

“เวชศาสตร์นิวเคลียร์” คือ สาขาวิชาหนึ่งของรังสีวิทยาที่ใช้สารกัมมันตรังสี ที่เรียกว่า “สารเภสัชรังสี” ในการตรวจหรือรักษาโรค โดยการตรวจเพื่อการวินิจฉัยจะใช้รังสีในปริมาณต่ำมาก ใกล้เคียงกับการตรวจทางรังสีทั่วไป มีความปลอดภัยสูง และมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงต่ำมาก ส่วนการรักษาด้วยสารกัมมันตรังสีจะใช้ในปริมาณที่เหมาะสม โดยแพทย์จะทำการประเมินระหว่างประโยชน์ที่ได้รับและความปลอดภัยของผู้ป่วยก่อนทุกครั้ง
จุดเด่นของเวชศาสตร์นิวเคลียร์
ข้อดีสำคัญของเวชศาสตร์นิวเคลียร์ คือ การตรวจที่เน้นดูการทำงานจริงของอวัยวะ และเมื่อนำมาประเมินรวมกับการตรวจภาพทางรังสีอื่น ๆ จะช่วยให้แพทย์เข้าใจสภาพของอวัยวะได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ส่งผลให้การวินิจฉัยมีความครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้น เช่น
การตรวจสแกนไต (Renal scan) ไม่ได้ดูเพียงขนาดหรือรูปร่างของไต แต่สามารถประเมินได้ว่า ไตแต่ละข้างทำงานได้ดีเพียงใด
การตรวจการไหลเวียนเลือดกล้ามเนื้อหัวใจ (Myocardial perfusion scan) เป็นการตรวจที่ไม่ได้ดูรูปร่างของหัวใจ แต่เพื่อประเมินว่าเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจเพียงพอหรือไม่ ทั้งในภาวะพักและขณะกระตุ้นการทำงานของหัวใจ
ด้วยเหตุนี้ เวชศาสตร์นิวเคลียร์จึงช่วยให้ข้อมูลเพื่อวินิจฉัยโรคได้ละเอียดมากขึ้น และเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายได้ดียิ่งขึ้น
สารเภสัชรังสี คือ อะไร?
สารเภสัชรังสี คือ สารที่มีการผสมสารกัมมันตรังสีในปริมาณน้อยมากเข้ากับสารเคมี เพื่อให้สารสามารถเดินทางไปจับกับอวัยวะเป้าหมาย เช่น ไต หัวใจ กระดูกหรือไทรอยด์
ในการตรวจวินิจฉัยส่วนใหญ่ จะใช้สารเภสัชรังสีที่ให้รังสีแกมมาหรือรังสีเอ็กซ์ที่มีพลังงานต่ำเป็นหลักและโดยทั่วไปจะใช้ในปริมาณเพียงเล็กน้อย มีความปลอดภัยสูง โอกาสเกิดผลข้างเคียงต่ำ โดยร่างกายจะค่อย ๆ ขับสารส่วนใหญ่ออกทางระบบขับถ่ายตามธรรมชาติภายในระยะเวลาไม่นาน สารกัมมันตรังสีประเภทนี้ที่ใช้มากที่สุดได้แก่ เทคนีเชี่ยม-99เอ็ม (Tc-99m)
สำหรับการตรวจโดยเครื่องมือ PET/CT จะใช้สารเภสัชรังสีที่ปล่อยรังสีโพซิตรอนในปริมาณน้อย มีความปลอดภัยสูง และเป็นการตรวจที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน สารที่ใช้มากที่สุดคือ ฟลูออรีน-18 ฟลูออโรดีออกซีกลูโคส (F-18 FDG) ซึ่งสะท้อนการใช้น้ำตาลของเซลล์ โดยเฉพาะเซลล์มะเร็งและเซลล์ที่มีการทำงานสูง ร่างกายสามารถขับสารนี้ออกทางไตและปัสสาวะได้ภายในระยะเวลาไม่นาน และมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงต่ำ
กรณีของการรักษาด้วยสารเภสัชรังสี มีวัตถุประสงค์เพื่อให้รังสีออกฤทธิ์ทำลายเซลล์ที่ผิดปกติหรือไม่พึงประสงค์ เช่น เซลล์มะเร็ง หรือเซลล์ต่อมไทรอยด์ที่ทำงานมากเกินไป โดยเลือกใช้สารเภสัชรังสีที่ปล่อยรังสีเบต้าหรือรังสีแอลฟา ซึ่งมีพลังงานเหมาะสมต่อการทำลายเซลล์เป้าหมาย
เมื่อเซลล์ได้รับรังสีในปริมาณที่เพียงพอจะทำให้เซลล์สูญเสียความสามารถในการแบ่งตัวและเกิดการตายของเซลล์ การรักษาจะใช้สารเภสัชรังสีในขนาดที่สูงกว่าที่ใช้เพื่อการวินิจฉัย เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ โดยแพทย์จะพิจารณาอย่างรอบคอบและประเมินความสมดุลระหว่างประโยชน์ของการรักษาและความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นรายบุคคลก่อนดำเนินการทุกครั้ง สารเภสัชรังสีที่นิยมใช้มากที่สุดในการรักษาคือ ไอโอดีน-131 (I-131) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาโรคของต่อมไทรอยด์และมะเร็งต่อมไทรอยด์บางชนิด
การให้บริการทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์
ด้านการวินิจฉัย
การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ช่วยประเมิน “การทำงานของอวัยวะ” มากกว่าโครงสร้าง ทำให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ตัวอย่างการตรวจที่พบบ่อย ได้แก่
Bone Scan (สแกนกระดูก) ใช้ตรวจหาการกระจายของมะเร็งมาที่กระดูก การติดเชื้อในกระดูก กระดูกอักเสบ หรือการบาดเจ็บที่กระดูกที่การเอกซเรย์ธรรมดาอาจยังไม่เห็น
Renal Scan (สแกนไต) ใช้ประเมินการทำงานของไตแยกข้างซ้าย–ขวา ตรวจหาการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ และช่วยวางแผนการผ่าตัดทางระบบปัสสาวะ
MUGA Scan (การตรวจการบีบตัวของหัวใจด้วยรังสี) ใช้ประเมินการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้าย (Left Ventricular Ejection Fraction, LVEF) ตรวจความผิดปกติของการเคลื่อนไหวผนังหัวใจ และติดตามผลข้างเคียงต่อหัวใจจากยาเคมีบำบัด
Myocardial Perfusion Scan (สแกนหัวใจ) ใช้ตรวจการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ เพื่อคัดกรองภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือประเมินความรุนแรงของโรคหัวใจขาดเลือด
Thyroid Scan (สแกนไทรอยด์) ใช้ประเมินการทำงานของต่อมไทรอยด์ ตรวจหาสาเหตุของไทรอยด์เป็นพิษ และจำแนกลักษณะของก้อนในต่อมไทรอยด์
PET/CT Scan เป็นเครื่องตรวจเฉพาะที่สามารถเลือกใช้สารเภสัชรังสีหลายชนิดที่ปล่อยรังสีโพซิตรอน โดยการตรวจที่พบบ่อยที่สุด คือ การประเมินโรคมะเร็ง เช่น การตรวจหาตำแหน่งก้อนมะเร็ง การแพร่กระจาย และการติดตามผลการรักษา
Dual-energy X-ray Absorptiometry (DXA) ใช้ตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density, BMD) ช่วยในการวินิจฉัยโรคกระดูกพรุนและประเมินความเสี่ยงกระดูกหัก
ด้านการรักษา
เวชศาสตร์นิวเคลียร์มีบทบาทสำคัญในการรักษาโรคบางชนิด ด้วยสารเภสัชรังสีที่สามารถออกฤทธิ์ตรงกับอวัยวะหรือเนื้อเยื่อที่ต้องการรักษา โดยส่วนมากเป็นการรักษาร่วมกับการรักษาหลักอื่น ๆ ช่วยให้เพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาได้ เช่น
รักษาไทรอยด์เป็นพิษด้วยสารไอโอดีนรังสี (I-131) โดยสาร I-131 จะเข้าไปทำลายเซลล์ต่อมไทรอยด์ที่ทำงานมากผิดปกติ ทำให้ควบคุมภาวะฮอร์โมนไทรอยด์เกินได้
รักษามะเร็งต่อมไทรอยด์หลังผ่าตัด เพื่อลดโอกาสการกลับมาเกิดซ้ำของมะเร็งและทำลายเซลล์มะเร็งที่เหลือ รวมถึงมะเร็งที่แพร่กระจาย
ลดอาการปวดจากมะเร็งกระดูกแพร่กระจาย ช่วยบรรเทาอาการปวดและปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วย
รักษามะเร็งบางชนิดร่วมกับการรักษาหลักอื่น ๆ เช่น มะเร็งนิวโรบลาสโตมา มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งของเนื้อเยื่อประสาท-ต่อมไร้ท่อ
…..แหล่งข้อมูล: ผศ. พญ.คนึงนิจ ธรรมนิรัต สาขาวิชาเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
นักท่องเที่ยวถูกใจสิ่งนี้ เปิดภาพฝูง "นกแขกเต้า" จำนวนหลายพันตัว บินมากินเมล็ดทานตะวันในไร่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา วันที่ 17 ธ.ค. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ไร่มณีศร ทุ่งทานตะวันเขาใหญ่ หมู่บ้านคลองเสือ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ฝูงนกแขกเต้านับพันตัว จากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ พาฝูงบินลงมาจิกกินเมล็ดทานตะวันในไร่ทานตะวันโซนที่กำลังแก่จัด ซึ่งทางไร่ฯ ปลูกเอาไว้เต็มพื้นที่ 540 ไร่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาเที่ยวชมทุ่งดอกทานตะวัน ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายในช่วงฤดูหนาว
ทางด้าน นายเทวา มหาศาล เจ้าของไร่มณีศร ทุ่งทานตะวันเขาใหญ่ เผยว่า นกแขกเต้าฝูงใหญ่เหล่านี้อยู่ในสายพันธุ์นกแก้ว ชาวบ้านท้องถิ่นจะเรียกกันว่า นกแขกเต้าเป็นแขกประจำของทางไร่ เพราะมักจะพาฝูงบินมาโฉบกินเมล็ดทานตะวันที่ไร่ในช่วงเวลานี้ทุกๆ ปี
ส่วนสาเหตุที่ฝูงนกแก้ว-นกแขกเต้า แวะเวียนมาที่ไร่มากว่าปกติ คาดว่าน่าจะเคยกินเมล็ดทานตะวันที่ไร่เป็นประจำทุกปี จึงเกิดความเคยชิน และที่ทางไร่ฯ ปลูกต้นทานตะวันไว้เป็นจำนวนมาก จึงเหมือนเป็นบุฟเฟ่ต์จานใหญ่ จูงใจให้นกแก้ว-นกแขกเต้าบินเข้ามากินที่ไร่จนเกิดเป็นภาพความสวยงามตามธรรมชาติ ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาชมฝูงนกได้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติที่ชื่นชอบการถ่ายรูปธรรมชาติ
ทั้งนี้ ปกติฝูงนกจะบินโฉบลงมากินเมล็ดทานตะวันในช่วงเช้าตรู่ เวลาประมาณ 06.00 น.-08.00 น. และในช่วงเวลา 15.00 น. – 17.00 น. นักท่องเที่ยว หรือบุคคลที่ต้องการมาส่องดูนก ต้องมาในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งทางไร่เปิดให้เข้าชมฟรี ตั้งแต่เวลา 07.00 น. - 18.00 น. จะได้เก็บภาพและชมความสวยงามของฝูงนกแขกเต้าคู่กับทุ่งทานตะวัน
อย่างไรก็ตาม แนะนำว่าบุคคลที่จะมาดูนก ห้ามส่งเสียงดัง และต้องอยู่ในระยะที่พอเหมาะ อย่าเข้าใกล้นกมากจนเกินไป เพราะจะเป็นการรบกวน และทำให้ฝูงนกตื่นตกใจบินหนีไปได้.
เมื่อ 10 ปีก่อน มนุษย์มีดาวเทียมที่โคจรรอบโลกอยู่ประมาณ 1,200 ดวง ผ่านมาหนึ่งทศวรรษ ตอนนี้เรามีดาวเทียมทำงานอยู่ประมาณ 12,000 ดวงแล้ว
แน่นอนว่าตัวเลขจะไม่หยุดเพียงเท่านี้ เพราะยังมีคำขอส่งดาวเทียมยื่นต่อคณะกรรมการการสื่อสารแห่งสหพันธรัฐสหรัฐฯ (Federal Communications Commission: FCC) อย่างต่อเนื่อง เช่น Starlink ดาวเทียมสื่อสารของ SpaceX จำนวน 29 ดวง ถูกส่งขึ้นไปโคจรรอบโลก โดยพวกเขาตั้งใจที่จะขยายดาวเทียมชุดใหม่ให้มีจำนวนมากกว่า 9,000 ดวง และยังตั้งเป้าไว้ว่า ภายในไม่กี่ปีข้างหน้าอาจมีดาวเทียมถึง 42,000 ดวงในวงโคจร ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ Blue Origin บริษัทด้านจรวดอวกาศของเจฟฟ์ เบซอสก็กำลังอยู่ในระยะตั้งไข่ในการช่วยบริษัทดาวเทียมยุโรปติดตั้งเครือข่ายดาวเทียมอยู่
ไม่นับว่าในช่วงหลายปีมานี้ หลายประเทศต่างพยายามพัฒนาดาวเทียมของตัวเองออกไปสู่อวกาศ ทั้งฝั่งยุโรป จีน รัสเซีย อินเดีย อิสราเอล ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ทำให้ในปีนี้ สถิติการปล่อยจรวดขึ้นสู่วงโคจรทั่วโลกจะใกล้แตะถึง 300 ครั้ง นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีจำนวนการส่งดาวเทียมมากขนาดนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงคาดว่า ภายในปี 2040 อาจมีดาวเทียมโคจรรอบโลกมากกว่า 1 แสนดวง
คำถามจากนักวิทยาศาสตร์คือ กระบวนการส่งดาวเทียมออกไปยังอวกาศนั้นจะส่งผลอันตรายทางกายภาพอย่างไรบ้าง เพราะจากงานศึกษาหลายชิ้นคาดการณ์ความเป็นไปได้ถึงการชนกันของวัตถุที่เพิ่มขึ้นและความเป็นไปได้ที่อาจเกิดเศษซากอวกาศที่ตกลงบนโลกเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ว่า บริษัทเหล่านี้จะระบุว่าดาวเทียมส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบให้เกิดการสลายตัวบนชั้นบรรยากาศ (design for demise) หมายความว่า ถ้าหากมันเสื่อมสภาพการใช้งานแล้วตกลงมาใส่โลก ดาวเทียมจะไม่สามารถทนความร้อนจากการกลับเข้าสู่บรรยากาศได้ แล้วมันก็จะสลายตัวไป
แต่นักวิทยาศาสตร์กลับมองว่า แม้เราจะเลือกทางเลือกที่ทำให้ชิ้นส่วนเหล่านั้นไม่เป็นอันตรายต่อเรา แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบด้านอื่นๆ
โดยเฉพาะผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับชั้นบรรยากาศโลก ไม่ว่าจะมลพิษจากเชื้อเพลิงจรวดขณะปล่อยดาวเทียมไปไว้บนอวกาศ และการปล่อยมลพิษจากดาวเทียมหลังเกิดการสลายตัวหรือเผาไหม้ (ablate) ระหว่างการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ
“ทั้งสองกระบวนการนี้กำลังก่อให้เกิดสารมลพิษที่ถูกปล่อยเข้าไปแทบทุกชั้นของบรรยากาศ” เอโลอีส มาเรส์ นักวิทยาศาสตร์ด้านบรรยากาศ ผู้รวบรวมข้อมูลการปล่อยมลพิษจากการปล่อยจรวดและการกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ จากมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน อธิบายกับ Yale Environment 360
มลพิษเหล่านี้จะส่งผลกระทบกับชั้นบรรยากาศมีโซสเฟียร์ ชั้นบรรยากาศโลกชั้นที่ 3 ที่อยู่สูงจากพื้นโลกประมาณ 50-85 กิโลเมตร และสตราโตสเฟียร์ ชั้นบรรยากาศโลกชั้นที่ 2 อยู่สูงจากพื้นโลกประมาณ 10-50 กิโลเมตร นักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจพบธาตุหลากหลายชนิดที่กำลังระเหยกลายเป็นไอในชั้นเมโซสเฟียร์ระหว่างการนำดาวเทียมและชิ้นส่วนจรวดที่ปลดระวางแล้วออกจากวงโคจร ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences (PNAS) มีงานวิจัยที่เก็บตัวอย่างอากาศในที่สูง พบว่าอนุภาคขนาดเล็กในอากาศมีส่วนประกอบของอะลูมิเนียม ซิลิกอน ทองแดง ตะกั่ว ลิเทียม และไนโอเบียม การพบอะลูมิเนียมในปริมาณมากอาจส่งผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศโอโซนที่กำลังปกป้องโลก
นอกจากนี้ ในวารสาร Geophysical Research Letters ยังมีงานวิจัยที่ระบุว่า ดาวเทียมที่มีน้ำหนัก 550 ปอนด์จะมีอนุภาคนาโนของอะลูมิเนียมออกไซด์จากการเผาไหม้ของดาวเทียมอยู่ที่ 70 ปอนด์ ในขณะที่ดาวเทียมของ SpaceX นั้นมีขนาดถึง 1,800 ปอนด์ ย่อมส่งผลให้เกิดอนุภาคนาโนที่มากกว่าแน่นอน และมลพิษโลหะที่ลอยอยู่ในบรรยากาศเหล่านี้อาจคงอยู่ได้นานหลายทศวรรษ
ปัจจัยข้อต่อมาที่น่ากังวลคือ ดาวเทียมเหล่านี้อยู่ในการดูแลของซีอีโอที่มีบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ทำธุรกิจหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น SpaceX ของอีลอน มัสก์ เจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย X หรือ Blue Origin ของเจฟฟ์ เบซอส เจ้าของ Amazon
บริษัทเหล่านี้กำลังผลิตดาวเทียมในวัฏจักรใช้แล้วทิ้ง กล่าวคือ เมื่อถึงอายุการใช้งานเฉลี่ยประมาณ 5 ปี พวกมันจะถูกนำลงมาด้วยการผ่านการเผาไหม้และสลายตัวในชั้นบรรยากาศ แล้วบริษัทเหล่านี้จะส่งดาวเทียมขึ้นไปใหม่ เมื่อบวกรวมกับตัวเลขเป้าหมายของแต่ละบริษัทแล้ว การปล่อยดาวเทียมเหล่านี้จึงมีลักษณะเป็น ‘อุตสาหกรรมดาวเทียม’
งานวิจัยยังคาดการณ์ว่า หากอุตสาหกรรมอวกาศเติบโตต่อไป อุณหภูมิในชั้นสตราโตสเฟียร์อาจเพิ่มขึ้นถึง 1.5 องศาเซลเซียส จอน เกิร์ตเนอร์ นักข่าวและนักประวัติศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมจึงนิยามว่า กระบวนการส่งดาวเทียมกำลังส่งผลให้ชั้นบรรยากาศกลายเป็น ‘เตาเผาขยะสำหรับเครื่องจักร’
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยอมรับว่าพวกเขายังขาดชุดข้อมูลบนชั้นบรรยากาศชั้นสูงมาก ทำให้ยังไม่มีองค์ความรู้มากพอในการทำความเข้าใจผลกระทบของการปล่อยดาวเทียมอย่างแท้จริง การจะทำเช่นนั้นได้ต้องใช้จรวดทดลองแบบ ‘ซาวน์ดิงร็อกเก็ต’ (sounding rockets) แต่ก็เป็นโครงการที่มีค่าใช้จ่ายสูง ในขณะที่นาซ่าเองยังคงลุ้นอยู่กับงบประมาณที่จะพัฒนาองค์ความรู้ต่อ วงการวิทยาศาสตร์ด้านอวกาศจึงฝากความหวังไว้ที่องค์การอวกาศยุโรป (ESA) ที่ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการนานาชาติขึ้น และได้ลงนามพันธสัญญาในการเริ่มโครงการเก็บข้อมูลภาคสนามภายใน 2 ปีข้างหน้า เพื่อให้องค์ความรู้ที่จะรับมือกับผลกระทบนั้นเติบโตได้ทันกับการพัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียมของบริษัทเอกชน
อ้างอิง: e360.yale.edu
นักกีฬาเพาะกายรุ่นคุณย่าจากไต้หวันเผยเคล็ดลับปั้นหุ่นสวย-หน้าเด็กว่า เธอยกเวททุกเช้าและกินแต่อาหารจากธรรมชาติที่ไม่ผ่านการปรุงแต่ง
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเรื่องราวของคุณย่าชาวไต้หวันวัย 72 ปี ผู้สร้างความฮือฮาในโลกโซเชียลมีเดีย หลังจากที่เธอสวมบิกินี่อวดกล้ามเนื้อสุดเฟิร์มในการแข่งขันเพาะกายเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าอายุเป็นเพียงตัวเลขและจุดกระแสความชื่นชมไปทั่วโลกออนไลน์
คุณย่าสุดแกร่งคนนี้คือ หลินสุ่ยจื่อ จากไทเป ผู้ได้รับฉายาว่า “คุณย่านักเพาะกาย” เธอเพิ่งขึ้นเวทีการแข่งขันเพาะกายและฟิตเนสรายการใหญ่ประจำปีหรือ 2025 President’s Cup Bodybuilding and Fitness Championships ของสมาคมเพาะกายและฟิตเนสไต้หวัน และได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก
ในฐานะคุณย่าที่มีหลานถึง 5 คน หลิน ลงแข่งขันในรุ่นอายุเกิน 70 ปี และทำให้กรรมการรวมถึงผู้ชมต้องทึ่งด้วยรูปร่างที่แข็งแรง ไลน์กล้ามเนื้อที่ชัดเจน และรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
ก่อนที่จะมีชื่อเสียงในวงการเพาะกาย คุณย่าหลินเคยทำงานเป็นผู้ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานที่ศูนย์ชุมชนหมินเซิงในไทเปมานานหลายปี เธอให้คำแนะนำผู้ป่วยเกี่ยวกับการจัดการความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวานผ่านการคุมอาหารและออกกำลังกายมาโดยตลอด แต่ผู้ป่วยหลายคนมักทำตามไม่ได้ โดยมักอ้างว่าไม่มีเวลา
ด้วยเหตุนี้ คุณย่าหลินจึงตัดสินใจที่จะ “ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง” โดยเริ่มฝึกเวทเทรนนิ่งเมื่ออายุ 69 ปี ซึ่งแต่เดิม เธอทำเพราะต้องการเข้าใจเรื่องการออกกำลังกายโดยใช้แรงต้านที่เธอเคยแนะนำให้ผู้สูงอายุทำ ซึ่งเธอเปิดเผยกับนิตยสาร Common Health ว่าตอนแรกคิดว่าการฝึกเวทเป็นแค่การสร้างกล้ามเนื้อให้ใหญ่ขึ้น แต่ในไม่ช้าก็เข้าใจว่า มันเป็นการออกกำลังเพื่อสุขภาพและเป็นการสร้างไลน์กล้ามเนื้อที่ชัดเจนมากกว่า
ความทุ่มเทของคุณย่าหลินส่งผลอย่างรวดเร็ว เธอสามารถคว้าอันดับ 3 ในการแข่งขันเพาะกายระดับชาติเมื่อปี 2566 และคว้าอันดับ 2 ในการแข่งขัน TBFA Championship ในปีต่อมา
คุณย่าหลินได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวเสมอ
การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างความประหลาดใจให้กับครอบครัวอย่างมาก โดยเฉพาะหลานชายทั้ง 5 คน ซึ่งเธอเล่าว่า ครั้งหนึ่งตอนที่อาบน้ำกับหลานชายแล้วเขาเห็นรูปร่างของเธอก็ถึงกับอุทานว่า “คุณย่าคือวันเดอร์วูแมนที่ไม่มีใครสู้ได้เลย”
ขณะเดียวกัน สามีของเธอซึ่งก็คือนายแพทย์เฉินปิ่งเจียน อายุรแพทย์โรคหัวใจชื่อดัง ก็สนับสนุนเธออย่างเต็มที่และเน้นย้ำว่าการฝึกแรงต้านมีประโยชน์มหาศาลต่อร่างกาย โดยเฉพาะในไต้หวันที่ผู้คนจำนวนมากต้องต่อสู้กับโรคความดัน ไขมันในเลือดสูง และเบาหวาน
เคล็ดลับชะลอวัยของหลินคือการยกเวททุกเช้า
สำหรับสูตรลับการชะลอวัยของคุณย่าหลินนั้นเรียบง่าย แต่ต้องอาศัยวินัยอย่างสูง เธอจะอุทิศเวลา 1 ชั่วโมงแรกของทุกเช้าตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ให้กับการยกเวท ส่วนด้านโภชนาการ เธอจะเน้นการกินอาหารธรรมชาติที่ไม่ผ่านการแปรรูปและลดปริมาณคาร์โบไฮเดรต นอกจากนี้ยังรักษาความกระฉับกระเฉงผ่านการเล่นโยคะ เต้นลีลาศ และวาดรูป
คุณย่าหลินบนเวทีประกวดนักเพาะกายปีล่าสุด
“ฉันหวังว่าแม้ในยามแก่ชรากว่านี้ ฉันจะยังสามารถสอนคนในบ้านพักคนชราให้วาดรูป เต้นรำ และยกเวทได้” เธอกล่าว
คุณย่าหลินบอกผู้ป่วยที่มักจะท้อใจบ่อยๆ ว่า ครึ่งหลังของชีวิตคนนั้นยังอีกยาวไกลและเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ ขอแค่มีความตั้งใจก็ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่เพื่อบำรุงทั้งกายและใจ
เรื่องราวของคุณย่าหลินได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่เผ็ดร้อนในหมู่ชาวเน็ตที่ต่างแสดงความทึ่งในความมีวินัยและรูปลักษณ์ที่ดูอ่อนเยาว์ของเธอ
ชาวเน็ตรายหนึ่งแสดงความเห็นว่า “เธออายุ 72 จริงเหรอ เธอดูเด็กกว่าอายุจริงอย่างน้อย 20 ปีเลย เหงื่อก็คือเซรั่มชะลอวัยที่ดีที่สุดจริงๆ นะ”
ส่วนชาวเน็ตอีกรายบอกว่า “หลานชายของเธอคงพูดได้อย่างเต็มปากว่า ‘ย่าของผมยังจะแข็งแรงกว่าคุณเสียอีก’”
ที่มา : scmp.com
เครดิตภาพ : YouTube / WOWSight.tw, Facebook... สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/5414370/
อุทยานแห่งชาติคลองลาน เปิดภาพความประทับใจ “เฉาก๊วย-กล้วยไข่” คู่หูเสือดำและเสือดาวที่ออกหากินร่วมกัน สะท้อนความสำเร็จในการอนุรักษ์และความหลากหลายทางชีวภาพของผืนป่าไทย
เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.68 ย้อนกลับไปในช่วงกลางปี 2563 กล้องดักถ่ายภาพสัตว์ป่า (Camera Trap) ขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF ประเทศไทย) บันทึกวินาทีประวัติศาสตร์ขณะเสือดาวและเสือดำเดินเคียงคู่กันออกหากินในพื้นที่ป่าคลองลาน จ.กำแพงเพชร ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ที่พบเห็นได้ยากยิ่งในธรรมชาติ และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของชื่อเรียกสุดน่ารักอย่าง “เฉาก๊วย” (เสือดำ) และ “กล้วยไข่” (เสือดาว) ซึ่งตั้งตามของดีขึ้นชื่อประจำจังหวัด
การปรากฏตัวของ “เฉาก๊วยและกล้วยไข่” ไม่ใช่เพียงความน่ารักของสัตว์ป่าเท่านั้น แต่คือหลักฐานสำคัญทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าอุทยานแห่งชาติคลองลานมีความอุดมสมบูรณ์ในระดับสูง เนื่องจากเสือดาวเป็นสัตว์ผู้ล่าที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร การที่พวกเขาสามารถอาศัยและแพร่พันธุ์ได้ ยิ่งย้ำให้ทราบว่าผืนป่ามีห่วงโซ่อาหารที่สมบูรณ์ มีสัตว์เหยื่อ เช่น กวาง และหมูป่า อย่างเพียงพอ
มีพื้นที่ที่ปลอดภัย ผืนป่ามีความกว้างขวางและเชื่อมต่อกัน (Forest Corridor) ไร้การรบกวน ตลอดจนความหลากหลายทางพันธุกรรม การเกิดเสือดำ (Melanism) ในประชากรเสือดาว สะท้อนถึงพันธุกรรมที่สมบูรณ์และสมดุล
ปัจจุบัน อุทยานแห่งชาติคลองลานร่วมกับ WWF ประเทศไทย ยังคงติดตามพฤติกรรมของ “เฉาก๊วยและกล้วยไข่” อย่างใกล้ชิดผ่านเทคโนโลยีการจัดการพื้นที่อนุรักษ์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อนำข้อมูลมาใช้วางแผนการอนุรักษ์สัตว์ป่าหายากอย่างยั่งยืน
อุทยานแห่งชาติคลองลานจึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และส่งต่อเรื่องราวของเฉาก๊วยและกล้วยไข่ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในการดูแลป่าไม้ไทยให้คงอยู่สืบไป
ขอบคุณข้อมูลและภาพ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 นครสวรรค์... สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/5415131/?utm_source=taboola&utm_medium=organic_content_recirculation