีเรื่องวงจรแบตเข้ามาเกี่ยวข้อง เราจึงต้องมีเทคนิคการชาร์จและดูแลอุปกรณ์อย่างถูกต้อง เพื่อถนอมอายุแบตเตอรี่ให้ทนทานยิ่งขึ้น
1. ห้ามปล่อยโน๊ตบุ๊คแบตหมดจนดับ
ไม่ควรทำอย่างยิ่งที่จะใช้โน๊ตบุ๊คหรือสมาร์ทโฟนจนแบตเตอรี่หมดแล้วดับคามือไปเลย แล้วชาร์จกลับไปจนเต็ม 100% เพราะมันทำร้ายแบตเตอรี่ของเราอย่างร้ายแรงแล้วแบตเตอรี่จะเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น วิธีที่ถูกต้องนั้นควรใช้งานให้แบตเตอรี่เหลือ 0% แล้วชาร์จกลับมาจนเต็ม 100% ควรทำเพียง 1 ครั้งในรอบหนึ่งถึงสามเดือน เพื่อให้ตัวควบคุมกระแสและเซลแบตเตอรี่คำนวนความจุได้ถูกต้องและแม่นยำเหมือนเดิม
จากการทดลองของสถาบันต่างประเทศพบว่าการชาร์จและเลี้ยงไฟในแบตเตอรี่ให้อยู่ในช่วงไม่ต่ำกว่า 20-90% นั้นจะช่วยให้วงจรแบตเตอรี่และอาการแบตเตอรี่เสื่อมเกิดขึ้นช้ากว่าการใช้งานจนเครื่องดับไป
2. ถอดอุปกรณ์เสริมเกินจำเป็นออกไป
ถึงจะมีพอร์ตเชื่อมต่อให้ใช้เยอะก็ตามแต่สิ่งสำคัญ คือ เราควรต่ออุปกรณ์เสริมเข้ากับโน๊ตบุ๊คแต่เพียงพอดีและถอดอุปกรณ์ที่ไม่ใช้ออกไปเสมอ และไม่ควรปล่อยสายเชื่อมต่อต่าง ๆ ติดเอาไว้กับเครื่องเพราะจะกินแบตเตอรี่ของเราเป็นระยะ ๆ
3. ปิด Wi-Fi, Bluetooth เมื่อไม่จำเป็น
การเปิด Wi-Fi และ Bluetooth ทิ้งเอาไว้จะทำให้โน๊ตบุ๊คเปลืองแบตเตอรี่จนทำให้เราต้องชาร์จบ่อย ๆ และแม้จะยังไม่เชื่อมต่อก็ตาม ทั้งสองฟังก์ชั่นนี้ก็จะทำการสแกนหาการเชื่อมต่ออยู่เป็นระยะ ๆ อยู่แล้วซึ่งใช้งานแบตเตอรี่ของเราอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ทำยังไงให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานนานขึ้น ป้องกันแบตเสื่อมเร็ว เพราะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มี "แบตเตอรี่" ในเครื่อง มีเรื่องวงจรแบตเข้ามาเกี่ยวข้อง เราจึงต้องมีเทคนิคการชาร์จและดูแลอุปกรณ์อย่างถูกต้อง เพื่อถนอมอายุแบตเตอรี่ให้ทนทานยิ่งขึ้น
1. ห้ามปล่อยโน๊ตบุ๊คแบตหมดจนดับ
ไม่ควรทำอย่างยิ่งที่จะใช้โน๊ตบุ๊คหรือสมาร์ทโฟนจนแบตเตอรี่หมดแล้วดับคามือไปเลย แล้วชาร์จกลับไปจนเต็ม 100% เพราะมันทำร้ายแบตเตอรี่ของเราอย่างร้ายแรงแล้วแบตเตอรี่จะเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น วิธีที่ถูกต้องนั้นควรใช้งานให้แบตเตอรี่เหลือ 0% แล้วชาร์จกลับมาจนเต็ม 100% ควรทำเพียง 1 ครั้งในรอบหนึ่งถึงสามเดือน เพื่อให้ตัวควบคุมกระแสและเซลแบตเตอรี่คำนวนความจุได้ถูกต้องและแม่นยำเหมือนเดิม
จากการทดลองของสถาบันต่างประเทศพบว่าการชาร์จและเลี้ยงไฟในแบตเตอรี่ให้อยู่ในช่วงไม่ต่ำกว่า 20-90% นั้นจะช่วยให้วงจรแบตเตอรี่และอาการแบตเตอรี่เสื่อมเกิดขึ้นช้ากว่าการใช้งานจนเครื่องดับไป
2. ถอดอุปกรณ์เสริมเกินจำเป็นออกไป
ถึงจะมีพอร์ตเชื่อมต่อให้ใช้เยอะก็ตามแต่สิ่งสำคัญ คือ เราควรต่ออุปกรณ์เสริมเข้ากับโน๊ตบุ๊คแต่เพียงพอดีและถอดอุปกรณ์ที่ไม่ใช้ออกไปเสมอ และไม่ควรปล่อยสายเชื่อมต่อต่าง ๆ ติดเอาไว้กับเครื่องเพราะจะกินแบตเตอรี่ของเราเป็นระยะ ๆ
3. ปิด Wi-Fi, Bluetooth เมื่อไม่จำเป็น
การเปิด Wi-Fi และ Bluetooth ทิ้งเอาไว้จะทำให้โน๊ตบุ๊คเปลืองแบตเตอรี่จนทำให้เราต้องชาร์จบ่อย ๆ และแม้จะยังไม่เชื่อมต่อก็ตาม ทั้งสองฟังก์ชั่นนี้ก็จะทำการสแกนหาการเชื่อมต่ออยู่เป็นระยะ ๆ อยู่แล้วซึ่งใช้งานแบตเตอรี่ของเราอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
4. อย่าเสียบปลั๊กค้างเอาไว้
เพราะโน๊ตบุ๊คถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้แบบไม่ต้องเสียบปลั๊กตลอดเวลาเหมือนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะจึงไม่จำเป็นต้องเสียบปลั๊กให้โน๊ตบุ๊คตลอดเวลาจะทำให้แบตเตอรี่ได้ใช้งานน้อยเกินไป ดังนั้นเราควรถอดปลั๊กและใช้งานโน๊ตบุ๊คด้วยแบตเตอรี่เป็นระยะ ๆ จะทำให้แบตเตอรี่มีการบริหารไฟฟ้าเข้าออก ช่วยให้รอบแบตเตอรี่ลดช้าลง แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้แบตเตอรี่ต่ำกว่า 20%
5. เปิดโหมด Best battery life เมื่อไม่ได้เสียบปลั๊ก (โหมดเซฟแบตเตอรี่)
ปุ่มคำสั่งนี้จะรวมอยู่กับไอคอนแบตเตอรี่ตรงมุมขวาล่าง ถ้าปรับไปเป็น Best battery life นอกจากจะทำให้แบตเตอรี่หมดช้าแล้ว ยังถนอมแบตเตอรี่ให้อายุใช้งานนานขึ้น เพราะตัวเครื่องจะอยู่ในโหมดจ่ายพลังงานน้อยและไม่ใช้ประสิทธิภาพสูงทำให้ไม่เร่งใช้พลังงานจากแบตเตอรี่จนเกิดการเสื่อมสภาพเร็ว ซึ่งสามารถเปิดได้ตั้งแต่แบตเตอรี่ 100% เลยก็ได้ถ้าเราไม่ได้ใช้งานหนัก