ครบเครื่อง
ญ. อมตะ
ครบเครื่อง ญ. อมตะ 15 มิถุนายน 2562

นำนักร้องดังเปิดคอนเสิร์ตข้างเมรุ ร่วมรำลึกวันจากไป พุ่มพวง ดวงจันทร์

ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการจัดงานวันรำลึกถึงราชินีน้กร้องลูกทุ่ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ ปีที่ 27 มาจากวัดทับกระดาน ต.บ่อสุพรรณ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ที่เริ่มงานมาตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย.และจะมีไปจนถึงวันที่ 16 มิ.ย.ว่า หลังจากเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ (13 มิ.ย.) ได้มีการประกอบพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้กับราชินีเพลงลูกทุ่งตลอดกาล ท่ามกลางญาติพี่น้องและแฟนเพลงของพุ่มพวง รวมถึงนักเสี่ยงโชคแห่ไปร่วมพิธีกันแน่นศาลาการเปรียญ พร้อมการได้เลขเด็ดจากการเขย่าเซียมซีของ เพชร พุ่มพวง บุตรชายคนเดียวของแม่ผึ้ง ที่สร้างความฮือฮาหลังเขย่าได้เลข 813 ซึ่งตรงกับวันครบรอบการจากไป

ต่อมาเมื่อตอนค่ำวันเดียวกัน บรรดาศิลปินเพลงลูกทุ่งชื่อดังทั้งอดีตและปัจจุบัน พาเหรดกันขึ้นเวทีแสดงคอนเสิร์ตมนต์เพลงลูกทุ่งกันมากมายเกือบ 50 ชีวิต เพื่อร่วมรำลึกถึงราชินีเพลงลูกทุ่งคนดัง ซึ่งศิลปินที่ขึ้นเวทีนำทีมโดยกลุ่มนักร้องที่เป็นเครือญาติของพุ่มพวงทั้ง สลักจิตร ดวงจันทร์ - ไกรสร แสงอนันต์ - เพชร พุ่มพวง ขณะที่ค่ายแกรมมี่โกล์ด ได้ส่ง เปาวลี พรพิมล - ฮาย ชุติมา ตรีชัยณรงค์ - ลำยอง หนองหินห่าว - ดิเจ มะตูม มาขึ้นเวที ท่ามกลางแฟนเพลงที่แห่ไปชมกันแน่นขนัด

ทั้งนี้ก่อนขึ้นเวทีศิลปินทุกคนพากันไปกราบแท่นบูชาซึ่งมีรูปของพุ่มพวง พร้อมเครื่องเซ่นไหว้ตั้งไว้ให้นักร้องทุกคนได้กราบไหว้อยู่หลังเวทีที่ตั้งอยู่ โดยนักร้องทุกคนได้หันหน้าไปทางเมรุที่ใช้ในการฌาปนกิจจริงพุ่มพวง เมื่อวันที่ 25 ก.ค.2535 ซึ่งอยู่ติดกับเวทีการแสดงคอนเสิร์ต เพื่อแสดงความเคารพ และขอพรให้การขึ้นร้องเพลงเป็นไปด้วยความราบรื่น.

ฟ้องศาลสะเพร่า แม่จีนปวดใจ เลี้ยงลูกผิดคนมา 23 ปี ตัวจริงพี่เลี้ยงขโมยไป

รายงานเรื่องราวชีวิตสุดดราม่าของครอบครัวชาวจีนที่สะท้อนถึงกระบวนการศาลจีนมีข้อบกพร่อง ทำให้แม่ชาวจีนได้รับเด็กที่ไม่ใช่ลูกมาเลี้ยงจนเติบใหญ่ กระทั่งต้นปี 2561 คนที่ขโมยเอาลูกไป ยอมมาบอกความจริงและคืนลูกชายตัวจริงให้

นางจู เสี่ยวจวน วัย 53 ปี ยื่นฟ้องต่อศาลเมืองฉงชิ่ง หยูจง ให้เอาผิดศาลสููงมณฑลเหอหนาน พร้อมเรียกค่าเสียหายทางจิตใจและการเงิน 2,950,000 หยวน หรือราว 13.3 ล้านบาท จากกรณีที่ศาลตัดสินผิดและมอบเด็กชายที่ไม่ใช่ลูกมาให้เลี้ยงดู

ลูกชายของนางจู เมื่อปี 2535 ก่อนถูกลักพาตัวไป

คดีนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2535 ที่เมืองฉงชิ่ง ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ลูกชายคนเดียวของนางจู อายุ 1 ขวบ หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ผู้เป็นแม่ออกตามหาตลอด 3 ปี กระทั่งเห็นเด็กคนหนึ่งหน้าตาคล้ายลูกอยู่ในกลุ่มเด็กที่ตำรวจมณฑลเหอหนาน ภาคกลางของจีน ไปช่วยมาจากวงจรค้ามนุษย์ จึงยื่นเรื่องให้ศาลที่เหอหนานช่วยพิสูจน์

ปี 2538 ศาลมณฑลเหอหนานสั่งให้ตรวจดีเอ็นเอ และได้ผลว่าเด็กมีลักษณะทางชีวภาพที่สัมพันธ์กับนางจูและสามี นางจูจึงปักใจเชื่อตั้งแต่นั้นมาว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของตน และเลี้ยงดูด้วยความรักและเอาใจใส่โดยไม่ติดสงสัย พร้อมเรียกเด็กชายด้วยชื่อเล่นเดิมของลูก ว่า ผันผัน

นางจูและลูกชายตัวจริง ก่อนถูกถูกลักพาไป

กระทั่ง 23 ปีต่อมา ในเดือนมกราคม 2561 นางเหอ เสี่ยวผิง อายุ 48 ปี อดีตพี่เลี้ยงเด็กของครอบครัว หวนกลับมา บอกนางจูว่าตนเองเป็นคนเอาลูกนางจูไปเลี้ยงดูเอง ตั้งชื่อให้ใหม่ว่า หลิว จิ้นซิน แต่สำนึกผิดแล้วจึงนำมาคืนให้กับพ่อแม่ที่แท้จริงของเด็ก

ครั้งนี้ผลการตรวจดีเอ็นเอ พิสูจน์ว่า ด.ช.หลิวเป็นลูกชายตัวจริงของนางจูและสามี ส่วนผันผัน เด็กชายที่เลี้ยงดูมาไม่ใช่ และพบว่าการตรวจดีเอ็นเอของเจ้าหน้าที่ศาลเหอหนาน เมื่อปี 2538 นั้นทำแบบลวกๆ ไม่รอบคอบ จึงยืนยันผลผิดพลาด

หนุ่มหลิวที่พลัดพรากจากพ่อแม่มานานโดยไม่รู้ เผยว่าช็อกมากที่รู้ผลและคิดว่าชีวิตจะเปลี่ยนไปอย่างไร หากไม่ถูกลักพาตัว จากผลกระทบนี้ ทำให้ตนไม่ได้ไปทำงานสองสามวัน หลังจากรู้ผลตรวจเพราะเอาแต่ดื่มเหล้าจนเมามาย

ส่วนผันผัน เด็กที่จูเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก กล่าวว่า ยังเคารพแม่จูเหมือนเดิมและผลการตรวจดีเอ็นเอก็ไม่ได้ทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างเขาและแม่จูเปลี่ยนแปลงไป

แม่ลูกจริงๆ หวนกลับมาพบกันอีกครั้ง

นางจูไปแจ้งความกับตำรวจเทศบาลนครฉงชิ่ง โดยกล่าวว่า พยายามทำใจเพราะคิดว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน คิดว่าพบลูกชายแล้วและเลี้ยงดูอบรมด้วยความรักและผูกพัน ซึ่งเยียวยาให้หายจากความเศร้าโศกเมื่อลูกหายไปได้ แต่เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็เหมือนกับการเปิดแผลใหม่ให้ช้ำใจอีกครั้ง อีกทั้งเห็นว่า ผันผันที่ตนเลี้ยงดูมาก็พลาดโอกาสที่จะพบพ่อแม่ที่แท้จริงเช่นเดียวกัน เนื่องจากความบกพร่องของกระบวนการศาล

ด้านศาลมณฑลเหอหนานแถลงขออภัยกับความผิดพลาดที่เกิดจากเทคโนโลยีที่ไม่ดีพอในขณะนั้น แต่ยืนยันว่าศาลไม่ได้ละเมิดกฎหมายข้อใด และเสนอจ่ายค่าเสียหายให้ 1.2 ล้านบาท ซึ่งต่างจากที่โจทก์เรียกไป 12 ล้าน จึงยังตกลงกันไม่ได้ และยังต้องสู้คดีต่อไป

20เดือนทะลุ6.4หมื่นล้าน! ยอดใช้จ่ายเงินบัตรคนจน ปลุกศก.รากหญ้าสะพัด

กรมการค้าภายใน โชว์ยอดใช้จ่ายเงินสวัสดิการแห่งรัฐผ่านร้านธงฟ้าฯ ทะลุ 6.4 หมื่นล้านบาท กว่าครึ่งเป็นการซื้อสินค้าเกษตรและสินค้าชุมชน โวลั่นทำเศรษฐกิจรากหญ้าสะพัด

13 มิ.ย.62 นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ติดตามยอดการใช้จ่ายเงินสวัสดิการแห่งรัฐผ่านร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ทั้งร้านแบบติดตั้งเครื่องรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDC)และแบบใช้แอพพลิเคชั่น “ถุงเงินประชารัฐ” 60,873 ร้านค้า ล่าสุดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 ถึง 26 พฤษภาคม 2562 มียอดรวมทั้งสิ้น 64,775.99 ล้านบาท แบ่งเป็นการใช้จ่ายผ่านร้านค้าที่ติดตั้งเครื่อง EDC จำนวน 61,973.92 ล้านบาท และร้านค้าที่ติดตั้งแอพพลิเคชั่น จำนวน 2,402.65 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ยอดใช้จ่ายของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐผ่านร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ตั้งแต่เปิดโครงการจนถึงปัจจุบันประมาณ 20 เดือน มีวงเงินใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละกว่า 3,200 ล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินเหล่านี้กระจายถึงระดับฐานราก ทำให้ร้านค้าในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ร้านค้ามีความเข้มแข็ง และยังเป็นที่พึ่งของคนในชุมชน เป็นที่พึ่งของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถเลือกซื้อสินค้าราคาถูกกว่าท้องตลาดได้ โดยร้านค้าธงฟ้าประชารัฐยังมีส่วนช่วยเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้กับเกษตรกร ผู้ผลิตสินค้าในชุมชน

"ปัจจุบันสินค้าที่จำหน่ายในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐกว่าครึ่งหนึ่งเป็นสินค้าจากเกษตรกรและผู้ผลิตสินค้าชุมชน หากคิดเป็นมูลค่าการจับจ่ายผ่านร้านค้าธงฟ้าประชารัฐจะมีเม็ดเงินประมาณ 32,000 ล้านบาท ที่เข้าไปช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและผู้ผลิตสินค้าชุมชน เป็นการช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจระดับฐานรากได้เป็นอย่างดี"นายวิชัย ระบุ

ทั้งนี้ ที่ผ่านมากรมฯ ยังได้เข้าไปช่วยเหลือร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ โดยจัดกิจกรรมและเชื่อมโยงการยกระดับเครือข่ายร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ โดยจัดให้มีการอบรมร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ และเชื่อมโยงระหว่างเกษตรกร ผู้ผลิตสินค้าชุมชนกับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ เพื่อสร้างโอกาสขายสินค้าให้กับเกษตรกรและผู้ผลิตสินค้าชุมชน และเพิ่มความหลากหลายของสินค้าที่มีวางจำหน่ายในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ซึ่งได้จัดที่ภาคเหนือ จ.พิษณุโลก ภาคกลาง จ.ชลบุรี และกำลังจัดที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ขอนแก่น ภาคใต้ จ.สงขลา

"ดังนั้น กรมฯ มั่นใจว่าร้านค้าธงฟ้าประชารัฐจะเป็นร้านทางเลือกที่จำหน่ายสินค้าราคาถูกกว่าท้องตลาดให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและประชาชนทั่วไป เพราะมีจุดเด่นที่ร้านค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ หรือร้านสะดวกซื้อไม่มี ก็คือ ความเป็นชุมชน การเป็นเพื่อนบ้าน และยังมีสินค้าจากเกษตรกร สินค้าชุมชน สินค้าข้ามภาคมาจำหน่าย โดยกรมฯ เชื่อว่ายอดการใช้จ่ายของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐผ่านร้านค้าธงฟ้าประชารัฐจะขยายตัวเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป"

ชาวบ้านแห่บูชาน้ำผุด ยันคนป่วยไข้มาดื่มกินหายแล้วหลายราย

วันนี้ (11 มิ.ย.62) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านเลขที่ 112 ม.17 บ้านบ้านดงเจริญ หมู่ 17 ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย ซึ่งเป็นบ้านของนายบุตร ทิศอุ่น อายุ 70 ปี และนางแสงหล้า ทิศอุ่น อายุ 69 ปี โดยที่บริเวณใต้ต้นลำไยได้เกิดมีน้ำผุดออกมาคล้ายตาน้ำ โดยบริเวณดังกล่าวได้มีการนำเอาไม้ไผ่มาล้อมทำเป็นรั้ว และนำปูนมาก่อเป็นบ่อรอบบริเวณน้ำที่ผุดขึ้นมา แล้วต่อท่อออกมา เพื่อรองใส่ภาชนะ เพื่อให้ผู้ที่มีความเชื่อมากราบไหว้บูชาและตักน้ำนำไปดื่มและทาตามจุดที่เจ็บป่วยตามความเชื่อ โดยมีชาวบ้านที่ทราบข่าวเดินทางมาดูและกราบไหว้ทั้งยังขอตักน้ำที่ผุดนำไปรักษา บางรายก็เอาไปทาตามจุดที่เจ็บปวด เช่นเข้า หลัง และขา

โดยจุดที่เกิดน้ำผุดออกมานั้นก่อนหน้านี้เป็นจุดที่เอาเปลือกถั่วและเศษใบไม้มากองรวมกันจนกระทั่งวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายบุตร พบว่ามีน้ำซึมออกมาจากต้นลำใยดังกล่าว แต่ก็ไม่ได้เอะใจ เมื่อเวลาผ่านไป น้ำก็ยังไม่หยุดไหลโดยผุดขึ้นมาเรื่อยๆ จึงได้ทำการขุดดูจึงพบว่ามีน้ำผุดออกมา

จากนั้นชาวบ้านที่รู้ข่าวก็มาขอน้ำและบอกว่าเป็นน้ำวิเศษ น้ำทิพย์ เมื่อนำไปดื่มและทาตามที่ปวดแล้วก็พบว่าหายปวด บางรายตาพร่ามัวมองไม่ค่อยเห็น เมื่อนำมาทาตา ก็รู้สึกว่าหาย จึงได้ขุดเป็นบ่อแล้วนำปูนมาก่อโดยรอบ และได้นำไม้ไผ่มาล้อมและต่อท่อออกมาเพื่อให้ชาวบ้านที่เดินทางมาสามารถตักได้สะดวก

โดยนายบุตร และนางแสงหล้า เจ้าของบ้าน เล่าว่า ตนทำอาชีพเกษตรกร ทำไร่ทำสวน แล้วนำผลผลิตไปขายที่ตลาด หลังจากที่เกิดน้ำผุดก็มีคนมาขอน้ำไป ซึ่งก็ไม่ได้เก็บเงิน แต่คนที่มากราบไหว้และมาขอน้ำไปก็อยากให้เงินเป็นค่าครู ตนจึงได้รวบรวมเงินที่ได้รับมาไว้เพื่อจะนำไปถวายวัดในหมู่บ้าน ซึ่งจะมีการจัดงานบุญเร็วๆ นี้

"สำหรับคนที่มาเอาน้ำผุดหรือน้ำทิพย์ ไปดื่ม ไปทานั้น หากเป็นคนที่มีความเชื่อก็จะหาย แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่มีความเชื่อเอาไปก็เหมือนยาธรรมดา รักษาไม่หาย หลังจากที่มีข่าวแพร่ออกไปก็เริ่มมีคนจากต่างหมู่บ้านเดินทางมากราบไหว้และขอน้ำไปเป็นจำนวนมากวันละ 30-40 คน คาดว่าหากข่าวแพร่ออกไปก็จะมีผู้ที่ศรัทธาจากพื้นที่อื่นๆ เดินทางมาอีก ซึ่งก็จะไม่เก็บเงินแต่อย่างใด เพราะอยากให้ทุกคนได้รับสิ่งดีๆ" นายบุตร กล่าว