ครบเครื่อง
ญ. อมตะ
ครบเครื่อง ญ.อมตะ 10 กุมภาพันธ์ 2561

พิธีกรแถวหน้ามีความแซ่บอย่างรุนแรง วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา ออกตัวชัดเจน ไปนานแล้วว่าเป็นกลุ่มคนชายรักชาย ตอนนี้สังคมไทยมีอีกประเด็นที่น่าคิดและต้องทำอยู่ นั่นคือการเร่งพิจารณาออกกฎหมายแต่งงานสำหรับเพศเดียวกัน ชายรักชาย หญิงรักหญิง ไม่ใช่แค่จดทะเบียนสมรสแค่นั้น แต่รวมไปถึงมีสิทธิเท่าเทียม ความเสมอภาคกันในด้านต่างๆ เหมือนการแต่งงานของ หญิง-ชาย เช่น สิทธิในการที่อีกฝ่ายได้ตายไป แล้วคู่ชีวิตได้รับมรดก สิทธิในการกู้ร่วมในการซื้อบ้าน ซื้อรถ รวมถึงสิทธิต่างๆ ฯลฯ ที่คู่รักชาย-หญิง มีอยู่แล้ว และควรจะขยายไปถึงคู่รัก ชาย-ชาย หญิง-หญิง ด้วยเช่นกัน เพราะปัจจุบันนี้ มีหลาย ประเทศที่พัฒนาแล้ว เปิดกว้างให้การยอมรับ มีสิทธิเท่าเทียมกัน ออกกฎหมาย แต่งงาน สำหรับเพศเดียวกันไปแล้วในหลายๆ ประเทศทั่วโลก

"ตอนนี้ประเทศไทยมีความพร้อมมาตั้งนานแล้ว กับกฎหมายชายรักชาย หรือหญิงรัก หญิง ที่แน่ๆ มันจะต้องเกิดขึ้นไม่วันข้างหน้าก็วันข้างหน้าโน่น หมายถึงไม่พรุ่งนี้ก็มะรืนๆ บอกเลยว่าเป็นสิ่งที่หลายคนตั้งเป้าว่าจะต้องเกิดขึ้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้ขึ้นอยู่กับ ผู้ใหญ่บ้าน เมืองเราที่ใจกว้าง ทันต่อโลก และเข้าใจการเปลี่ยนแปลง และสังคมต้องเห็นความ สำคัญของ ความเสมอภาคของคน ไม่ว่าจะเพศไหนก็ตาม

"ใครที่ไม่เห็นด้วย หรือคิดว่าไม่เหมาะ อยากให้ลองคิดใหม่ ขอแค่ให้ลองคิดใหม่ สิ่งที่เราเชื่อ หรือสิ่งที่เราคิด ไม่ได้บอกว่าผิด แต่อยากให้ลองให้โอกาสคนอื่นๆ ที่มีความรัก เขาอยากจะเป็นฝั่งเป็นฝา อยากจะมีกฎหมายที่เชื่อมโยงความรักของเขาไว้ เหมือนที่คุณ รักกับภรรยาหรือสามีของคุณ คนอื่นๆ ในโลกใบนี้ ก็อยากจะได้สิทธิตรงนั้นด้วย สำหรับคน ที่ไม่เห็นด้วย อยากให้ขอทบทวนนิดนึง สุดท้ายคนที่ได้ไปก็คือพี่น้องชาวไทยนั่นเอง มันเหมือนกับการปลดล็อก เขาจะมีความสุขกับการใช้ชีวิต โลกเราจะน่าอยู่ยิ่งขึ้น เมื่อทุกคน เสมอภาคกัน".

แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต มองว่าเด็กสมัยนี้เขามองความรักเป็นอีกมิติหนึ่ง แต่ว่าถ้าเขาได้เรียนรู้ไปกับพวกเราซึ่งเชื่อว่า ความรักมันไม่มีความลับ ถ้ามีความลับแสดงว่าเป็นความรักที่ไม่แท้จริง มันไม่ค่อยถูกต้อง ส่วนความรักที่กำลังจะพูดถึงคุณแม่เรียกว่า ความยั่งยืน ไม่ต้องครอบครองกัน แต่มีความปรารถนาดีให้แก่กัน ก็คือ คุณเสถียร

เขาคือคนแรกและคนเดียวที่เข้ามาในชีวิตของคุณแม่ เรื่องราวเกิดขึ้น ในงานเลี้ยงปีใหม่ของบริษัทคุณเสถียร เราขึ้นไปบนเวทีก็เห็นสายตาของคนคนหนึ่ง ที่มองมาไม่กะพริบเลย แล้วพอเราลงมาก็มีมือเอื้อมมาสะกิดแล้วก็ชวนคุย แล้วจากนั้นก็ได้คุยกันสม่ำเสมอทุกวัน ทำให้กลายเป็นความผูกพัน เรารู้สึกอบอุ่นและไว้ใจ คือถ้าเราเริ่มให้ใจใครก็จะลงรายละเอียด ก็ถามเขาตรงๆ ว่า มีใครแล้วหรือยัง

ซึ่งคุณเสถียรก็พูดง่ายๆ บอกโตขนาดนี้แล้ว พอเราได้ยินแบบนี้ เราก็เข้าใจความ หมายทันที และรู้ว่ามันไม่ถูกต้องแล้ว ก็เลยถอยห่างออกมาจากความไม่ถูกต้องนั้น ก็ทำอยู่หลายวิธีทั้งไปเรียนต่อ จนถึงคิดจะมีครอบครัว แต่สุดท้ายเรา ก็รู้ว่ามันไม่ใช่ ทางที่ดีที่สุด แล้วคุณเสถียรก็ให้โอกาสมาให้เรา คือแนะนำให้เรา มาบวชเพื่อ คิดทบทวนและหาทางออก

ซึ่งเราถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก และจากวันแรกมาถึงตอนนั้นก็ 7 ปีแล้ว ที่ตื่นตี 4 ตี 5 ทำวัตร พอเดินออกจากกุฏิ รถคุณเสถียรมาจอดแล้ว และก็ยังมาทุกวันตลอด 7 ปี และคุณเสถียรก็ให้การสนับสนุนอุปถัมภ์การทำงานในวัดที่เราบวช จนถึงวันที่คุณเสถียร ล้มป่วย หมอบอกว่าวันสองวันนี้ให้เตรียมใจ คุณแม่ก็จับมือคุณเสถียรเลย บีบมือบอกว่า คุณต้องจำนะ เราจะพบกันในกุศล คุณเสถียรก็พยักหน้าแล้วก็คืนลมหายใจ แล้วก็ไปอย่าง สงบ และแม้แต่ตายไปแล้วเราก็ยังรู้สึกเลยว่า ความรักมันไม่ได้หายไปไหนเลยค่ะ”

แค่ข้ามคืน“เบาะแส”อันเกี่ยวกับ เปรมชัย กรรณสูต บิ๊กอิตาเลียนไทย ผู้ต้องหาคดีล่าสัตว์ป่าในเขตอนุรักษ์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก ก็พรั่งพรูออกมา ไม่หยุดหย่อน .. ทั้งข้อมูลจากทางการ การพิเคราะห์ภาพจากเหตุการณ์ หรือการขุดของ“นักสืบโซเชียล”ทั้งหมดทั้งมวล ชี้ตรงกันว่า “ก๊วนพรานเปรมชัย” ไม่ได้มาเล่นๆ แต่เป็นระดับ “มืออาชีพ” หาใช่คนแก่ที่นึกสนุกไปท่องป่าศึกษาธรรมชาติตามที่อ้าง .. อีกทั้งมีการขุดภาพในอดีต ที่“พรานคู่ใจ”ก็เคยลั่นผ่านเฟซบุ๊กอย่างไม่อ้อมค้อมว่า“เข้าป่าล่าสัตว์” จับโกหก “เจ้าสัวเปรมชัย” ที่อ้างว่า เพิ่งเคยเข้าป่า 1-2 ครั้ง ได้จั๋งๆ .. ตลอดจนของกลางที่ตำรวจไปค้นบ้านพัก “ประธานเปรมชัย”พบปืนหลายชนิดมากกว่า 40 กระบอก มีทั้งลูกซอง-ไรเฟิล ที่ส่วนใหญ่เป็น“ปืนเฉพาะทาง”สำหรับ “พรานล่าสัตว์”ทั้งนั้น .. กระทั่งภาพลับเฉพาะที่เคยไปสัมภาษณ์ และถ่ายภาพ“เสี่ยเปรมชัย”เมื่อหลายสิบปีก่อน ที่ออฟฟิส บน ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ ก็ปรากฏ “หนังเสือโคร่งผืนใหญ่” บนเก้าอี้ทำงาน .. ถือว่าเป็น“หลักฐานแวดล้อม”ที่ไม่เพียงแต่จะถูกสังคม พิพากษาใน ความอำมหิตไปแล้วเท่านั้น ยังเป็น“ร่องรอย”ที่บ่งชี้ว่า วีรกรรม “คณะล่าเสือดำ” คราวนี้ไม่ใช่ครั้งแรก .. จนพอสรุปได้ว่า“เข้าป่าล่าสัตว์”เป็นกิจกรรมโปรดปรานของ“เจ้าสัวอิตัลไทย”เพียงแต่ไม่เคยเป็นข่าว .. ก่อนจะมาเจอ“คนจริง”อย่าง“พรานวิเชียร” วิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก สยบ“ความอหังการ์”ในครั้งนี้ ..

ปฏิเสธไม่ได้อีกว่า “ความอหังการ์” ของ “พรานเปรมชัย” ที่มีพฤติการณ์ หลงยุคเช่นนี้ ก็ด้วยพื้นฐานความร่ำรวย ในฐานะเบอร์ 1 แห่งอาณาจักรแสนล้าน .. ก็ด้วย “เครืออิตาเลียนไทย” ที่เป็นยักษ์ใหญ่วงการรับเหมา ได้แชร์สัมปทานโครงการรัฐมาตลอด ในยุคคสช. ก็เก็บไปไม่น้อย .. สัมปทานรัฐของอิตัลไทย ที่ถืออยู่ตอนนี้ ไล่เรียงกันพอสังเขป ก็มี รถไฟทางคู่ระยะที่ 2 จำนวน 9 โครงการ มูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท, รถไฟไทย-จีน, รถไฟฟ้า สายสีม่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ และสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรม-บางขุนนนท์ มูลค่ากว่า 2 แสนล้าน บาท , ท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 , รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท รวมไปถึงโครงการบริหารจัดการน้ำ ที่โดดเข้าไปแบ่งเค้กด้วย .. สะท้อนให้เห็นว่า นอกเหนือ จาก “อำนาจเงิน” แล้ว “เจ้าสัวเปรมชัย” ยังมีอิทธิพลผ่าน “ผู้มีอำนาจ” ในทุกยุคอีกด้วย

คำประกาศ “หากประชาชนไม่ต้องการ พร้อมจะไปจากตำแหน่ง” ทำให้ทุกคน ตีความว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี คงตัดสินใจแล้วที่จะลาออก เพื่อยุติแรงกดดันจากปมนาฬิกาหรู ที่ถมเข้าใส่รัฐบาลไม่มีทางออกอื่นหลงเหลืออยู่ แล้ว นอกจากการเสียสละตัวเอง เพราะถ้าดันทุรัง ยื้อสถานการณ์ต่อไป ไม่เพียงพล.อ.ประวิตร เท่านั้นที่จะพัง แต่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาจะไม่รอดไปด้วยใครจะคิดว่า พล.อ.ประวิตร เปลี่ยนใจ จากการประกาศยกธงขาว รอจังหวะเวลาที่ จะลงจาก หลังเสือ แต่กลับมาฮึดสู้อยู่ต่อไป พร้อมจะลากรัฐบาลล่มสลายไปพร้อมกัน

เว็บไซต์ “CHANGE” ที่ออกมาสนับสนุนพล.อ.ประวิตร โดยรณรงค์ให้ คนร่วม โหวตลงชื่อให้พล.อ.ประวิตรอยู่ต่อ และจับแพะชนแกะ จนมีเสียงสนับสนุนกว่า 1 หมื่นรายนั้น ทีแรกคิดกันว่าอาจเป็นกองหนุนที่ต้องการเอาใจนายโดยพล.อ.ประวิตรไม่ได้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง แต่หลังจากที่นายทหารคนสนิทของพล.อ.ประวิตรออกมายืนยันว่า พล.อ.ประวิตร ไม่ลาออกตามที่เป็นข่าว และยืนยันทำงานต่อไปจนจบภารกิจ ทำให้ไม่แน่ใจแล้วว่า

เว็บไซต์ CHANGE ที่ออกมาหาเสียงโหวตสนับสนุนพล.อ.ประวิตรนั้น เป็นส่วนหนึ่งของ แผนการโต้กลับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เป็นส่วนหนึ่งของการจัดฉาก สร้างกระแส ถ่วงดุล กลุ่มคนที่เคลื่อนไหวรณรงค์ขับไล่พล.อ.ประวิตรหรือไม่

น่าจะเป็นการยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า พี่ใหญ่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พี่เบิ้มในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ ไม่ตอบรับกระแส สังคมที่ต้องการ ให้แสดงสปิริต โดยลาออกจากตำแหน่ง เพื่อสร้างบรรทัดฐานทางการเมือง แสดงความรับ ผิดชอบกับ ปมนาฬิกาหรู

ปมนาฬิกาหรูกว่า 2 โหลบนข้อมือพี่ใหญ่ ประชาชนตัดสินไปแล้ว เพราะไม่เชื่อว่า เป็นของเพื่อนที่ยืมมาใส่ และไม่จำเป็นต้อง รอคำตัดสินของ สำนักงานคณะ กรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพียงแต่พล.อ.ประวิตรไม่ยอมรับกระแส สังคม ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์แอ่นอกช่วยปกป้องอีกด้วย

ยังไม่สิ้นสงสัย .. แม้ “เสี่ยอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. หงาย การ์ด “ยืมเพื่อน-คืนไปแล้ว” ชี้แจงกรณีที่มีชื่อเป็น“อดีต ผบ.ตร.”ที่ทาง “ดีเอสไอ” กำลังสอบเส้นทางการเงิน .. เชื่อมโยงกับ กำพล วิระเทพสุภรณ์ หรือ “เสี่ยกำพล” เจ้าของสถานบริการ วิคตอเรีย ซีเครท ที่ถูกหมายจับในหลายคดี จากกรณีเข้า ทลาย อาบอบนวด วิคตอเรียฯ .. ในอารมณ์ที่ “เสี่ยอ๊อด”เล่นเป็น ไม่ต้องรอให้ถูกเปิดชื่อ ออกมาแอ่นอกรับหน้าชื่นด้วยตัวเอง .. ด้วยรู้ว่ามี “ข้อหาฉกรรจ์”อย่างการค้ามนุษย์ คอยท่าอยู่ แม้จะฟังไม่ค่อยขึ้นว่า เหตุใด“เสี่ยอ๊อด”ผู้มี “พอร์ตหุ้น”หลักหลายหมื่น ถึงต้องบากหน้า ไปยืมเงิน “เสี่ยกำพล”แค่หลักร้อย .. ดูท่าการ์ด“ยืมเพื่อน-คืนไปแล้ว”ที่ “เสี่ยอ๊อด”หงายออกมา จะไม่ขลังเท่า“ต้นฉบับ”แหะ .. ก็แทนที่จะเคลียร์คัตประเด็นคาใจ กลับทำให้"ดีเอสไอ" เพิ่มดีกรีความเข้มขึ้นอีก

เห็นแย้มๆ ออกมาด้วยว่า มี “ข้อมูลเชิงลึก”ว่า “เสี่ยอ๊อด - เสี่ยกำพล” มีความ สัมพันธ์แนบแน่น ไม่ใช่แค่เป็นเพื่อนกันในวงการเซียนพระเท่านั้น .. ยังมีความเกี่ยวข้อง ในเชิงธุรกิจ ทำธุรกิจร่วมกันหลายตัวอีกด้วย .. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงที่มีการทำ ธุรกรรม โอนจาก “เสี่ยกำพล” ให้ “เสี่ยอ๊อด” เมื่อปี 2558 นั้น ก็เป็นช่วงที่ฝ่ายแรก กำลังเข้าไป ลงทุนใน“หุ้นตัวหนึ่ง”ที่มีความผิดปกติ และกำลังมีการสอบสวนกันอยู่ .. เห็นว่าทาง พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดี ดีเอสไอ พูดเป็นแนวทางไว้ ประมาณว่า นอกจากจะตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า เงิน 300 ล้านบาท ที่ว่าเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ หรือไม่ ยังต้องดูเรื่องเส้นทางการเงิน .. โดยยกกรณี คดีวัดพระธรรมกาย-สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น ที่มีการโยกย้ายถ่ายเทเงินที่ได้จากการ “ฉ้อโกง" ไปมา จนโป๊ะแตก .. นัยของ“ดีเอสไอ”ก็ประมาณว่า ต้องดูว่าเป็น “เงินยืม” หรือ “ให้เปล่า” นั่นเอง.