มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้ถอดอดีตข้าราชการตำรวจ ออกจากยศตำรวจ ตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ประกอบระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 ข้อ 1(2) และ (4) และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ที่ได้รับพระราชทานทุกชั้นตรา ตามข้อ 6 ข้อ 7(2) และ (4) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ.2548
ให้ถอด พันตำรวจโท สันธนะ ประยูรรัตน์ ออกจากยศตำรวจตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2545 ซึ่งเป็นวันที่ลงโทษไล่ออกจากราชการ เนื่องจากได้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก ตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์ช้างเผือก จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย และเบญจมาภรณ์ช้างเผือก
พันตำรวจโท สันธนะ ปรากฏเป็นข่าวหลายครั้ง คดีล่าสุดคือถูกจับกุมดำเนินคดี ตลาดใหม่ดอนเมือง ที่ตำรวจบุกตรวจจับพ่อค้าแม่ค้าเนื่องจากมีการจำหน่ายอาหารเสริม และเครื่องสำอางไม่ได้มาตรฐาน โดย พันตำรวจโท สันธนะ อ้างว่า ตนเองเป็นที่ปรึกษาเจ้าของตลาด นำชายฉกรรจ์ขัดขวางการปฏิบัติงานของตำรวจ พร้อมปะทะคารมกับนายตำรวจที่นำกำลังเข้าตรวจค้น จนนำไปสู่การออกหมายจับข้อหากรรโชกทรัพย์
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. แถลงภายหลังการประชุม ครม.ว่า สัปดาห์หน้าเป็นต้นไปจะมอบหมายให้ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ทำหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อชี้แจงในนามของสำนักนายกรัฐมนตรี ในเรื่อง ครม.อะไรต่างๆ เหล่านี้ เพราะหลายคนอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง
“ผมก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศของตนเองบ้างเหมือนกันแต่มันเปลี่ยนไม่ได้ จะให้ใครไปชี้แจงแทนนายกฯ โดยตรงก็ไม่ได้ ผมก็คือตัวผม จะเห็นได้ว่าระยะที่ผ่านมาอารมณ์เย็นเป็นที่สุด เปิดดูในโซเชียลฯ มาแต่ก่อนโมโห เดี๋ยวนี้ก็ไม่โมโห เพราะไอ้คนว่าก็คนเดิมนั่นแหละ ผมก็ให้สัมภาษณ์แบบเดิม เพียงแต่ทำหน้าที่ชี้แจงแทน พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีก็ไปทำหน้าที่รักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ก็แบ่งงานกันไปยังช่วยกันไปเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าทำงานด้วยกันรัฐบาลเดียวกัน ใครอยู่ตรงไหนก็เหมือนกัน เพียงแต่วิธีการนำเสนออาจจะได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ลุคใหม่หน่อย ไม่เบื่อหน้านายกฯ เบื่อหรือยัง จะได้หาคนมาชี้แจงแทนนายกฯ” นายกฯ กล่าว
อดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ (USFDA) ห้ามนำเข้าน้ำปลาไทยบางยี่ห้อ ว่า ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และเป็นความเข้าใจผิด เพราะปัจจุบันไทยยังสามารถส่งออกน้ำปลาไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้ตามปกติ มีเพียงน้ำปลาบางยี่ห้อที่มีปัญหา เพราะถูกสหรัฐฯ ใส่รายชื่อไว้ในบัญชีแจ้งเตือนสินค้าที่ถูกกักกันการนำเข้า (IMPORT ALERT) ว่าอาจจะเป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ปลอดภัยต่อการบริโภค ตามระเบียบ 21 CFR PART 123 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อ 18 ธ.ค. 2540 ที่กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ปลาและการประมงทุกอย่างทั้งที่มีแหล่งกำเนิดในต่างประเทศหรือในสหรัฐฯ ต้องได้รับการจัดเตรียม บรรจุ และเก็บรักษาให้เป็นไปตามข้อกำหนด HACCP หากผู้ผลิตรายใดไม่ปฏิบัติตามอาจถูกกักกันการนำเข้าโดยไม่ต้องมีการตรวจตัวสินค้าจนกว่าจะมีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าได้ดำเนินการตามข้อแนะนำของการแจ้งเตือนดังกล่าวแล้ว
“ปัจจุบันมีน้ำปลาไทยถูกขึ้นบัญชี 4 รายการ คือ ตราคนแบกกุ้ง ปี 2553 ตราพูนสินและทิพรส ปี 2557 และล่าสุดตราปลาหมึก เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2561 ส่วนตราไซ่ง่อน ที่ถูกขึ้นบัญชีปี 2552 ได้เลิกกิจการไปแล้ว จึงไม่อยู่ในข่ายที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งนอกจากน้ำปลาไทยยังมีน้ำปลาจากเวียดนาม คือ ตันฮา ฟิซซอส ที่ถูกเตือนมาตั้งแต่ 12 ม.ค. 2561 โดยน้ำปลาที่ถูกแจ้งเตือนจาก USFDA จะถูกกักไม่สามารถนำเข้าได้เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีการนำเอกสารชี้แจงให้เห็นถึงกระบวนการผลิตที่ปลอดภัย”
สหรัฐฯ ถือเป็นตลาดส่งออกน้ำปลาใหญ่ที่สุดของไทย และจากการตรวจสอบการส่งออกน้ำปลาไปสหรัฐฯ ในปัจจุบันพบว่ายังคงส่งออกได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะถูกเตือนในบางยี่ห้อ เพราะยังมีผู้ส่งออกรายอื่นๆ อีกกว่า 10 ยี่ห้อที่ยังส่งออกได้ตามปกติ ไม่ถึงขั้นต้องใช้เกลือทดแทนตามที่เป็นข่าว
2 นายทหารระดับสูงในกองทัพจีน “ฝัง เฟิงฮุย” และ “จาง หยาง” ถูกปลดออกจากสมาชิกภาพพรรคคอมมิวนิสต์จีน และตำแหน่งในกองทัพ .. ด้วยข้อหาติดสินบน-รับสินบน สร้างความเสื่อมเสียต่อพรรคและกองทัพอย่างร้ายแรง .. “พล.อ.จาง หยาง” เป็นอดีตหัวหน้าในหน่วยงานทางการเมืองของกองทัพจีน ถูกคณะกรรมาธิการทหารกลางฯไต่สวน เมื่อ ส.ค.2560 ในข้อหาฝ่าฝืนวินัยพรรคฯอย่างร้ายแรง และรับสินบน .. โดย “นายพลจาง” ได้เลือกที่จะปลิดชีวิตตัวเอง เมื่อเดือน พ.ย.2560 และถูกยึดทรัพย์ไปแล้ว .. แต่ก็ยังถูกปลดออกจากตำแหน่ง ถอดยศ และปลดออกจากสมาชิกภาพพรรคฯตามมาอีก เรียกว่าตายไปแล้วก็ยังหนีความผิดไม่พ้น ..
ขณะที่ “พล.อ.ฝัง เฟิงฮุย” ผู้บัญชาการทหารอายุน้อยที่สุด เป็นผู้บัญชาการเขตทหารปักกิ่ง ประธานกรมเสนาธิการทหาร ก็ถูกแจ้งข้อกล่าวหาในช่วงไล่เลี่ยกัน แต่เพิ่งมีการเปิดเผยออกมา .. โดย “นายพลฝัง” ถูกเชื่อมโยงกับ “รัฐบาล คสช.” พอสมควร เมื่อ “สำนักข่าวต่างประเทศ” รายงานว่า “มีความสนิทสนมกับทหารใหญ่ในคณะรัฐประหารคสช.” .. อ้างตรงกันว่า ก่อนสิ้นอำนาจไม่นาน “นายพลฝัง” ได้ต้อนรับ “คณะนายทหารจากกองทัพไทย” เป็น “อาคันตุกะชุดสุดท้าย” ที่กรุงปักกิ่ง เมื่อเดือน ส.ค.2560 ..
ช่วง พ.ค.2560 “นายพลฝัง” ที่ตอนนั้นเป็น ประธานกรมเสนาธิการร่วม คณะกรรมาธิการทหารกลาง ได้มาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ .. ได้เข้าเยี่ยมคารวะ ทั้ง “นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ด้วย .. เป็นช่วงไล่เลี่ยกับที่ “รัฐบาลไทย” ลงนามซื้อ “รถถัง VT-4” จากจีน วงเงินราว 5 พันล้านบาท รวมทั้งเซ็นสัญญาจ้างสร้างเรือดำน้ำอีก 13.5 หมื่นล้านบาท .. หลังจากนั้น ยังมีการอนุมัติให้จัดซื้อรถเกราะล้อยางจากจีนอีก 34 คัน เป็นเงิน 2.3 พันล้านบาท .. โดยว่ากันว่า อดีตพล.อ.ฝัง เฟิงฮุย และ อดีต พล.อ.จาง หยาง มีส่วนในการร่วมเจรจาในทุกรายการซื้อของรัฐบาลไทย .. ปฏิบัติการเด็ดหัว 2 นายพลใหญ่ของจีน จึงมี “ลูกหลง” มาถึงเมืองไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ .. โดย “บิ๊กป้อม” ยืนยันว่า “ไม่ทราบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว” และย้ำว่า กระทรวงกลาโหมจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากจีนแบบ “รัฐต่อรัฐ” ซึ่งเป็นไปอย่างถูกต้องตามกระบวนการของกฎหมายทุกขั้นตอน .. จะไปกล่าวหาว่า การจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของไทย พัวพันกับ 2 นายพลใหญ่ ก็คงไม่เป็นธรรม ต้องรอผลการสอบสวนของทางการจีนออกมาเสียก่อน .. แต่ก็ “บังเอิญอย่างเหลือเชื่อ” ที่ก่อนหน้านี้ก็มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกัน ที่ “เกาหลีใต้” เมื่ออดีตผู้บริหาร ของ บริษัท โคเรีย แอโรสเปช อินดัสตรีส์ (KAI) รัฐวิสาหกิจผลิตเครื่องบินและอากาศยานทหาร ถูกตั้งข้อหาว่าพัวพันกับการทุจริต ตกแต่งบัญชี ติดสินบน กำหนดราคาขายผลิตภัณฑ์ในราคาสูงเกินจริง .. เป็นบริษัทเดียวกับที่รัฐบาล คสช.ไปขอซื้อเครื่องบินฝึก T-50TH วงเงิน 9 พันล้านบาท .. แน่นอนว่าคงต้องรอผลการสืบสวนจาก “เกาหลีใต้” เสียก่อนว่า รายการซื้อเครื่องบินของรัฐบาลไทย รวมอยู่ในรายการที่ “ทุจริต-ติดสินบน-ตั้งราคาแพง” หรือไม่ .. อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน อาจจะเป็นคราวซวยของ รัฐบาล คสช. ที่ดันไปเลือกซื้อกับคนขายที่ “ทุจริตคอร์รัปชั่น” ก็เป็นได้
สร้างปรากฎการณ์ใหม่ในรอบ 10 ปี สำหรับภาพยนตร์ นาคี 2 หลังฉายแค่ 4 วันทะลุ 200 ล้าน และกำลังจะเข้า300 ล้านแล้ว งานนี้พระเอก “ณเดชน์ คูกิมิยะ” เผยว่าชื่นใจแทนทุกคนที่อยู่เบื้องหลัง ภูมิใจที่ได้ฉายาพระเอกร้อยล้าน กับหนังเรื่องที่สองในชีวิต
“น่าดีใจ น่าชื่นใจแทนผู้อยู่เบื้องหลังทุกคนที่เต็มที่กับเรื่องนี้ หายเหนื่อย กระแสตอบรับเข้ามาค่อนข้างดี แต่เราอาจจะไม่ได้เจอกับตัว เพราะไม่ได้อยู่ในบรรยากาศนั้น แต่เห็นผ่านสื่อต่างๆ ว่ามีคนไปยืนออรอกันอยู่หน้าโรงหนัง บัตรไม่พอ บางคนไปถึงจองไม่ได้เพราะตั๋วเต็ม แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ไปวันไหนก็ได้ หนังยังมีฉายอยู่เรื่อยๆ ลองเข้าไปดูรอบตั๋วในเว็บไซต์ของโรงหนังเพื่อจองกันก่อนก็ได้ หลังจากรอบปฐมทัศน์ก็ยังไม่ได้เจอพี่อ๊อฟ (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) เลยครับ แต่เดี๋ยวคงจะหาโอกาสเข้าไปขอบคุณพี่อ๊อฟด้วย”
“ก็ดีใจครับ เป็นหนังเรื่องที่ 2 ในชีวิต ได้ขนาดนี้ก็พอใจแล้ว ได้ทำงานกับคนที่เรารู้จัก เราสนิท และอยากจะทำงานกับเขาด้วย เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิด ดีใจที่หนังออกมาสนุก มีเสียงหัวเราะ มีเรื่องราวขนหัวลุก ก็อยากให้ทุกคนไปรับประสบการณ์ตรงนั้นด้วยกัน เราไม่ได้บนอะไรไว้ มีแต่ขออย่างเดียว เป็นความสบายใจที่ได้ทำ จะมีผลหรือเปล่าเป็นอีกเรื่อง”
เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา กองสลาก เมกะ มิลเลียนส์ แจ๊กพอต ลอตเตอรี ประกาศตัวเลขลอตเตอรีที่ถูกรางวัลมูลค่ามหาศาลอีกครั้งในประวัติการณ์หวยสหรัฐ เป็นเงินสูงถึง 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 52,592,000,000 บาท
ตัวเลขแจ๊กพอตไก้แก่หมายเลข 28, 70, 5, 62, 65 และเลขพิเศษเมกะบอล หมายเลข 5
ต่อมาในช่วงสายวันนี้ จึงพบว่า อภิมหาเศรษฐีใหม่เป็นครอบครัวของผู้โชคดีที่อยู่ในรัฐเซาท์แคโรไลนา จากบรรดานักเสี่ยงโชคทั้งหมดหลายร้อยล้านคนจากทั่วทั้งสหรัฐและจากหลายพันล้านคนหากนับรวมนักเสี่ยงโชคที่ซื้อลอตเตอรีข้ามประเทศ จึงถือว่ามีโอกาสที่จะถูกรางวัลที่ 1 ได้น้อยมากและพวกเขาจะต้องเป็นคนที่ดวงเฮงจริงๆ
สำหรับผู้ถูกรางวัลจะเลือกรับเงินรางวัลทั้ง 52,160 ล้านบาท เป็นงวดๆ ไปตลอด 29 ปีก็ได้ หรือเลือกรับเงินสดครั้งเดียวที่มูลค่า 913 ล้านดอลลาร์ หรือราว 30,000 ล้านบาทก็ได้ ซึ่งโดยปกติผู้ถูกรางวัลนิยมรับเงินไปงวดเดียวเลย