ครบเครื่อง
ญ. อมตะ
ครบเครื่อง ญ. อมตะ 13 มิถุนายน 2563

จุดชมวิวร้อยล้านพังงา! 'เสม็ดนางชี บูทีค' เปิดบริการแล้วแบบ 'New Normal'

เสม็ดนางชี บูทีค บ้านหินร่ม ต.คลองเคียน อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดพังงา เป็นจุดชมวิวสามารถที่มองเห็นทะเลในอ่าวพังงา ที่มีป่าเกาะ เรียงรายกันอยู่สวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้ได้รับความนิยมจากบรรดานักท่องเที่ยว ที่แวะเวียนเข้าไปสัมผัสความสวยงามของบรรยากาศของพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า พระอาทิตย์ตกในตอนเย็น ได้กลับมาเปิดให้บริการกับนักท่องเที่ยวอีกครั้งหนึ่ง หลังจากได้ปิดให้บริการจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นเวลานานกว่า 2 เดือน

ซึ่งจังหวัดพังงาได้ประกาศผ่อนคลายมาตรการให้ร้านอาหารสามารถเปิดให้บริการได้แล้ว และผ่านการตรวจจากอำเภอตะกั่วทุ่งเรียบร้อยแล้ว ซึ่งผู้ที่มาเที่ยวทุกคนจะต้องผ่านจุดคัดกรอง เช็คอินเข้าเว็บไทยชนะ ก่อนจะขึ้นรถของทางร้านไปยังร้านอาหารและจุดชมวิว ซึ่งมีการจัดระเบียบการเว้นระยะห่างทางสังคม การจำกัดนักท่องเที่ยวเข้าใช้บริการ การลดขั้นตอนที่มีการสัมผัสต่างๆลง

นส.ปวิชญา ต่อไมตรี ผู้จัดการบริษัทเสม็ดนางชีบูทีค กล่าวว่า หลังจากบริษัทได้ปิดการให้บริการชั่วคราวเป็นเวลากว่า2 เดือน ทางบริษัทไม่ได้มีการเลิกจ้างพนักงานที่มีเกือบ 100 คนแต่อย่างใด โดยได้รับซื้ออาหารทะเลสดๆจากชาวประมงพื้นบ้านในพื้นที่ให้พนักงานช่วยกันแพ็คแช่แข็งขายทางออนไลน์ และขณะนี้ทางบริษัทได้เปิดให้บริการเฉพาะจุดชมวิวและร้านกาแฟเท่านั้น ในส่วนของห้องพักและร้านอาหารนั้นยังไม่เปิดให้บริการในตอนนี้ โดยนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวจะต้องผ่านจุดตรวจคัดกรองตั้งแต่ด้านล่างที่เป็นจุดขึ้นรถมายังจุดชมวิว

ทางร้านได้คำนวณพื้นที่ให้บริการว่าให้บริการลูกค้าแบบเว้นระยะห่างอย่างไร การให้บริการจะเน้นเรื่องการให้มีการสัมผัสระหว่างกันน้อยที่สุด ไม่ว่าการสั่งอาหาร การให้บริการของพนักงานและการจ่ายเงิน จุดล้างมือแอลกอฮอล์มีให้บริการครอบคลุมทุกจุด การทำความสะอาดทุกจุดหลังการให้บริการ เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มาท่องเที่ยวและใช้บริการ จึงอย่ากขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวพังงา และจังหวัดอื่นๆที่สามารถเดินทางมาได้ เข้ามาสัมผัสบรรยากาศสุดอะเมซิ่งแบบเอ็กคลูซีฟ ได้แล้ววันนี้ ซึ่งทางร้านมีโปรโมชั่นพิเศษลด20 % อีกด้วย

พบสัญญาณวิทยุพลังสูงปะทุจากห้วงอวกาศลึก ทุก 157 วัน

ปริศนาที่สำคัญเรื่องหนึ่งของวงการดาราศาสตร์ยุคใหม่ คือการค้นหาแหล่งกำเนิดของ "เอฟอาร์บี" (FRB ) หรือการปะทุสัญญาณวิทยุแบบฉับพลัน (Fast Radio Burst) จากห้วงอวกาศลึก ซึ่งก่อนหน้านี้หลายคนสงสัยว่ามันอาจเป็นการติดต่อจากมนุษย์ต่างดาวก็เป็นได้

แต่ผลการศึกษาล่าสุดของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ในสหราชอาณาจักร ได้พบการปะทุสัญญาณซ้ำในคาบเวลาที่แน่นอนทุก 157 วัน ในกรณีของเอฟอาร์บีที่ชื่อว่า FRB 121102 ซึ่งแสดงว่ามันน่าจะเป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติ อันเป็นผลจากการโคจรวนรอบกันและกันอย่างสม่ำเสมอของระบบดาวคู่ (binary system)

รายงานวิจัยดังกล่าวซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร MNRAS ของราชสมาคมดาราศาสตร์ระบุว่า หลังจากติดตามวิเคราะห์สัญญาณของ FRB 121102 ซึ่งส่งมาจากกาแล็กซีแคระที่ห่างจากโลก 3 พันล้านปีแสง มาเป็นเวลา 5 ปีเต็ม ทีมผู้วิจัยพบว่าสัญญาณดังกล่าวมีวงจรการปะทุเป็นรูปแบบที่แน่นอน และสามารถทำนายได้ล่วงหน้า

สัญญาณเอฟอาร์บีที่ปะทุออกมาในช่วงสั้น ๆ ครั้งละเพียงไม่กี่มิลลิวินาที มีพลังมหาศาลเทียบได้กับการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ถึงหลายร้อยล้านดวง

แม้สัญญาณเอฟอาร์บีส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่ปัจจุบันนักดาราศาสตร์ค้นพบสัญญาณที่ปะทุซ้ำจากแหล่งกำเนิดเดิมเป็นครั้งที่สองราว 20 สัญญาณแล้ว โดยในจำนวนนี้มีวงจรการปะทุสัญญาณเป็นคาบเวลาแน่นอนเพียง 2 สัญญาณ คือ FRB 121102 และ FRB 180916 ที่เพิ่งมีการค้นพบในช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดย FRB 180916 มีวงจรการปะทุสัญญาณที่สั้นกว่าถึง 10 เท่า หรือกินเวลารอบละเพียง 16 วัน

ดร. เกาสตุภ ราชวาเร ผู้นำทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์อธิบายว่า การค้นพบวงจรปะทุสัญญาณเอฟอาร์บีที่กินเวลายาวนานถึงรอบละ 157 วัน ชี้ว่าแหล่งกำเนิดของสัญญาณวิทยุทรงพลังดังกล่าวไม่ใช่ดาวนิวตรอนที่อยู่โดดเดี่ยว หรือคู่ดาวนิวตรอนที่ชนและรวมตัวอย่างที่เคยคิดกัน แต่น่าจะเป็นระบบดาวคู่ที่มีการโคจรวนรอบกันและกันอย่างสม่ำเสมอ โดยอาจเป็นระบบที่ดาวฤกษ์ขนาดยักษ์ หลุมดำ หรือดาวนิวตรอน อยู่ร่วมกันก็เป็นได้

ทุกวันนี้นักดาราศาสตร์ยังไม่พบหลักฐานที่พอจะชี้ได้ว่า สัญญาณเอฟอาร์บีเป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาว ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่าสัญญาณชนิดนี้ส่งมาจากแหล่งกำเนิดที่หลากหลาย ทั้งยังมีลักษณะกระจัดกระจายไปทั่วจักรวาล จึงเป็นไปไม่ได้ที่อารยธรรมของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากหลายแห่งจะส่งสัญญาณที่เหมือนกันออกมา ด้วยวิธีการแบบเดียวกัน

เปิดให้เข้าเที่ยวแล้ว! 'สวนไผ่ขวัญใจ ตลาดป่าไผ่สร้างสุข' เมืองพัทลุง

กระทรวงการท่องเที่ยวฯจับมือ “สวนไผ่ขวัญใจฯ” ตลาดชื่อดังของภาคใต้เปิดตลาดอีกครั้ง โดยในวันแรกมีนักท่องเที่ยวจากในและต่างจังหวัดเข้ามาท่องเที่ยวมากกว่า 2,500 คน

วันที่ 30 พ.ค.63 ที่สวนไผ่ขวัญใจ ตลาดป่าไผ่สร้างสุข อ.ควนขนุน จ.พัทลุง นายวิรัตน์ รักษ์พันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง เป็นประธานในการเปิด "สวนไผ่ขวัญใจ ตลาดป่าไผ่สร้างสุข" เพื่อเปิดโอกาสให้ท่องเที่ยวได้เข้ามาท่องเที่ยวในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ โดยมีนางสาวศรอนงค์ สงสมพันธ์ นายอำเภอควนขนุน นายสุรัตน์ จรณโยธิน ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพัทลุง และคณะ ให้การต้อนรับ

ทั้งนี้ เพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวตามนโยบายของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งต้องการให้จังหวัดพัทลุงเป็นพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวของประเทศประเภทธรรมชาติบริสุทธิ์ ศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชุมชนฯลฯ หลังจากสถานการณ์ไวรัสโควิด –19 ได้คลี่คลายลง ซึ่งในขณะนี้สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพัทลุงขับเคลื่อนเปิดการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง อาทิ สวนเดอลอง นาโปแก ตลาดใต้โหนด ฯลฯ

การเปิดการท่องเที่ยวของ "สวนไผ่ขวัญใจ ตลาดป่าไผ่สร้างสุข" ในครั้งนี้ทางนางสาวศรอนงค์ สงสมพันธ์ นายอำเภอควนขนุน และนางขวัญใจ กลับสุกใส เจ้าของสวนขวัญใจฯ ได้จัดเจ้าหน้าที่มาจัดตั้งจุดคัดกรอง การตรวจวัดอุณหภูมิ การใช้เจลทำความสะอาดมือ การสะแกนคิวอาร์โค้ด “ไทยชนะ ” ทั้งเข้าและออก และนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาท่องเที่ยวจะต้องสวมหน้ากากอนามัยทุกๆ คน

ในส่วนของร้านจำหน่ายอาหารนั้นมีการนำแผ่นพลาสติกมากั้น เพื่อป้องกันการแพร่แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 อย่างจริงจัง จนเป็นที่พอใจของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวในครั้งนี้ ซึ่งในการเปิดตลาดดังกล่าวเป็นครั้งแรกหลังจากที่หยุดไปประมาณ 2 เดือนนั้น มีนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างจังหวัดเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวมากกว่า 2,500 คน ทำให้แผงร้านค้าทั้ง 168 ร้านมีรายได้ในขั้นที่น่าพอใจยิ่ง

มาตรการ "เที่ยวปันสุข" คืออะไร? มีใครได้รับสิทธิ์บ้าง? และเริ่มเมื่อไหร่ เช็กเลย..

เรียกได้ว่าเป็นเรื่องราวที่ประชาชนแห่ให้ความสนใจกันเป็นจำนวนมาก ณ เวลานี้ จากสถานการณ์ การท่องเที่ยวในประเทศที่ชะงักงันมากกว่า 2 เดือน จากการแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด-19 ทำให้ภาครัฐทั้งกระทรวงการคลัง และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ต้องเร่งพิจารณามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยว โดยผุดแพ็คเกจมาตรการแจกเงินเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ซึ่งมีด้วยกัน 2 แพ็คเกจ ได้แก่

แพ็คเกจเที่ยวปันสุข เปิดให้ประชาชนทั่วไปที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เบื้องต้นจำนวน 4 ล้านคน ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ซื้อบัตรกำนัล (วอเชอร์) สำหรับเป็นค่าห้องพักในการท่องเที่ยวข้ามจังหวัด เมื่อประชาชนนำวอเชอร์ดังกล่าวไปเช็คอินห้องพัก รัฐจะโอนเงินคืนให้ประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้จ่ายในโรงแรม เช่น ห้องพัก ห้องอาหาร สปา และร้านขายสินค้าที่ระลึก

แพ็คเกจกำลังใจ เพื่อตอบแทนบุคลากรที่ปฏิบัติงานแนวหน้าในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จำนวน 1.2 ล้านคน เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล รวมถึง เจ้าหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โดยการสนับสนุนงบฯศึกษาดูงาน เดินทางกับบริษัทนำเที่ยวในประเทศทั้งสองแพ็คเกจ มีระยะเวลาดำเนินการ 4 เดือน ตั้งแต่เดือน ก.ค.-ต.ค. 2563

ภาพจาก เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์

ก่อนหน้านี้ นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เผยว่า กระทรวงการคลัง และการท่องเที่ยวและกีฬา จะใช้มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศหลังจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องออกมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งกระทบต่อการท่องเที่ยวและบริโภคในประเทศ โดยจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มมาตรการแจกเงินเที่ยว คือ ช่วงเดือน ก.ค. เป็นต้นไป ให้มีวันหยุดชดเชยวันสงกรานต์ในช่วงเดือน ก.ค. นี้

"ขณะนี้ทั้ง 2 หน่วยงานกำลังทำการบ้านว่าจะดำเนินการอย่างไร มีข่าวว่าภาคเอกชนท่องเที่ยวเสนอให้แจกเงินคนละ 2,000-3,000 บาท จำนวน 10 ล้านคน เพื่อนำไปท่องเที่ยวนั้น เรื่องนี้หน่วยงานที่รู้เรื่องดีที่สุดว่าเอกชนต้องการอะไร และควรจะดูแลท่องเที่ยวอย่างไร คือ ททท. ดังนั้นหากเขาอยากให้ช่วยอย่างไรคงต้องรอฟังข้อเสนอ"

ทั้งนี้หากการท่องเที่ยวฯ เสนอมาตรการมา กระทรวงคลังพร้อมพิจารณาให้ ซึ่งในเรื่องเงินแจกไม่ใช่ปัญหา แต่มาตรการออกมาต้องเป็นมาตรการที่ดีและตรงจุด และต้องดึงให้คนไทยเที่ยวไทยมากที่สุด

คาดว่ามาตรการจะต้องออกมาให้ทันในช่วงวันหยุดชดเชยสงกรานต์ ที่คาดว่ารัฐบาลจะประกาศหยุดให้ในเดือน ก.ค. ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะคาดว่าจะมีการยกเลิกการใช้พระราชกำหนดควบคุมสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่มีการระบาดรอบ 2 และให้มีการเดินทางข้ามจังหวัดได้ตามปกติ ซึ่งมีส่วนสำคัญให้คนออกไปท่องเที่ยว ตรงตามวัตถุประสงค์ของมาตรการ