ครบเครื่อง
ญ. อมตะ
ครบเครื่อง ญ. อมตะ 8 มิถุนายน 2562

ทนายดัง เปิด 2 ทางเลือกครูปรีชา คดี หวย 30 ล้าน เผยจุดเสี่ยงหากสู้ต่อ

หวย 30 ล้าน / วันที่ 4 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลจังหวัดกาญจนบุรี ได้พิพากษายกฟ้องในคดีที่นายปรีชา ใครครวญ หรือ ครูปรีชา เป็นโจทก์ ฟ้อง ร.ต.ท.จรูญ วิมูล หรือ ลุงจรูญ ในคดียักยอกรับของโจร สลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 1 พ.ย. 2560 ชุดที่ 04, 07, 14, 15, 22 เลข 533726 จำนวน 5 ฉบับซึ่งถูกรางวัลที่ 1 มูลค่า 30 ล้านบาท โดยศาลพิเคราะห์เห็นว่า

พยานหลักฐานที่โจทก์คือครูปรีชา นำสืบเกี่ยวกับการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ถูกรางวัลที่ 1ดังกล่าวคงมีเพียงพยานบุคคลที่อ้างว่าเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการซื้อขายเท่านั้น แต่ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนคำเบิกความของพยานบุคคล อีกทั้งคำเบิกความของพยานบุคคลดังกล่าวก็มีข้อพิรุธและขัดแย้งกันเองในหลายประการ

ทั้งเรื่องความสามารถของพยานแต่ละคนในการจดจำเลขสลากกินแบ่งรัฐบาล การใช้โทรศัพท์ติดต่อนัดหมายไปรับสลากกินแบ่งรัฐบาลระหว่างครูปรีชากับ น.ส.รัตนาพร หรือ เจ๊บ้าบิ่น การแจ้งความหลังทราบผลการออกรางวัลและที่สำคัญคำเบิกความของพยานบุคคลที่ครูปรีชานำสืบล้วนขัดแย้งกับข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่และพื้นที่การใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ของครูปรีชาในวันที่ 31 ต.ค.2560

เมื่อพิจารณาประกอบกับพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จำเลยคือ ลุงจรูญ นำสืบหักล้างแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ครูปรีชาไปซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลจากเจ๊บ้าบิ่นที่ตลาดเรดซิตี้ในวันที่ 27 ต.ค.2560 โดยไม่ได้เดินทางไปตลาดเรดซิตี้ในวันที่ 31 ต.ค. 2560 แต่ครูปรีชากลับใช้วิธีนำสืบโดยหยิบยกเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 27 ต.ค.2560 มากล่าวอ้างเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 31 ต.ค. 2560

เมื่อปรากฏว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลชุดที่ถูกรางวัลที่ 1 ยังวางขายอยู่บนแผงขายสลากกินแบ่งรัฐบาลของน.ส.พัชริดา หรือ เจ๊พัช ในวันที่ 30 ต.ค. แต่ครูปรีชาไปซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลจากเจ๊บ้าบิ่นในวันที่ 27 ต.ค. 2560 แสดงว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ครูปรีชาไปซื้อจากเจ๊บ้าบิ่น ไม่ใช่สลากกินแบ่งรัฐบาลชุดที่ถูกรางวัลที่ 1

แต่เมื่อทราบผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 1 พ.ย. 2560 เจ๊บ้าบิ่นเห็นภาพถ่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเลข 533726 อยู่บนแผงขายของเจ๊พัช ซึ่งเจ๊พัช ถ่ายรูปไว้เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2560 ปรากฏภาพสลากกินแบ่งรัฐบาลเลข 533726 อยุ่บนแผง เจ๊บ้าบิ่นจึงคิดว่าตนเองซื้อสลากกินแบ่งชุดดังกล่าวไปจากเจ๊พัชแล้วจำไปขายต่อให้ครูปรีชา เจ๊บ้าบิ่นจึงไปบอกครูปรีชาว่าถูกรางวัลที่ 1

ครั้งแรกครูปรีชายืนยันว่าสลากกินแบ่งที่ซื้อมีเลขหน้า 3 ตัวไม่ตรงกับรางวัลที่ 1 แต่เมื่อเจ๊บ้าบิ่นพูดย้ำหลายครั้งว่าครูปรีชาถูกรางวัลที่ 1 ทำให้ครูปรีชาเริ่มลังเลจนในที่สุดก็เข้าใจไปด้วยอีกคนว่าได้ซื้อสลากกินแบ่งชุดที่ถูกรางวัลที่ 1 จริงตามที่เจ๊บ้าบิ่นบอก

แม้ว่าขณะนั้นครูปรีชาจะไม่มีสลากกินแบ่งฯชุดที่ถูกรางวัลที่ 1 อยู่ในครอบครอง จนกลายเป็นที่มาของการไปแจ้งความว่าครูปรีชาทำสลากกินแบ่งฯดังกล่าวตกหาย ทั้งที่ความจริงไม่ได้ซื้อมาตั้งแต่แรก

ดังนั้น ครูปรีชาจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2 (4) โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย พิพากษยกฟ้อง

ล่าสุดนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายชื่อดัง เจ้าของเพจ ทนายคลายทุกข์ โพสต์เฟซบุ๊กเผยถึงทางออกและทางเลือกของครูปรีชาว่า ทางเลือกของครูปรีชามี 2 อย่าง พอแค่นี้ หรือจะไปต่อ ถ้าไปต่อก็อาจจะโดนหมวดจรูญฟ้องกลับ ฟ้องเท็จ เบิกความเท็จ

ครูปรีชา รับเครียด ขอถอยหลัง ตั้งสติ เพื่อสู้ในศาลอุทธรณ์ หลังแพ้คดี หวย30ล้าน

ผลพิพากษาคดีลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 มูลค่า 30 ล้าน หมวดจรูญชนะ ศาลจังหวัดกาญจนบุรีตัดสินยกฟ้อง หลังครูปรีชายื่นฟ้องเป็นจำเลยว่ายักยอกทรัพย์รับของโจร ชี้ข้อพิรุธครูปรีชาซื้อลอตเตอรี่จากเจ๊บ้าบิ่นในวันที่ 27 ต.ค.2560 และไม่ได้ไปซื้อในวันที่ 31 ต.ค.

แต่ใช้วิธีนำสืบโดยหยิบยกเอาเหตุการณ์ในวันที่ 27 ต.ค. มากล่าวอ้างว่าเป็นเหตุการณ์ในวันที่ 31 ต.ค. คำให้การและพยานมีพิรุธขัดแย้งกัน ชี้ไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย ด้านครูปรีชา-ทนายความ ยันยื่นอุทธรณ์แน่ภายใน 60 วัน นั้น

เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 5 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังบ้านพักส่วนตัวของ นายปรีชา ใคร่ครวญ ที่ ต.ปากแพรก อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เพื่อสอบถามความคืบหน้าของคดี หลังจากเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ที่ผ่านมา ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ ยกฟ้องคดี ที่ครูปรีชา ฟ้อง ร.ต.ท.จรูญ วิมูล ความผิดฐานยักยอกทรัพย์และรับของโจร

นายปรีชา กล่าวว่า วันนี้ตนยังคงไปทำงานเหมือนเดิม ปกติ เพียงแต่ขออนุญาตไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เนื่องจาก ตอนนี้ตนต้องขอเวลาถอยหลังตั้งสติก่อน เพราะเมื่อวานที่ผ่านมา ศาลชั้นต้น ได้พิพากษา ให้ยกฟ้อง โดยตนจะต้องตั้งสติ และหาหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อมาหักล้างกับเอกสารทั้ง 71 หน้า ที่จะนำมาหักล้างกันในชั้นศาลอุทธรณ์ โดยเมื่อคืนก็นอนหลับปกติ แต่มีเครียดเล็กน้อยเท่านั้น

New Dem ล่มสลาย! รุ่นใหม่แห่ลาออก ซัดมติอัปยศ จุดธูปขอขมาผู้ก่อตั้งหรือยัง

New Dem ล่มสลาย! รุ่นใหม่แห่ลาออก ซัดมติอัปยศ จุดธูปขอขมาผู้ก่อตั้งหรือยัง

เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือ ไฮโซลูกนัท ทายาทนักธุรกิจเครือโนเบิล บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศไทย อดีตแนวร่วมกปปส. และอดีตผู้สมัคร ส.ส.เขต 15 กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่ม New Dem ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย” หลังพรรคประชาธิปัตย์ประกาศร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐว่า

“ผมยินดีที่ได้รู้จักและร่วมงานกันกับทุกท่านนะครับ และต้องขอขอบคุณทุกคะแนนเสียงที่เลือกให้ผมใน เขต 15 มีนบุรี/คันนายาว ร่วมถึงทุกคะแนนทั่วประเทศ สมาชิคพรรคทุกท่าน”

“ในเมื่อคำพูดต้องเป็นคำพูด ผมขอยุติบทบาททางการเมืองไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ ขอเป็นกำลังใจให้พรรคประชาธีปัตย์เสมอ และเชื่อในฝีมือของส.ส. และว่าที่รมต.ทุกท่านว่าจะทำคุณประโยชให้แก่ชาติบ้านเมืองได้แน่นอน untill next time – god bless”

เช่นเดียวกับ นายพริษฐ์ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ โพสต์เฟซบุ๊กว่า ขอขอบพระคุณประสบการณ์และมิตรภาพ ที่พรรคประชาธิปัตย์มอบให้ครับ ผมขอลาออกจากสมาชิกพรรคทันทีครับ คำไหนคำนั้นครับ

นอกจากนี้ นัฏฐิกา โล่ห์วีระ อดีตผู้สมัคร ส.ส.ชัยภูมิ เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มนิวเดิม โพสต์ระบุว่า “ดิฉันขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้โอกาสดิฉันเป็น1ในผู้สมัครส.ส. และขอบคุณทุกคะแนนเสียงของจังหวัดชัยภูมิ เขต1ที่มอบให้ แต่การตัดสินใจและมติของพรรคในการร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐไม่ตรงกับความคิดเห็นและอุดมการณ์ส่วนตัว”

“ดิฉันจึงขอยุติบทบาททางการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้พรรคได้ทำงานอย่างมีเอกภาพและเข้มแข็ง อย่างไรก็ตามขอเป็นกำลังใจให้กับส.ส. ของพรรคในการผลักดันนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ เพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง”

ส่วนนายทัดชนม์ กลิ่นชำนิ กลุ่มนิวเดม โพสต์เฟซบุ๊กว่า ผมเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่อายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ และได้ตัดสินใจยืนยันการเป็นสมาชิกอีกครั้งเมื่อ คสช. ประกาศให้มีการยืนยันสมาชิกภาพใหม่

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมเป็นเพียงสมาชิกตัวเล็กๆคนหนึ่ง ไม่ได้มีบทบาทอะไรมากมายในพรรคประชาธิปัตย์ แต่ผมมั่นใจมากว่าตลอดเวลาของการเป็นสมาชิกพรรค ผมได้ทำหน้าที่สมาชิกอย่างสมบูรณ์ยิ่งเท่าที่สมาชิกคนหนึ่งจะกระทำได้ ในการให้การสนับสนุน ประชาสัมพันธ์ รณรงค์

ตลอดจนเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆบ้างเท่าที่จะทำได้ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนและส่งเสริมให้พรรคมีความนิยมเพิ่มขึ้น รวมถึงการปกป้อง ชี้แจง ทำความเข้าใจกับบุคคลอื่นที่มีความเข้าใจผิดในสาระสำคัญต่อพรรค

แม้ในยุคที่ความนิยมตกต่ำ ผมยังคงยืนยันที่จะอยู่เคียงข้างพรรคภายใต้ภาวะกดดันทางการเมืองมากมายที่มีต่อพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยความหวังว่าสุดท้ายจะร่วมกันรักษาจุดยืนและอุดมการณ์ของพรรคเอาไว้ได้และกลับมาเข้มแข็งต่อไปในอนาคต

วันนี้ คณะกรรมบริหาร และ ส.ส. ได้มีมติเสียงข้างมากถึง 61 : 16 เสียง ในการตัดสินใจทางการเมืองที่ขัดต่ออุดมการณ์พรรคอย่างชัดเจน และไม่เห็นความสำคัญต่อคะแนนเสียง 3.9 ล้านเสียง ที่ลงคะแนนด้วยความยึดมั่นในอุดมการณ์และจุดยืนของพรรค ผมไม่มั่นใจว่า ก่อนการลงมติดังกล่าว ที่ประชุมได้ขอ มติเพื่องดเว้นการบังคับใช้อุดมการณ์พรรคข้อที่ 4 และ จุดธูปขอขมาดวงวิญญาณผู้ก่อตั้งและอดีตสมาชิกพรรคก่อนหรือไม่ ว่าวันนี้จะมีมติที่อัปยศที่สุดต่อการดำรงอยู่ของพรรคประชาธิปัตย์

แต่ด้วยความเป็นสมาชิกตัวเล็กๆคนหนึ่ง จึงไม่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงหรือขัดขืดใดๆได้ แต่ผมขอเลือกที่จะรักษาอุดมการณ์ประชาธิปัตย์เอาไว้กับตัว แล้วขอออกมาจากพรรคปลอมๆ ที่ไม่เหลือแก่นแท้ของประชาธิปัตย์อีกต่อไปแล้ว โดยการลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และยุติการสนับสนุนทุกรูปแบบ

ไอติม พริษฐ์ ประกาศยุติบทบาท ลาออกประชาธิปัตย์ ลั่นไม่สามารถเห็นด้วยได้!

จากผลการประชุมพรรคประชาธิปัตย์ มีมติเห็นด้วยกับการร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ด้วยคะแนนเสียง 61 เสียง ขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย มี 16 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง บัตรเสีย 1 ใบ รวมมีองค์ประชุมทั้งหมดจำนวน 80 คน ทำให้ในวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ จะลงคะแนนให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี

ล่าสุด พริษฐ์ วัชรสินธุ อดีตผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตบางกะปิ-วังทองหลางณ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงจุดยืนของตนเองภายหลังจากพรรคมีมติดังกล่าว โดยตัดสินใจยุติบทบาทในฐานะสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์ โดยให้เหตุผลถึงอุดมการณ์ที่ต่างกัน

โดยข้อความระบุว่า “วันนี้ เป็นที่ชัดเจนแล้ว ว่าพรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็น นายกรัฐมนตรี ผมเชื่อว่ามีทั้งคนที่เสียใจและดีใจกับผลลัพธ์นี้ เพราะการตัดสินใจของพรรค ส่งผลกระทบต่อทิศทางของประเทศ ในฐานะอดีตผู้สมัคร ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ผมขอแสดงความรับผิดชอบกับสิ่งที่ผมได้พูดไว้กับประชาชนตลอดชีวิตทางการเมืองของผมที่ผ่านมา

สำหรับใครก็ตามใน 3.9 ล้านเสียง ที่เลือกเราเพราะหวังว่าเราจะรักษาคำพูดของหัวหน้าพรรคในช่วงเลือกตั้ง

สำหรับใครก็ตามใน 3.9 ล้านเสียง ที่เลือกเราเพราะหวังว่าเราจะเป็นหนึ่งกำลังสำคัญในการหยุดการสืบทอดอำนาจ

สำหรับใครก็ตามใน 3.9 ล้านเสียง ที่เลือกเราเพราะหวังว่าเราจะต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ

สำหรับคุณลุงในชุมชนลาดพร้าว 101, คุณอาในหมู่บ้านสวนริมคลอง และอีกหลายๆคนในเขตบางกะปิ-วังทองหลาง ที่บอกผมว่า จะตัดสินใจเลือกผมและพรรค ถ้าผมสัญญาว่าเราจะเอาจริงตามที่ประกาศไว้ว่าจะไม่สนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์

ผมไม่มีคำอื่นที่จะบอกพวกท่านได้นอกจากคำว่า “ขอโทษ”

ผม “ขอโทษ” ที่สิ่งที่ท่านได้ ไม่ใช่สิ่งที่ท่านเลือก

ในฐานะสมาชิกพรรคคนหนึ่ง ผมพยายามอย่างเต็มที่ในการนำเสนอทางเลือกให้กับพรรค ที่ผมเชื่อว่าจะทำให้เราได้รักษาคำพูดที่เราให้ไว้กับประชาชน รักษาอุดมการณ์ดั้งเดิมของพรรคซึ่งยังคงเหลือร่องรอยอยู่ในชื่อของพรรค และ สำคัญที่สุด รักษาผลประโยชน์ของประชาชน ด้วยการนำพาประเทศเดินไปข้างหน้าบนถนนสายประชาธิปไตย ที่มองเห็นคุณค่าที่เท่าเทียมกันของมนุษย์ ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบถ่วงดุลและการบริหารประเทศที่โปร่งใส และ มีโอกาสสูงสุดในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่ให้ดีกว่าที่ผ่านมา

ผมพูดมาเสมอว่าเราต้องพยายามอย่าผูกขาดคำว่า “ประชาธิปไตย” เพราะทุกคะแนนเสียง ไม่ว่าจะลงให้พรรคไหน ล้วนมีความสำคัญเท่ากันหมดภายใต้ระบอบประชาธิปไตย

ถนนสายประชาธิปไตยควรมีหลายสายให้ประชาชนได้เลือก ที่อาจแตกต่างกันด้วยนโยบาย ด้วยวิธีการทำงาน หรือด้วยบุคลากร

การยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยไม่ได้หมายความว่า เราต้องเห็นด้วยกับถนนสายประชาธิปไตยทุกสาย แต่สำหรับผม การยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยคือการที่ถนนทุกสาย ไม่ว่าจะต่างกันแค่ไหน ต้องพร้อมแข่งขันภายใต้กรอบกติกาเดียวกันที่เป็นกลางและเป็นธรรม

ในฐานะนักประชาธิปไตย ผมไม่สามารถเห็นด้วยได้กับการสนับสนุนผู้นำหรือพรรคการเมืองที่ (ถ้ามองโลกในแง่ดีที่สุด) ได้รับอานิสงค์โดยบังเอิญ หรือ (ถ้ามองโลกในแง่ร้ายที่สุด) มีส่วนเกี่ยวข้องโดยเจตนา กับ กติกาและพฤติกรรมที่สังคมมองว่าไม่เป็นกลาง ไม่ว่าจะเป็น การจัดประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่เปิดให้มีการหาเสียงทั้งสองด้านได้อย่างเสรี, การเขียนกติกาที่ไม่ป้องกันให้กรรมการผันตัวมาเป็นผู้เล่น, การไม่ปฏิเสธว่าพร้อมจะใช้อำนาจของวุฒิสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งมาขัดความต้องการของประชาชน, การแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่โปร่งใสและดูเหมือนจะเอื้อเฟื้อพวกพ้อง หรือ การตีความสูตรคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อหลังเลือกตั้งเสร็จที่พลิกผลให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบ

ผมพูดมาเสมอว่า ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ผมอยากเห็นพรรคมีความชัดเจนและเดินไปข้างหน้าอย่างมีเอกภาพพร้อมกันกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทุกคน

แต่ในวันที่อุดมการณ์ของผมและอุดมการณ์ของพรรคแตกต่างกัน เพื่อรักษาหลักการว่าพรรคการเมืองควรเป็นพื้นที่ที่รวบรวมคนที่มีอุดมการณ์ตรงกัน เพื่อลดความเสียหายที่คำพูดในอนาคตของผมอาจจะทำให้สังคมมองว่าพรรคไม่ชัดเจน และเพื่อให้พรรคถูกขับเคลื่อนโดยบุคลากรเก่งๆหลายคนที่พร้อมเป็นตัวแทนของชุดความคิดพรรคในวันนี้ ผมขอเคารพการตัดสินใจของพรรค ด้วยการยุติทุกบทบาททางการเมืองในนามพรรค และลาออกจากสมาชิกพรรค

ผมขอขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้โอกาสผมมาโดยตลอด ตั้งแต่วันที่พรรคเป็นครูให้ผมในฐานะเด็กฝึกงานที่ไม่มีอะไรมากกว่าแค่ความสนใจในงานการเมือง จนมาถึงวันที่พรรคให้ผมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวในฐานะผู้สมัคร ส.ส. ของพรรค พรรคมีหลายอย่างที่ผมยังนับถือ ไม่ว่าจะเป็นการพร้อมรับฟังความเห็นที่หลากหลาย หรือ ความสามารถของหลายๆคนในพรรค ในเมื่อพรรคตัดสินใจอย่างนี้แล้ว ผมได้แต่เพียงหวังว่า ส.ส. ของพรรค จะสามารถผลักดันนโยบายของพรรคให้เป็นจริงได้ตามที่ท่านคาดหวังไว้ ทุกมิตรภาพและความสันพันธ์ที่ดีที่ผมได้รับจากแทบทุกคนในพรรค ผมจะไม่มีวันลืม

การตัดสินใจออกจากพรรค เป็นการตัดสินใจที่ผมใช้เวลาไตร่ตรองมานาน และเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตผม ผมเดินออกจากพรรค ไม่ใช่เพราะผมคิดว่าความคิดใครถูกหรือผิด แต่เป็นเพราะเราคิดต่างกัน ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศชาติและประชาชน

อนาคตผมจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่เรื่องสำคัญในวันนี้ แต่ผมยังขอยืนยันว่าความมุ่งมั่นที่อยากจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้นและซื่อตรงต่อความต้องการของประชาชน เป็นความตั้งใจที่จะไม่มีวันจางหาย ด้วยความเคารพ”

ณ วันนี้ เป็นที่ชัดเจนแล้ว ว่าพรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็น นายกรัฐมนตรี

ผมเชื่อว่ามีทั้งคนที่เสียใจและดีใจกับผลลัพธ์นี้ เพราะการตัดสินใจของพรรค ส่งผลกระทบต่อทิศทางของประเทศ

ในฐานะอดีตผู้สมัคร ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ผมขอแสดงความรับผิดชอบกับสิ่งที่ผมได้พูดไว้กับประชาชนตลอดชีวิตทางการเมืองของผมที่ผ่านมา

สำหรับใครก็ตามใน 3.9 ล้านเสียง ที่เลือกเราเพราะหวังว่าเราจะรักษาคำพูดของหัวหน้าพรรคในช่วงเลือกตั้ง

สำหรับใครก็ตามใน 3.9 ล้านเสียง ที่เลือกเราเพราะหวังว่าเราจะเป็นหนึ่งกำลังสำคัญในการหยุดการสืบทอดอำนาจ

สำหรับใครก็ตามใน 3.9 ล้านเสียง ที่เลือกเราเพราะหวังว่าเราจะต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ

สำหรับคุณลุงในชุมชนลาดพร้าว 101, คุณอาในหมู่บ้านสวนริมคลอง และอีกหลายๆคนในเขตบางกะปิ-วังทองหลาง ที่บอกผมว่า จะตัดสินใจเลือกผมและพรรค ถ้าผมสัญญาว่าเราจะเอาจริงตามที่ประกาศไว้ว่าจะไม่สนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์

ผมไม่มีคำอื่นที่จะบอกพวกท่านได้นอกจากคำว่า “ขอโทษ”

ผม “ขอโทษ” ที่สิ่งที่ท่านได้ ไม่ใช่สิ่งที่ท่านเลือก

ในฐานะสมาชิกพรรคคนหนึ่ง ผมพยายามอย่างเต็มที่ในการนำเสนอทางเลือกให้กับพรรค ที่ผมเชื่อว่าจะทำให้เราได้รักษาคำพูดที่เราให้ไว้กับประชาชน รักษาอุดมการณ์ดั้งเดิมของพรรคซึ่งยังคงเหลือร่องรอยอยู่ในชื่อของพรรค และ สำคัญที่สุด รักษาผลประโยชน์ของประชาชน ด้วยการนำพาประเทศเดินไปข้างหน้าบนถนนสายประชาธิปไตย ที่มองเห็นคุณค่าที่เท่าเทียมกันของมนุษย์ ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบถ่วงดุลและการบริหารประเทศที่โปร่งใส และ มีโอกาสสูงสุดในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่ให้ดีกว่าที่ผ่านมา

ผมพูดมาเสมอว่าเราต้องพยายามอย่าผูกขาดคำว่า “ประชาธิปไตย” เพราะทุกคะแนนเสียง ไม่ว่าจะลงให้พรรคไหน ล้วนมีความสำคัญเท่ากันหมดภายใต้ระบอบประชาธิปไตย

ถนนสายประชาธิปไตยควรมีหลายสายให้ประชาชนได้เลือก ที่อาจแตกต่างกันด้วยนโยบาย ด้วยวิธีการทำงาน หรือด้วยบุคลากร

การยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยไม่ได้หมายความว่า เราต้องเห็นด้วยกับถนนสายประชาธิปไตยทุกสาย แต่สำหรับผม การยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยคือการที่ถนนทุกสาย ไม่ว่าจะต่างกันแค่ไหน ต้องพร้อมแข่งขันภายใต้กรอบกติกาเดียวกันที่เป็นกลางและเป็นธรรม

ในฐานะนักประชาธิปไตย ผมไม่สามารถเห็นด้วยได้กับการสนับสนุนผู้นำหรือพรรคการเมืองที่ (ถ้ามองโลกในแง่ดีที่สุด) ได้รับอานิสงค์โดยบังเอิญ หรือ (ถ้ามองโลกในแง่ร้ายที่สุด) มีส่วนเกี่ยวข้องโดยเจตนา กับ กติกาและพฤติกรรมที่สังคมมองว่าไม่เป็นกลาง ไม่ว่าจะเป็น การจัดประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่เปิดให้มีการหาเสียงทั้งสองด้านได้อย่างเสรี, การเขียนกติกาที่ไม่ป้องกันให้กรรมการผันตัวมาเป็นผู้เล่น, การไม่ปฏิเสธว่าพร้อมจะใช้อำนาจของวุฒิสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งมาขัดความต้องการของประชาชน, การแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่โปร่งใสและดูเหมือนจะเอื้อเฟื้อพวกพ้อง หรือ การตีความสูตรคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อหลังเลือกตั้งเสร็จที่พลิกผลให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบ

ผมพูดมาเสมอว่า ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ผมอยากเห็นพรรคมีความชัดเจนและเดินไปข้างหน้าอย่างมีเอกภาพพร้อมกันกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทุกคน

แต่ในวันที่อุดมการณ์ของผมและอุดมการณ์ของพรรคแตกต่างกัน เพื่อรักษาหลักการว่าพรรคการเมืองควรเป็นพื้นที่ที่รวบรวมคนที่มีอุดมการณ์ตรงกัน เพื่อลดความเสียหายที่คำพูดในอนาคตของผมอาจจะทำให้สังคมมองว่าพรรคไม่ชัดเจน และเพื่อให้พรรคถูกขับเคลื่อนโดยบุคลากรเก่งๆหลายคนที่พร้อมเป็นตัวแทนของชุดความคิดพรรคในวันนี้ ผมขอเคารพการตัดสินใจของพรรค ด้วยการยุติทุกบทบาททางการเมืองในนามพรรค และลาออกจากสมาชิกพรรค

ผมขอขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้โอกาสผมมาโดยตลอด ตั้งแต่วันที่พรรคเป็นครูให้ผมในฐานะเด็กฝึกงานที่ไม่มีอะไรมากกว่าแค่ความสนใจในงานการเมือง จนมาถึงวันที่พรรคให้ผมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวในฐานะผู้สมัคร ส.ส. ของพรรค พรรคมีหลายอย่างที่ผมยังนับถือ ไม่ว่าจะเป็นการพร้อมรับฟังความเห็นที่หลากหลาย หรือ ความสามารถของหลายๆคนในพรรค ในเมื่อพรรคตัดสินใจอย่างนี้แล้ว ผมได้แต่เพียงหวังว่า ส.ส. ของพรรค จะสามารถผลักดันนโยบายของพรรคให้เป็นจริงได้ตามที่ท่านคาดหวังไว้ ทุกมิตรภาพและความสันพันธ์ที่ดีที่ผมได้รับจากแทบทุกคนในพรรค ผมจะไม่มีวันลืม

การตัดสินใจออกจากพรรค เป็นการตัดสินใจที่ผมใช้เวลาไตร่ตรองมานาน และเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตผม ผมเดินออกจากพรรค ไม่ใช่เพราะผมคิดว่าความคิดใครถูกหรือผิด แต่เป็นเพราะเราคิดต่างกัน ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศชาติและประชาชน

อนาคตผมจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่เรื่องสำคัญในวันนี้ แต่ผมยังขอยืนยันว่าความมุ่งมั่นที่อยากจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้นและซื่อตรงต่อความต้องการของประชาชน เป็นความตั้งใจที่จะไม่มีวันจางหาย


ด้วยความเคารพ

พริษฐ์ วัชรสินธุ

เริ่มแล้วขอวีซาสหรัฐ ต้องแจ้งบัญชีโซเชียลมีเดีย ขู่ถ้าโกหกเจอผลร้าย

วีซาสหรัฐต้องแจ้งโซเชียลมีเดีย เริ่มแล้ว ขู่ถ้าโกหกเจอผลร้าย

วีซาสหรัฐต้องแจ้งโซเชียลมีเดีย – วันที่ 2 มิ.ย. วีโอเอ รายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เริ่มใช้มาตรการใหม่ สำหรับผู้ยื่นขอวีซ่าเข้าประเทศ ยกเว้นนักการทูตและข้าราชการ ต้องแสดงข้อมูลการใช้โซเชี่ยลมีเดียอย่างถูกต้อง หลังรับรองกฎดังกล่าวที่รัฐบาลยุคโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอไปเมื่อปี 2561

มาตรการดังกล่าวเพิ่มการตรวจสอบเข้มงวดยิ่งขึ้นเพื่อควบคุมการเข้าเมืองของทางการสหรัฐในยุคนายทรัมป์ที่ใช้เป็นผลงานหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี

ผู้ยื่นคำร้องจะต้องส่งชื่อบัญชีที่ใช้ใน โซเชียลมีเดีย รวมถึง อีเมล์ และ เบอร์โทรศัพท์ ที่ใช้ในช่วง 5 ปี คาดว่าจะกระทบคนจำนวน 14.7 ล้านคนต่อปี รวมถึงผู้ที่เดินทางไปทำงานหรือศึกษาที่สหรัฐ

พร้อมเตือนว่า หากพบบุคคลใดก็ตามให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการใช้โซเชี่ยลมีเดียอาจเจอกับผลร้ายแรงจากการเข้าเมืองตามมา

“เรากำลังหากลไกเพื่อพัฒนากระบวนการคัดกรองคนเข้าเมืองเพื่อคุ้มครองพลเมืองอเมริกัน ขณะเดียวกันสนับสนุนการเดินทางเข้าสหรัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมาย” กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ระบุ

ก่อนหน้านี้ มีเพียงผู้ยื่นคำร้องขอวีซ่าที่เป็นคนที่อยู่ในพื้นที่ที่กลุ่มก่อการร้ายควบคุมอยู่เท่านั้นที่ทางการสหรัฐต้องการข้อมูลโซเชี่ยลมีเดีย เพื่อตรวจสอบเป็นพิเศษ

สุเทพ เท่งประกิจ ครูรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี

สุเทพ เท่งประกิจ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านคลองน้ำใส จังหวัดยะลา

ได้รับคัดเลือกให้รับ “รางวัลสมเด็จ เจ้าฟ้ามหาจักรี” ปี 2562 ของประเทศไทย

ทุ่มเทชีวิตและจิตใจ สอนหนังสือ ลูกศิษย์ในพื้นที่ที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบและความแตกแยกทางศาสนาวัฒนธรรมโดยไม่ย่อท้อ

เป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงแก่ชีวิตศิษย์

เกิดเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2509

ปริญญาตรีและโท สาขาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา

รับราชการในพื้นที่จ.ยะลา

ปัจจุบันดำรงตำแหน่งครูชำนาญการ โรงเรียนบ้านคลองน้ำใส อ.กาบัง จ.ยะลา

ปี 2555 ได้รับรางวัลครูผู้รับทุน “ครูสอนดี” จากสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)

ถือเป็นครูนักพัฒนา ผู้เปิดมิติการ เรียนรู้โรงเรียนสายสามัญ สร้างอาชีพที่อยู่ร่วมกับชุมชนมุสลิม

ใช้ภาษามลายู สร้างความสัมพันธ์ไทยมุสลิมและเข้าถึงคนในชุมชน

ตั้งศูนย์การเรียนรู้ทฤษฎีใหม่และศูนย์ช่างเศรษฐกิจพอเพียง จนมีลูกศิษย์ประสบความสำเร็จจำนวนมาก

เข้ารับพระราชทานรางวัล

พร้อมกับสุดยอดครู รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี 11 ประเทศ ในวันที่ 15 ต.ค.นี้

“ไอคอนสยาม” กระหึ่มคว้ารางวัล ชี้ต้นแบบธุรกิจยุคใหม่

2 รางวัลยักษ์ - นอกจากไอคอนสยามจะคว้ารางวัลระดับโลก "ชฎาทิพ จูตระกูล" ยังเป็นผู้บริหารหญิงไทยคนแรกที่ได้รับคัดเลือกให้จารึกชื่อใน World Retail Hall of Fame 2019 ของสภาการค้าปลีกโลก

ค้าปลีกไทยกระหึ่ม “ไอคอนสยาม” คว้ารางวัลออกแบบดีที่สุดในโลก ระบุคือต้นแบบธุรกิจยุคใหม่ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ผสมผสานทั้งค้าปลีก ที่พักอาศัย ความบันเทิง วัฒนธรรม และชุมชน ส่วน “ชฎาทิพ จูตระกูล” กลายเป็นผู้หญิงไทยคนแรกในหอเกียรติยศสภาค้าปลีกโลก

ไอคอนสยาม โครงการยักษ์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเปิดบริการเมื่อปลายปีที่ผ่านมา คว้ารางวัลชนะเลิศ World Retail Awards 2019 สาขา Best Store Design of the Year ที่มีการออกแบบดีที่สุดในโลก ในงานเดียวกัน นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เป็นผู้บริหารหญิงไทยคนแรกที่ได้รับคัดเลือกให้จารึกชื่อใน World Retail Hall of Fame 2019 ของสภาการค้าปลีกโลก (World Retail Congress) ในฐานะผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลง มีอิทธิพลต่อการกำหนดทิศทางและการขับเคลื่อนธุรกิจค้าปลีกในระดับโลก

คณะกรรมการระบุว่า ไอคอนสยาม ซึ่งเกิดจากความร่วมมือกับเจริญโภคภัณฑ์และแมกโนเลียฯ ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับวงการ ผสมผสานระหว่างค้าปลีก ที่พักอาศัย และความบันเทิงเข้าไว้ด้วยกัน มีการทำงานกับชุมชนโดยรอบ และผู้ประกอบการร้านค้า ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ในการสร้างโครงการที่มิใช่มีแค่เรื่องของธุรกิจเท่านั้น

นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า ตลอด 60 ปี สยามพิวรรธน์มุ่งมั่นจะเป็นผู้นำความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมในการสร้างต้นแบบ และนำมาตรฐานใหม่ ๆ มาพัฒนาวงการอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีก เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด

“เราไม่ได้เพียงแค่ปฏิวัติวงการในประเทศไทย แต่รวมถึงวงการค้าปลีกของโลก ให้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จและสามารถพลิกเกมครั้งยิ่งใหญ่ให้กับธุรกิจ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากไอคอนสยาม ซึ่งใช้เงินลงทุนมหาศาลถึง 54,000 ล้าน บนที่ดิน 55 ไร่ พื้นที่ภายในอาคารกว่า 750,000 ตารางเมตร ตั้งเป้าผู้ใช้บริการในปีแรก 150,000 คน สยามพิวรรธน์ยังเป็นผู้ดำเนินการสยามพารากอน สยามดิสคัฟเวอรี่ และสยามเซ็นเตอร์ รวมทั้งอยู่ระหว่างการพัฒนาลักเซอรี่พรีเมี่ยมเอาต์เลต ร่วมกับไซม่อน บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกอันดับหนึ่งของโลก คาดว่าจะเปิดให้บริการในเร็ว ๆ นี้

นางชฎาทิพกล่าวว่า การพัฒนาโครงการไอคอนสยามจนสำเร็จ ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ (new paradigm) ในการทำธุรกิจในรูปแบบ “shared values” หรือการสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นร่วมกันทุกฝ่าย และ “cocreation” หรือการร่วมกันรังสรรค์ให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรม และในสเกลที่ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อน สร้างผลประโยชน์ให้แผ่กระจายไปในวงกว้างทั้งระดับชุมชน สังคม และประเทศ

ในอดีตผู้เคยถูกจารึกชื่อในหอเกียรติยศสภาค้าปลีกโลก อาทิ Ingvar Kamprad ผู้ก่อตั้งอิเกีย, แจ็ก หม่า อาลีบาบา, Michale Gould-Bloomingdales, เซอร์พอล สมิท, มาธาร์ สจ๊วต, Jacques Levy-Sephora, Jo Loves ผู้ก่อตั้งโจ มาโลน, ริชาร์ด ลิว-JD.com เป็นต้น

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวด้วยว่า ความภาคภูมิใจประการหนึ่งของสยามพิวรรธน์คือ การสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศบนเวทีโลก และการประกาศให้โลกรู้ว่าคนไทยมีความคิดสร้างสรรค์และมีความรู้ความสามารถไม่แพ้ชาติใดในโลก

“ถ้ามองย้อนไปคงจำได้ว่า ตั้งแต่เริ่มโครงการเมื่อ 5 ปีก่อน เราพูดชัดเจนว่าโครงการนี้มีเพื่อให้คนทั่วโลกกลับมามองดูประเทศไทยด้วยความยอมรับนับถือ และทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้”

ก่อนหน้านี้ นางชฎาทิพเคยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า “ไอคอนสยามไม่ใช่ศูนย์การค้า แต่เป็นเดสติเนชั่นที่ทุกคนต้องมา โครงการนี้ท้าทาย และก่อสร้างยากมาก เปลี่ยนมุมมองในการทำงานทุกอย่าง มีอะไรที่เป็นที่สุดอยู่เยอะมาก”