การค้นพบใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร European Journal of Preventive Cardiology ยืนยันว่า การดื่มกาแฟวันละ 2-3 แก้วสัมพันธ์กับการมีอายุยืนยาวขึ้น และลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
การวิจัยครั้งนี้ได้รับการเปิดเผยโดย ศาสตราจารย์ปีเตอร์ คิสเลอร์ ผู้เขียนการศึกษาจากสถาบันวิจัยโรคหัวใจและเบาหวานแห่งเบเกอร์ ประเทศออสเตรเลีย ที่ออกมาระบุว่า การดื่มกาแฟเล็กน้อยถึงปานกลางเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี
ศ.ปีเตอร์ บอกว่า การวิจัยครั้งนี้ศึกษาถึงความเชื่อมโยงระหว่างการบริโภคกาแฟเพียงเล็กน้อยกับปัญหาโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคหลอดเลือดหัวใจ ภาวะหัวใจล้มเหลว และโรคหลอดเลือดสมองตีบ ซึ่งพบว่า การดื่มกาแฟมากประมาณ 4 แก้วต่อวัน ไม่มีผลต่อการลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เท่ากับคนที่ดื่มกาแฟเพียง 2-3 แก้วต่อวัน อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ที่เกิดจากการดื่มกาแฟ ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า มาจากคาเฟอีนหรือสารชนิดอื่นๆ ที่มีมากกว่า 100 ชนิดในกาแฟ โดยเฉพาะประโยชน์ที่ยืนยันว่า กาแฟช่วยทำให้คนอายุยืนขึ้น
จริงๆแล้วการวิจัยประโยชน์ของการดื่มกาแฟมีมานานกว่า 30 ปีแล้ว แต่การวิจัยในยุคต่อๆมาเป็นการยืนยันและพิสูจน์ผลการวิจัยในอดีต โดยเฉพาะสมมติฐานที่ว่า การดื่มกาแฟหลายแก้วต่อวัน มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
การศึกษาในปี 2018 พบว่า ในช่วงระยะเวลาการศึกษา 10 ปี ผู้ดื่มกาแฟมีโอกาสเสียชีวิตน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มกาแฟประมาณ 10-15% ขณะที่งานวิจัยอีกฉบับหนึ่งซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี 2021 ระบุว่า การดื่มกาแฟ 3-4 แก้ว ไม่ว่าจะมีคาเฟอีนหรือไม่ก็ตามช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดและเสียชีวิตจากโรคตับเรื้อรังได้
ขนาดของการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในเรื่องนี้ น่าจะเป็นการศึกษาทางระบาดวิทยา ของสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ NIH โดยทำการวิเคราะห์ข้อมูลทางสุขภาพจากอาสาสมัครจำนวน 400,000 คน อายุในช่วง 50-70 ปี เป็นผู้ที่มีสุขภาพดี ไม่มีโรคใดๆ เริ่มต้นศึกษาในปี 1995 มาจนถึงปี 2008 ที่พบว่า กลุ่มตัวอย่างประมาณ 50,000 รายเริ่มเสียชีวิต แต่ในช่วง 13 ปีของการศึกษา ก็ทำให้พบข้อมูลว่า ผู้ชายที่ได้ดื่มกาแฟปริมาณ 2-3 แก้วในแต่ละวัน มีโอกาสเสียชีวิตน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม 10%
ส่วนผู้หญิงที่ดื่มกาแฟในปริมาณเท่ากัน อัตราการเสียชีวิตยิ่งน้อยลงไปอีก คือ 13% ซึ่งแม้จะยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า กาแฟมีผลต่อภาวะอายุยืน แต่ความสัมพันธ์ที่พบจากการศึกษาครั้งนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ
นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยอีกหลายชิ้นเกี่ยวกับกาแฟ เช่น ความเชื่อมโยงของการดื่มกาแฟปริมาณปานกลาง คือ 4 แก้วต่อวัน เกิดผลดีต่อสุขภาพอย่างชัดเจน ช่วยลดความเสี่ยงเบาหวานชนิดที่ 2, มะเร็งผิวหนัง, มะเร็งต่อมลูกหมาก และการเกิดมะเร็งเต้านมซ้ำ หลังการรักษา
จากการศึกษากาแฟในสัตว์ทดลอง พบว่า กาแฟสามารถปรับสภาวะชีวเคมีภายในสมองที่สามารถป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้ โดยในปี 2012 มหาวิทยาลัย illinois ได้ทำการวิจัย โดยการทดลองนำเอาหนูมาแบ่งเป็น 2 กลุ่ม หนูทุกตัวถูกทำให้เกิดสภาวะขาดออกซิเจนในสมองในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ส่งผลให้สมองหนูเหล่านั้นไม่สามารถสร้างความจำใหม่ได้ แล้วให้หนูอีกกลุ่มได้รับกาแฟปริมาณเทียบเท่ากัน ส่วนอีกกลุ่มไม่ได้รับกาแฟ จากนั้นให้หนูทุกตัวกลับมารับออกซิเจน พบว่า หนูกลุ่มที่ได้รับกาแฟสามารถสร้างความจำใหม่ได้เร็วกว่า 33% เทียบกับหนูกลุ่มที่ไม่ได้รับกาแฟ โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย South Florida และมหาวิทยาลัย Miami
ในปีเดียวกัน มีการศึกษากาแฟในมนุษย์ ระดับคาเฟอีนในผู้ใหญ่เป็นโรคความจำเสื่อมในระยะเริ่มแรก และได้ประเมินซ้ำอีก พบว่ากลุ่มคนที่ในเลือดไม่มีสารคาเฟอีนเกิดภาวะสมองเสื่อมเต็มรูปแบบมากกว่ากลุ่มคนที่มีสารคาเฟอีนในเลือด ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของมหาวิทยาลัย South Florida ในปี 2011 โดยใช้หนูที่ตัดต่อพันธุกรรมทำให้เกิดโรคสมองเสื่อม Alzheimer เหมือนที่เกิดในคน เมื่อให้หนูเหล่านั้นมารับสารคาเฟอีนอย่างเดียวกลับไม่มีผลดี ป้องกันสมองเสื่อมได้ดีเท่ากับให้หนูที่กินกาแฟ
ซึ่งการศึกษาทั้งหมดนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่พอจะยืนยันได้ว่า การดื่มกาแฟในปริมาณปานกลางไม่มากไม่น้อยเกินไปต่อวัน มีผลต่อการลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมและทำให้คนมีอายุยืนยาวขึ้น
เพราะฉะนั้น...วันนี้ คุณดื่มกาแฟแล้วหรือยัง.
บางคนแม้ว่าจะมีร่างเล็ก น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่บางครั้งก็มีไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง การออกกำลังกายลดพุงควบคู่กับการคุมอาหาร จึงเป็นทางออกที่เห็นผลดี เพราะวิธีการลดพุงด้วยท่าออกกำลังกายลดพุง ลดเอว จะช่วยให้กล้ามเนื้อกระชับ ร่างกายแข็งแรง ที่สำคัญผลลัพธ์คงอยู่ในระยะยาว เสริมความมั่นใจได้เต็มที่ รวมท่าออกกำลังกายลดพุง ลดเอว ท่ายืนและท่านอน ทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน
1.ท่า Sit Up
เริ่มต้นการออกกำลังกายลดความอ้วนด้วยท่าออกกำลังกายลดพุง ผู้ชายและผู้หญิงสามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่นอนหงายหน้าตรง จากนั้นเกร็งและยกตัวขึ้น ทำทั้งหมด 5 เซต เซตละ 15-20 ครั้ง แม้ว่าทำในช่วงแรกจะเกิดอาการปวดเมื่อยอยู่บ้าง แต่หากทำต่อเนื่องเป็นประจำ รับรองว่าเป็นการออกกำลังกายที่ลดพุง เป็นท่านอนที่เห็นผลไว
2. ท่า Burpee
ท่าออกกำลังกายลดพุง ลดเอว ท่ายืนสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้อง โดยจะเป็นการ ผสมผสานระหว่างการวิดพื้นและการสก็อตจัมพ์ โดยเริ่มจากยืนตรงแยกเท้ากว้างเท่าไหล่ ก้มตัวลงเอามือวางแนบพื้น ยืดเท้าไปข้างหลัง คล้ายกับการวิดพื้น จากนั้นลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและกระโดดขึ้นยืน เรียกได้ว่าเป็นท่าออกกำลังกายลดพุง ผู้ชายที่ได้รับความนิยมสูง
3. ท่า V-Ups
ลักษณะท่าออกกำลังกายลดพุงท่านี้คล้ายกับตัว V เพียงแค่นอนหงาย ขาและแขนเหยียดตรง เกร็งหน้า ท้อง ยกหลังและขาขึ้นให้ได้มุมประมาณ 45 องศา คล้ายกับตัว V จากนั้นทำค้างไว้ 10 วินาที ทั้งหมด 5 เซต ก็จะช่วยลดหน้าท้อง เป็นการออกกำลังกายลดพุง ท่านอนที่สามารถทำบนเตียงได้ง่ายๆ
4. ท่า Reverse crunch
ท่านี้จะคล้ายกับท่า Sit Up เพียงแต่ยกเข่าเล็กน้อย จากนั้นยกสะโพกขึ้นสูงแทนการยกหลัง ก็จะเป็นท่าออกกำลังกายลดพุง ผู้ชายหรือผู้หญิงก็ทำตามได้ง่ายๆ ก็จะช่วยลดพุง กระชับปีกหลัง ต้นขา ก้น และสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้องเพิ่มขึ้น
5. ท่า Heel Touch
ท่าออกกำลังกายลดพุง ท่านอนสำหรับสาวๆ หรือหนุ่มๆ ที่ต้องการลดไขมันและเพิ่มกล้ามเนื้อบริเวณกล้ามท้องส่วนบนเป็นพิเศษ เพียงแค่นอนราบไปกับพื้น ชันขาและแยกขาออกเล็กน้อย จากนั้นให้นำมือไปแตะข้อเท้าสลับข้างทั้งหมด 20 ครั้ง ทำ 3 เซตต่อวัน ก็จะเห็นผลลัพธ์แล้ว
6. ท่า Planks
ท่าออกกำลังกายลดพุงผู้หญิงและผู้ชายแบบนอนคว่ำ โดยมีวิธีทำง่ายๆ คือ นอนคว่ำหน้า ตั้งศอกความกว้างพอดีกับไหล่ โดยขาและตัวเหยียดตรง ท่าออกกำลังกายลดพุงนี้ให้ทำค้างไว้ 1 นาที ทั้งหมด 5 เซต นอกจากจะลดพุง หรือหน้าท้อง ยังช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อบริเวณต้นแขนและต้นขาได้ด้วยเช่นกัน
7. ท่า Low Belly Leg Reach
ท่าออกกำลังกายลดพุงง่ายๆ โดยให้นอนราบไปกับพื้น จากนั้นให้ยกเข่าขึ้นมาเหนือสะโพกทำมุม 90 องศา โดยที่ก้นยังต้องติดพื้น หายใจเข้ายกไหล่ หายใจออกพร้อมยืดขาออกไป 45 องศา พร้อมกับเกร็งหน้าท้อง เพียงแค่นี้ก็จะสามารถลดพุง เพิ่มกล้ามเนื้อได้แล้ว
8. ท่า Flutter Kicks
อีกหนึ่งท่าออกกำลังกายลดพุงที่เห็นผลดีมากๆ คือ การนอนราบไปกับพื้น แขนชิดลำตัว และยกขาขวาขึ้นสลับข้างไปมา โดยที่หลังจะยังต้องติดพื้น วิธีนี้นอกจากจะทำให้กล้ามเนื้อกระชับสวยงามแล้ว ยังเป็นการออกกำลังกายลดพุง ต้นขา สะโพก ไปพร้อมๆ กันด้วย
9. ท่า Russian Twist
ท่าออกกำลังกายลดพุง ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ทำได้ เพียงแค่เอนตัวไปด้านหลัง งอขาให้เท้าลอยขึ้นจากพื้น จากนั้นให้สลับฝั่งซ้ายขวา เป็นหนึ่งในท่าออกกำลังกายลดพุง ลดเอว ที่สามารถทำได้ง่ายๆ แม้อยู่บนเตียง ซึ่งหากใครที่รู้สึกว่าอยากเพิ่มความท้าทาย อาจจะลองถืออุปกรณ์ไว้ในมือ เช่น ลูกบอล ดัมเบล หรือของที่มีน้ำหนักก็ได้เช่นกัน
10. ท่า Standing side crunch
ท่าออกกำลังกายลดพุง ลดเอว ท่ายืนง่ายๆ ทำได้ทุกเพศทุกวัย เริ่มต้นจากการยกขาข้างใดข้างหนึ่งขึ้นมาแตะกับข้อศอกในมุมฉาก 90 องศา จากนั้นทำสลับ 2 ครั้งจนครบ 15-20 ครั้ง ก็จะช่วยเพิ่มกล้ามท้อง ลดพุง ตลอดจนสลายเซลลูไลท์ ทำให้ต้นขากระชับมากขึ้น
ออกกำลังกายลดพุง 30 นาที จะช่วยเผาผลาญแคลอรี และเพิ่มกล้ามเนื้อให้กับร่างกายเป็นอย่างดี ทั้งนี้ ก่อนและหลังการออกกำลังกายลดพุง ต้องไม่ลืมที่จะวอร์มอัพ อบอุ่นร่างกาย และคูลดาวน์หลังจากออกกำลังกายเสร็จเสมอ เพื่อป้องกันกล้ามเนื้อเกร็งตัวและอาการปวดเมื่อยที่จะตามมา
น้ำพริกกะปิเมนูคู่ครัวไทยมาช้านาน เพราะด้วยรสชาติที่จัดจ้านตามสไตล์อาหารไทย คนไทยจึงนิยมทานน้ำพริกกะปิคู่กับผักสด ผักลวก ปลาทูทอด ไข่ชะอมทอด พร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ วัตถุดิบที่ใช้ทำน้ำพริกกะปิ มีทั้งพริก กระเทียม หัวหอม กะปิ น้ำปลา น้ำมะนาว กุ้งแห้ง ฯลฯ ส่วนผสมข้างต้นแม้จะทำให้น้ำพริกกะปิมีรสชาติอร่อย แต่สิ่งที่ขอเตือนท่านที่ชื่นชอบน้ำพริกกะปิให้ระวัง คือโซเดียมที่มีในน้ำพริกกะปิ ที่มาจากวัตถุดิบบางชนิด เช่น กะปิ น้ำปลา โดยในกะปิ 100 กรัม พบมีโซเดียมสูงถึง 5,205 มิลลิกรัม
แม้โซเดียมจะเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ เพื่อให้ทำหน้าที่รักษาระดับความเข้มข้นของน้ำภายในและน้ำภายนอกเซลล์ให้สมดุลกัน และทำหน้าที่ส่งสัญญาณในระบบประสาทและกล้ามเนื้อ แต่ในแต่ละวันร่างกายต้องการในปริมาณไม่มาก โดยองค์การอนามัยโลกแนะนำให้ใน 1 วันควรบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมหรือ 1 ช้อนชา เพราะหากร่างกายได้รับโซเดียมในปริมาณมากกว่านี้ อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคกลุ่มไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง และเพิ่มความรุนแรงของโรคเบาหวาน
วันนี้ สถาบันอาหารได้สุ่มตัวอย่างน้ำพริกกะปิ 5 ตัวอย่าง จาก 5 ร้านค้าในตลาดย่านต่างๆในเขตกรุงเทพฯ เพื่อนำมาวิเคราะห์ปริมาณโซเดียม ผลปรากฏว่าน้ำพริกกะปิ 5 ตัวอย่าง มีปริมาณโซเดียมสูงคืออยู่ในช่วง 1,045.85-1,597.09 มิลลิกรัมต่อน้ำพริกกะปิ 100 กรัม เห็นผลวิเคราะห์อย่างนี้แล้ว ก็อย่าทานในปริมาณมากนัก เพราะใน 1 วัน เราได้รับโซเดียมจากอาหารชนิดอื่นๆด้วย.
ช่วงนี้หลายคนกำลังผิวแห้งลอก อันเนื่องมาจากฤดูหนาวกับการอาบน้ำอุ่น น้ำร้อน ทำให้สูญเสียความมั่นใจ ซึ่งนอกจากต้องหาครีมบำรุงผิวมาใช้แล้ว ถือโอกาสรู้จักการอาบน้ำอุ่น น้ำร้อน ให้ดีต่อสุขภาพผิวอีกทางกันเถอะ
อาบน้ำอุ่น น้ำร้อนยังไงให้ดีต่อสุขภาพผิว
การอาบน้ำไม่ใช่แค่การชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกายเท่านั้น แต่ยังช่วยคืนความสดชื่นให้กับร่างกายและสมอง รวมทั้งน้ำยังช่วยดูแลผิวให้สุขภาพดีได้ด้วย ในฤดูหนาวที่หลายคนกำลังอาบน้ำอุ่น น้ำร้อน จึงต้องรู้ก่อนอาบ
โดยสาระน่ารู้เรื่อง “รู้หรือไม่ อาบน้ำแบบไหนดีต่อผิว? (Water Shower)” โดย ศูนย์ผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่ง โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ แนะนำไว้ ดังนี้
อาบน้ำร้อน
การอาบน้ำร้อนจะต้องมีอุณหภูมิประมาณ 37-42 องศาเซลเซียส (ไม่ควรเกิน 42 องศาเซลเซียส) อุณหภูมิระดับนี้จะทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ทำให้ร่างกายตื่นตัว แต่ไม่ควรอาบหรือแช่น้ำร้อนเกิน 15 นาที เพราะอาจทำให้ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไปจนหน้ามืด เป็นลมได้ นอกจากนี้ยังทำให้ผิวแห้ง มีผื่นขึ้น ผิวเหี่ยว หรืออาจทำให้เลือดคั่ง ประสาทอ่อนล้า กระวนกระวาย ง่วงเหงา และเมื่ออาบน้ำร้อนเสร็จควรอาบซ้ำด้วยน้ำเย็นเพื่อกระชับรูขุมขน หรือจะทาครีมบำรุงผิวเติมความชุ่มชื่นให้กับผิวก็ได้ เพื่อไม่ให้ผิวแห้งจนเกินไป
น้ำร้อนอุณหภูมิ 42 องศาเซลเซียส เทียบได้กับการแช่บ่อน้ำพุร้อนคล้ายออนเซนของญี่ปุ่น หรืออ่างน้ำร้อนแช่ตัวในสปาหรือสถานบำบัดต่างๆ น้ำร้อนอุณหภูมิ 42 องศาเซลเซียสจะมีละอองไอน้ำบางมากๆ ลอยขึ้นมา ไอน้ำจะไม่หนาและเห็นเป็นสีขาวชัดเจนเหมือนน้ำเดือด
อาบน้ำอุ่น
อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการอาบน้ำอุ่นอยู่ที่ 27-37 องศาเซลเซียส จะช่วยให้ผิวขับของเสียที่คั่งค้างออกมาได้มากขึ้น ทำให้รู้สึกสบายตัว ช่วยลดอาการมือเท้าเย็น บวม เส้นเลือดขอด ช่วยกระตุ้นการไหลของเลือด และช่วยลดความเครียดได้ การแช่น้ำอุ่นเหมาะสำหรับคนที่นอนไม่ค่อยหลับ เพราะน้ำอุ่นจะไปเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายทำให้รู้สึกสบายตัว หลับได้ง่ายและนานขึ้น
น้ำอุ่นอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียสจะเป็นความร้อนระดับเดียวกับอุณหภูมิในร่างกาย โดยให้สังเกตว่าเมื่ออาบแล้วจะสบายตัว แม้จะอาบน้ำแช่นานๆ ก็จะไม่รู้สึกแสบผิว แต่จะรู้สึกสบายตัว
เพิ่มความชุ่มชื้นหลังอาบน้ำ
ขณะที่สาระน่ารู้เรื่อง “อาบน้ำอุ่นอย่างไร ไม่ให้ผิวเสียความชุ่มชื้น” ได้แนะนำเคล็ดลับการเพิ่มความชุ่มชื้นหลังอาบน้ำ ไว้ดังนี้
-หลังอาบน้ำ เช็ดผิวให้แห้งหมาดๆ แล้วทาครีมบำรุงผิวที่ผสมออยล์ หรือน้ำมันมะพร้าวทันทีโดยไม่ต้องรอให้ตัวแห้งสนิท วิธีนี้จะช่วยล็อกความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อย่างดีเยี่ยม
-เลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูโรนิค ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ
-หากรู้สึกว่าผิวแห้งลอก ระคายเคืองและมีผื่นแดงขึ้นตามผิวหนังหลังอาบน้ำ นั่นอาจไม่ใช่ผิวแห้งจากการอาบน้ำอุ่น แต่เป็นอาการแพ้สบู่ หรือยาสระผมที่ใช้ แนะนำให้ลองเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยน หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที
5 วิธีอาบน้ำผิดๆ ที่อาจทำร้ายผิว
หลายคนอาจไม่ทราบว่าพฤติกรรมการอาบน้ำในปัจจุบัน อาจทำลายสุขภาพผิวได้ อย่างสาระน่ารู้เรื่อง “5 วิธีอาบน้ำผิดๆ ที่อาจทำร้ายผิว” แนะนำโดยเว็บไซต์ thehealthy.com ดังนี้
1.อาบน้ำอุ่นนานเกินไป
ส่งผลให้ผิวแห้ง และเกิดอาการคันได้ ควรใช้เวลาอาบน้ำเพียง 5-7 นาที และอุณหภูมิของน้ำไม่ควรสูงกว่า 37 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นความร้อนในระดับเดียวกับอุณหภูมิของร่างกาย
2.ใช้สบู่ก้อนแทนครีมอาบน้ำ
สบู่ก้อนจะมีฤทธิ์เป็นด่างซึ่งต่างจากสบู่เหลวหรือครีมอาบน้ำที่มีความเป็นกรดด่างเท่ากับผิวหนัง ทำให้ผิวแห้งกร้านได้ แนะนำให้ใช้สบู่เหลวที่มีมอยซ์เจอไรเซอร์
3.สระผมบ่อยเกินไป
ในช่วงหน้าหนาว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องสระผมทุกวันแต่อย่างใด โดยอาจจะเว้นช่วงสระทุกๆ 3 วัน ด้วยแชมพูและครีมนวดผม หากใครมีปัญหาเรื่องความมันของหนังศีรษะก็อาจใช้แชมพูแห้ง (Dry Shampoo) แทนได้
4.ละเลยการใช้ครีมนวดผม
เลือกแชมพู และครีมนวดผมที่เหมาะกับสภาพอากาศในหน้าหนาว ซึ่งการละเลยการใช้ครีมนวดผมจะส่งผลให้สภาพปลายผมเกิดอาการแห้งเสียได้ เพราะเป็นส่วนที่ได้รับน้ำมันธรรมชาติน้อยกว่าผมส่วนอื่นๆ
5.ไม่ให้ความสำคัญกับการเช็ดตัว
หลังจากอาบน้ำเสร็จใช้ผ้าขนหนูซับผิวเบาๆ ให้แห้ง และรีบทาโลชั่นหลังจากเช็ดตัวเสร็จทันที เพื่อเป็นการกักเก็บความชุ่มชื้นไว้กับผิวให้มากที่สุด