ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



ครบเครื่อง ญ.อมตะ 30 มิถุนายน 2561

พระราชหัตถเลขา ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องเสด็จประพาสมณฑลปราจีน เมื่อ ร.ศ. 127 (พ.ศ. 2491)

หนังสือพระราชหัตถ์เลขาฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเก้าเจ้าอยู่หัว ได้มาจากงานบรรจุศพผู้วายชนม์ นายทรงหยง ไชยนุวัติ ณ บ้านสระมะเขือ ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี ในวันที่ 2 ธันวาคม 2502 เจ้าภาพได้ติดต่อแผนกค้นคว้า กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ขออนุญาตจัดพิมพ์

พระราชหัตถเลขาฯ เสด็จประพาสมณทลปราจีนบุรี เพื่อเป็นที่ระลึกและแจกเป็นวิทยาทาน แก่ผู้มาในงาน

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชอัธยาศัย โปรดการประพาสภายในพระราชอาณาเขต เพื่อตรวจตราการปกครองและความเป็นไปของราษฎร และมักจะทรงพระราชนิพนธ์เรื่องการเสด็จประพาส รวมทั้งความเป็นไปของบ้านเมืองนั้นๆ ไว้อย่างน่าอ่าน เป็นทำนองจดหมายเหตุรายวัน จดหมายเหตุเกี่ยวกับเสด็จประพาส ที่แพร่หลายมากคือ จดหมายเหตุเสด็จประพาสต้น จดหมายเหตุนี้มีทุกคราวที่เสด็จประพาส ถ้าไม่ทรงพระราชนิพนธ์เอง ก็โปรดเกล้าฯ ให้อาลักษณ์แต่งขึ้น แม้เมื่อเสด็จประพาสภายนอกพระ ราชอาณาเขต ก็ทรงปฏิบัติโดยทำนองเดียวกัน


พระราชหัตถ์เลขา ฉบับที่ ๑


----------------------

พลับพลาศรีมหาโพธิ์

วันที่ ๑๗ ธันวาคม ร.ศ. ๑๒๗


ถึง มกุฎราชกุมาร

การที่มาคราวนี้ ไม่ได้ทำจดหมายรายวัน เหตุด้วยกรมหลวงดำรงได้เอาสัญญิงสัญญามาแต่แรกเมื่อคิดจะมาเที่ยวทางนี้ ว่าถ้าใครกล่าวว่าไม่สนุกจะปรับเงินบาทหนึ่ง ถ้าจะเขียนก็ทีจะถูกหลายบาท และเรื่องก็เห็นจะพอเพียงแต่จะกล่าวในหนังสือฉบับเดียวหรือ ๒ ฉบับจบ

เมื่อออกจากวัดเสาธงมาแล้ว ได้ตั้งใจไว้ช้านานว่าจะไปดูคลองเชียงราก ซึ่งจะเป็นที่ขุดคลองวอเตอร์เวอค แต่ความคิดนั้นไม่สำเร็จ เมื่อไปถึงที่จอดเรือตรงปากคลองรังสิตข้าม แล้วได้เล่นเลยขึ้นไปเข้าปากคลองเชียงรากข้างใต้ ซึ่งได้เคยไปเห็นแล้ว แต่ครั้งเข้าไปข้างใน ได้ความว่าเวลาไม่พอ และเรือโมเตอร์ที่ไปก็ทีจะเข้าไม่ถึงด้วยเขาถางผักตบไว้แต่ข้างนอก คลองนี้ตามโยกราฟี่ท่านอุบาลี (ปาน) กล่าวว่าเป็นคูเมือง ไปบรรจบออกเชียงรากน้อย ลักษณะอย่างเดียวกันกับคลองบางกอกน้อย คลองบางหลวง แต่คลองที่เชื่อมกันยังตลิ่งชันนั้น ตื้นเขินอยู่นอกทางรถไฟ ทางที่เรือเดินเข้ามาเดินคลองเปรมซึ่งตัดในระหว่างเชียงรากใหญ่กับเชียงรากน้อยในทางรถไฟเข้ามา การที่มาวันนี้ ควรจะไปถึงครองเปรมนั้นแล้วไปออกทางเชียงรากน้อย แต่เวลาไม่พอ จึงได้เลี้ยวเข้าคลองบ้านกระแซงมาออกแม่น้ำ คลองบ้านกระแชงนี้จะว่าเป็นอย่างคลองมอญก็ได้ แต่ไม่ตัดกึ่งกลางอย่างคลองมอญผ่านจากคลองเชียงรากไปออกแม่น้ำสั้นนิดเดียว แต่มีบ้านผู้เรือนคนแน่นหนา การที่จะไปดูเชียงรากเอาเป็นไม่สำเร็จประโยชน์อย่างใดเลย

วันที่ ๑๔ ไปด้วยเรือโมเตอร์ ในคลองรังสิต เขาคะเนกันว่าชั่วโมงเศษจึงจะถึงสวนใหญ่กรมหลวงเทวะวงษ์ แต่ที่จริงไม่ถึง เรือเราเดินเร็ว ๒ ชั่วโมงเศษเท่านั้น พ่อยังไม่เคยเข้าทางปากคลองเลย กว่าจะไปถึงประตู น้ำก็ดูไกลอยู่ น้ำลดแล้วจริงแต่ยังมากข้างตะวันตกนี้ไม่ใคร่จะแลเห็นตะลิ่ง ต่อพ้นคลองเก้าคลองสิบเข้าไปจึงเห็นตลิ่ง ดูไม่สู้แปลกอันใด มีผู้ซึ่งเกี่ยวข้องอยู่ในคลองนี้คือ หมอใหญ่ (๑) และกรมอดิศรมาไปด้วย เรื่องราวของที่นาคลองรังสิต ได้ความแต่ว่าเรื่องกำหนดชั้นที่นาดูเหมือนจะยังไม่เหมาะแก่พื้นที่อยู่บ้าง มีปัญหาอยู่ ๒ อย่าง ๆ หนึ่งว่านาที่กำหนดเป็นนาเอกนาโทเหมือนกัน แต่ประโยชน์ที่ได้ในนานั้นไม่เท่ากัน เจ้าของนาเรียกค่าเช่าหักใช้ค่านาเสร็จแล้วได้ประโยชน์ไม่เสมอกัน ถ้าเจ้าของนาเรียกค่าเช่าเสมอกันคนทำนาก็อพยพ ข้อที่ว่านี้เกิดจากกำหนดที่นาอย่างเดียวไม่ใช่อื่น อีกอย่างหนึ่งนั้น นาในคลองรังสิตและคลองซอยภูมิที่ดีเสมอกันจริง แต่ในคลองรังสิตจะจำหน่ายขนข้าวได้ง่าย ส่วนในคลองซอยขนข้าวลำบาก จึงได้ประโยชน์ไม่เสมอกัน ความ ๒ ข้อนี้ ก็เกี่ยวกับเรื่องกำหนดที่นา จะได้บอกให้เจ้าพระยายมราชทราบ

(๑) หม่อมราชวงศ์สุวพันธ์ุ สนิทวงศ์ ในพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ กรมหลวงและใหญ่รับซารวิตแข็งแรงมาก พอถึงก็แจกน้ำมันเบนซินก่อน เรือนที่ทำขึ้นใหม่นั้นสบายดี แต่หลังเก่าร้อน ขอเตือนไว้แต่ว่าถ้าจะไปที่นั่นแล้วอย่าได้แต่งยูนิฟอมเป็นอันขาด ขาขึ้นคงจะขึ้นได้ แต่ขาลงเป็นลงมาไม่ได้ เว้นไวแต่ถอดสเปอเสียก่อน การเลี้ยงมีทั้งกับข้าวฝรั่งกับข้าวไทยกับข้าวเจ๊ก ใช่แต่เท่านั้น ใหญ่ยังสู้ทนบาป พร้อมด้วยองค์ห้าหานกมาให้แกงด้วย พระยาศรีพิพัฒน์ออกมาชงน้ำชาให้กินเ ป็นกันใหญ่ถึงนั้น ได้อยู่เป็นหลายชั่วโมง บ่ายเกือบ ๓ โมงจึงได้ออกเรือ ทางนี้ได้เคยมา สุดทางเพียงในคลองบางปลากด ซึ่งตรงกับปากคลองข้าม ถัดนั้นไปเขามีคลองขุดอีกตอนหนึ่ง บรรจบลำคลองบางปลากด ที่ต่อกับลำน้ำนครนายก จอดเรือที่บ้านหมอใหญ่ ในลำน้ำนครนายกฯตรงสามแยก

วันที่ ๑๕ ได้ลงเรือโมเตอร์ขึ้นไปตามลำน้ำนครนายกจนถึงบ้านเหล้า ซึ่งมีวัดฝรั่งมาตั้งอยู่ในที่นั้น ลำน้ำอยู่ข้างจะเล็กแต่เขาว่าไม่กว้างออกและไม่แคบลง เปลี่ยนที่พังคงกว้างแคบตื้นลึกอยู่เท่านี้เสมอ พ้นบ้านเหล้าขึ้นไปว่าเรือโมเตอร์เข้าไม่ได้ ยังอีก ๒ ชั่วโมง จึงจะถึงเมืองนครนายก กลับลงมาแวะกินข้าวที่วัดบ้านอ้อ อันเป็นทางแยกไปบ้านนา ที่นี่มีตลาดร่องแร่ง ตามระยะทางบ้านเรือนก็มีห่างๆ แต่เป็นนาเต็มไปทั้งนั้นไม่มีที่ว่างเลย เพราะเป็นที่นาดี ทำมีแต่ได้มากหรือได้น้อยไม่มีเสีย ล่องลงมาตามทางที่ขึ้นไปพ้นบ้านองครักษ์หน่อยหนึ่ง ที่นาก็จับออกจะโทรมๆ ไปจนกระทั่งถึงพี่ซึ่งบริษัทขุดคลองขึ้นไว้ ไม่มีผู้คนทำนาเลย เหตุที่เป็นเช่นนี้ด้วยช้างเถื่อนชุมนั้นอย่างหนึ่ง ได้ความจากหลวงบำรุง ซึ่งเป็นผู้มานำทาง ว่าบริษัทคิดจะเรียกราคา ๘ บาท ราษฎรไม่มีใครซื้อเลย คลองลงมือขุดได้ไว้สัก ๑๐ คลองทิ้งร้างหมด เป็นที่เปลี่ยวแจ๊ดทีเดียวหาบ้านเรือนมิได้ ลงไปจนตอนใกล้ข้างปากน้ำโยทกาหรือพ้นคลองหกวาสายล่าง จึงได้มีบ้านเรือนไร่นา มีบางลูกเสือเป็นต้น ระยะทางก็ไกลจะหาต้นหมากรากไม้ ผู้คนอะไรก็ไม่มี มีแต่หญ้ากับฝั่ง แลดูเบื่อนัยน์ตาเต็มที ปากน้ำโยทกานี้ออกลำน้ำปราจีนอ้อมบางแตน เพราะบางแตนมีครองลัด จอดนอนที่บางแตนเหนือบากคลองลัด

วันที่ ๑๖ ออกเรือขึ้นมาตามน้ำ บ้านเรือนผู้คนบางมาก แต่ยังพอมีมากกว่าแม่น้ำนครนายก แวะกินข้าวที่วัดไผ่ ตำบลหัวไผ่ สัปบุรุษมาถือศีล ถึงเวลาเพลเขาจะกินข้าวเพลเชิญให้เรารับด้วย ใจคอดีอยู่จึงได้จัดของไปธารณะเลี้ยง วัดนี้มีพระมัทรีพอใช้อยู่องค์หนึ่ง ขึ้นไปจากนั้นไม่ถึง ๒ ชั่วโมงก็ถึงเมือง เมืองปราจีนแปลกไปกว่าแต่ก่อนที่ได้เคยเห็นเมื่อ ๓๖ ปีมาแล้ว คือตั้งแต่กำแพงเมืองขึ้นมาจนถึงที่ ซึ่งทำพลับพลาครั้งก่อนไม่มีอะไรเลยนอกจากทุ่งเตียนๆ คราวนี้เป็นตลาดยาวตลอดตั้งแต่เมืองมาจนถึงพลับพลา ซึ่งยังคงเรียกว่า ทุ่งพลับพลา ข้างฝ่ายอีกฟากหนึ่งก็เป็นธรรมดาที่ไม่เคยเห็นตั้งแต่แรกทำเป็นที่ถลุงแร่ทองตลอดจนเป็นที่ว่าการเดี๋ยวนี้ และโรงทหารต่อไป อันคล้ายๆกันกับที่ไหนๆ ไม่จำเป็นต้องเล่าพลับพลาที่ทำไว้รับนั้นอยู่ตรงวัดแก้วพิจิตรข้าม เจ้าอลังการ(๑) เจ้าพระยาอภัยภูเบศร มารับอยู่ในที่นี้ด้วย เจ้าอลังการได้ช่วยทำพลับพลาออกจะใคร่สนุกสนานอยู่

(๑) พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอลังการ เคยทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาล มณฑลปราจีน

เวลาบ่ายได้ลงเรือแจว ขึ้นไปบ้านเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ซึ่งอยู่เหนือขึ้นไปประมาณสัก ๓๕ มินิต ที่เขาได้เลือกดีในแถบนี้ และที่นี่ดูเหมือนอยู่ใกล้ แต่ระยะทาง ๓ เส้นเศษ อยู่ตรงหัวแง่ที่ลำน้ำตรง แลดูได้ไกล ได้ถมที่ยกขึ้นถึง ๒ ศอกเศษน้ำไม่ท่วม ปลูกเรือนอยู่กลางสูญบ้านอันกว้างยาวราวสัก ๕ เส้น มีเรือนครอบครัวปลูกเป็นหลังๆ เรียงรายอยู่ข้างหลังเดือนประมาณสัก ๑๔ ถึง ๑๕ หลัง บ้านหลวงสฤษดิ อยู่ใต้น้ำ บ้านพระอภัยพิทักษ์อยู่เหนือน้ำ ไม่มีอะไรจะรู้สึกดียิ่งกว่าขาดต้นไม้ แต่เจ้าของไม่ท้อถอยเลย บ้านเรือนก็สบายดี น่ากลัวแต่จะทนพายุฝนไม่ใคร่จะไหวจะสาดนัก เพราะเป็นที่แจ้งเสียจริงๆ วันนี้เลิกเรื่องหนาวกลายเป็นร้อน

วันที่ ๑๗ ได้ลงเรือล่องไปดูตลาด ขึ้นที่ทุ่งพลับพลาไปลงหน้าเมืองเป็นตลาดที่ปลูกกันเองแต่ลำพัง นับว่ายังไม่มีถนน แต่เห็นจะติดพอเป็นตลาดสนุกสนานได้ ลงเรือขึ้นมาตามลำน้ำ แวะกินข้าวที่ตำบลศรีมหาโพธิ์เฮงหนึ่งใต้ร่มไม้ เป็นโคกสูงอยู่หน่อย อยู่ใต้วัดพระอินทร์แบกลงมาได้สนทนากันกับชาวบ้าน แถบตั้งแต่เมืองปราจีนขึ้นมานี้ บ้านเมืองหนาแน่นเป็นหย่อมๆ จนถึงตอนศรีมหาโพธิ์นี้ บ้านเรือนรายตลอด ดูก็เป็นการแปลก ตอนข้างล่างกับเปลี่ยว ตอนบนนี้ไม่เปลี่ยวเลย การที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุว่าตอนบนหากินกว้างขวางกว่า มีตัดไม้ตัดฟืนปลุกผักเพิ่มการทำนาขึ้น นาก็เป็นนาดีนาชั้นโท มีตลาดเป็นระยะๆ ที่ทำพวกชาวป่าลง คือที่ท่าหาดและท่าเขมรซึ่งเปลี่ยนชื่อว่า ท่าประชุมชนมีไม้ประดู่ไม้แก่นลงในลำน้ำนี้ มีโรงเรื่อยจีนหลายโรง

เมื่อถึงพลับพลาแล้วไม่ได้หยุด เลยขึ้นไปดูบ้านเจ้าอลังการที่ผ่านนางวิ่งขึ้นไปหลายเลี้ยวจึงได้ถึง ตลิ่งสูงประมาณ ๘ ศอก ถึง ๓ วา มีดินดานมาก บางแห่งเป็นแลงออกมายื่นอยู่ตามฝั่ง ที่เจ้าอลังการอยู่ฝั่งตะวันออก บ้านเรือนอยู่ข้างร่วงโรยทรุดโทรมมากด้วยตัวไม่ได้อยู่ มีทางออกจากหลังบ้านนั้นไปเขา ซึ่งเป็นที่ทำปูน ระยะไกลถึง ๔๐๐ เส้น แต่ส่วนซึ่งต่อยหินส่งเจ้าพระยาเทเวศรอยู่ฝั่งตะวันตก เรียกว่าเขาดินอยู่ในดง เพราะชายดงมาตกตรงหน้าบ้านเจ้าอลังการข้าม ยังแลเห็นรางและรถที่คว่ำมงมาไม่เคยพลิกหงายก ารที่ไม่สำเร็จได้นี้ เรื่องไม่ได้นึกถึงค่าแรง ขนทางบกแล้วขนทางเรือเล่า ราคาปูนราคาหิน มันก็กลายเป็นหนักตอนหนักเลยต้องเลิกกันเท่านั้น ได้เลยขึ้นไปดูท่าตูม ซึ่งว่าเป็นทางพวกบ่อทองลงมา แต่ก่อนครึกครื้นเดี๋ยวนี้ก็ร่วงโรย เพราะเหตุที่ไม่ได้ทำทอง ลำน้ำตอนข้างบนนี้ขึ้นมามีหาดมาก แต่มีบ้านเรือนคนเสมอ ล่องกลับลงมาที่พลับพลา ได้พบพระยารัตนสมบัติซึ่งขึ้นมาหากินอยู่แถบนี้ เขาตัดฟืนใช้จ้างลาวถูกกว่าที่เคยพบพี่นครสวรรค์ ว่าปีละ ๖๐ บาท เท่านั้น แต่ครางออดแอดแอดในความลำบากขัดสนต่างๆ ขอบอกกล่าวว่าตัวแมลงมีแต่ไม่สู้มาก ยุงนั้นอยากจะว่าไม่มีเลย