ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



ครบเครื่อง ญ.อมตะ 5 ธันวาคม 2563

“นาฬิกาชีวภาพ” เข็มทิศสุขภาพดี

ถ้านาฬิกาปกติ เป็นสิ่งบ่งบอกเวลาว่าเราต้องทำอะไรบ้างในแต่ละวัน เพื่อให้การดำเนินชีวิตเป็นไปด้วยความเรียบร้อย Biological Clock หรือ นาฬิกาชีวภาพ ก็น่าจะเป็นสิ่งบ่งบอกให้การดูแลสุขภาพของตนเองในแต่ละวัน เช่นเดียวกัน

นาฬิกาทั่วไป ถูกควบคุมด้วยการไขลานหรือแบตเตอรี่ แต่นาฬิกาชีวภาพ ถูกควบคุมด้วยฮอร์โมนที่หลั่งจากสมอง เช่น เมื่อร่างกายต้องการอาหาร สมองจะส่งสัญญาณความหิวออกมา ทำให้รู้สึกอยากกินอาหาร หรือเมื่อร่างกายอ่อนเพลีย สมองจะหลั่งซีโรโทนิน ซึ่งเป็นสารส่งผ่านประสาท ทำให้เรารู้สึกง่วง โดยเฉพาะเวลาหลังอาหาร หรือพอฟ้าสว่างก็จะปลุกให้เรารู้ว่าต้องตื่นนอน พอมืดค่ำก็ทำให้อยากพักผ่อน ซึ่งไม่ใช่เพราะฟ้ามืดหรือฟ้าสว่าง แต่เพราะสารเคมีในสมองที่ชื่อ “ซีโรโทนิน” นั่นเอง

ตามหลักการ ถ้าคนเราใช้ชีวิตในแต่ละวัน เช่น กิน ทำงาน พักผ่อน ออกกำลังกาย ตามการหมุนของนาฬิกาชีวภาพ แน่นอน สุขภาพแข็งแรงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่ยากเลย เพราะร่างกายจะเรียนรู้การปรับสมดุลการใช้ชีวิตโดยอัตโนมัติ

อธิบายอย่างกว้างๆ นาฬิกาชีวภาพของร่างกาย แบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ ตีสี่ถึงเที่ยงวันเป็นเวลาขับถ่าย จากเที่ยงวันไปจนถึงสองทุ่มเป็นเวลาดูดซึมสารอาหาร คนจำนวนมากที่คิดว่ามื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุดของวัน แต่จริงๆแล้วถ้าตามกฎของนาฬิกาชีวภาพ เวลาเที่ยงวันเป็นเวลาเริ่มต้นของการดูดซึมสารอาหาร ดังนั้น มื้อเที่ยงจึงเป็นมื้อสำคัญที่สุด ที่ควรเลือกสรรอาหารที่ดี มีประโยชน์ ที่ร่างกายจะดูดซึมไปใช้ได้อย่างดี

เพราะอย่างที่บอก ตั้งแต่ตีสี่จนถึงเที่ยง ร่างกายได้ผ่านช่วงเวลาของการทำความสะอาดลำไส้และขับสารพิษใน ช่วงเช้าออกไปแล้ว เซลล์ต่างๆในร่างกายเริ่มต้องการดูดซึมอาหารอย่างเต็มที่

สิ่งที่แพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยและนักโภชนาการ แนะนำตรงกัน ก็คือ ก่อนรับประทานอาหารมื้อเที่ยง 1 ชั่วโมง ควรดื่มน้ำผัก ผลไม้ 1 แก้ว และรับประทานผักสลัด หรือผักสดหลากสี เช่น แครอต บีตรูต มะเขือเทศ ก่อนที่จะรับประทานเนื้อสัตว์ที่ให้โปรตีนแก่ร่างกาย

ส่วนเวลาที่ดีที่สุดที่ร่างกายจะได้ปรับสมดุล ซ่อมแซมตัวเอง และฟื้นฟูสุขภาพ คือ ตั้งแต่ช่วงสองทุ่มไปจนถึงตีสี่ ช่วงเวลานี้ ตับซึ่งผ่านการดูดซึมและสะสมอาหารไว้ จะเริ่มแจกจ่ายสารอาหารไปยังอวัยวะต่างๆ พร้อมกับส่งมอบพลังงาน ให้แก่อวัยวะต่างๆ ทดแทนส่วนที่ใช้ไปแล้วใน 1 วัน

และในช่วงเวลาดังกล่าว ยังมีช่วงเวลาทอง ที่ถือว่าถ้าได้ทำตามกลไกของนาฬิกาชีวภาพอย่างเคร่งครัด รับรองได้เลยว่า โอกาสที่จะป่วยหรือเป็นโรคร้ายต่างๆจะลดลงไปมาก นั่นก็คือ ช่วงเวลาตั้งแต่สี่ทุ่มจนถึงตีสอง (22.00–02.00 น.) ซึ่งเป็นเวลาที่ระบบภูมิคุ้มกันและระบบรักษาตัวเองทำงานอย่างเต็มที่ เป็นช่วงเวลาทองของการนอนหลับ ที่ฮอร์โมนเมลาโทนินจะควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ยิ่งระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีเท่าไหร่ ประสิทธิภาพของการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และกำจัดเชื้อโรคทั่วร่างกายก็จะดีขึ้นเท่านั้น ขณะเดียวกัน ร่างกายก็จะได้ชาร์จพลังงาน เติมพลังชีวิตได้อย่างเต็มที่

นอกจากนี้ ในการนอนหลับ ในช่วงเวลาทอง คือ สี่ทุ่มถึงตีสอง มีข้อแนะนำว่า ควรปิดไฟในห้องขณะนอนหลับพักผ่อน เคยมีการทดลองในอเมริกาให้ผู้เข้าทดลองนอนหลับระหว่างสี่ทุ่มถึงตีสอง โดยเปิดไฟสว่างไว้ทั้งห้อง แล้วตรวจวัดด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ พบว่า การทำงานของระบบรักษาตัวเองเกือบเท่ากับศูนย์ ขณะที่ ระบบภูมิคุ้มกันก็ทำงานต่ำมากจนถึงจุดต่ำสุด ทำให้แม้จะนอนเต็มที่ แต่ก็ยังรู้สึกอ่อนเพลีย

ในทางตรงกันข้าม คนที่นอนหลับในช่วงเวลาสี่ทุ่มถึงตีสอง โดยปิดไฟในห้องให้มืดสนิท ปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดในช่วงเวลาดังกล่าว ปรากฏว่าระบบภูมิคุ้มกันและการรักษาตัวเอง ทำงานดีมาก เป็นการส่งสัญญาณว่า หากอยากเป็นคนที่แข็งแรง อย่าเอาเวลาทองที่ร่างกายพร้อมจะซ่อมแซมตัวเอง สร้างภูมิคุ้มกัน ไปทำกิจกรรมอย่างอื่นเด็ดขาด

เพราะถ้านอนหลับไม่สนิทในช่วงสี่ทุ่มถึงตีสอง ต่อให้มีเวลานอนยาวนานแค่ไหน ร่างกายก็ซ่อมแซมตัวเองได้ไม่มาก และเซลล์ที่ถูกทำลายจะไม่สามารถฟื้นฟูได้เลย รวมทั้งยังเปิดช่องให้เชื้อโรคเข้าโจมตีได้ง่ายอีกด้วย

ถ้าอยากมีสุขภาพแข็งแรง ลองปรับชีวิตไปตามนาฬิกาชีวภาพ...แล้วสังเกตดูว่า ในระยะเวลา 1 เดือน สุขภาพของคุณดีขึ้นหรือไม่ ไม่เชื่อก็ลองดู....!!!


“จาการ์ตา แฟชั่น วีก” โชว์เต็มที่สู้วิกฤติโควิด

งานแฟชั่น วีก ทั่วโลกที่จัดขึ้นในปีนี้ ต่างต้องใช้พลังใจในการจัดงาน เพราะปีนี้คนทั่วโลกต้องเผชิญกับโควิด-19 เห็นชัดเจนว่า ยิ่งเจอวิกฤติ ย่ิงต้องต่อสู้ เหมือนอย่างล่าสุดกับ จาการ์ตา แฟชั่น วีก อินโดนีเซีย

ล่าสุดที่อินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากรสูงถึงประมาณ 275 ล้านคน พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ประมาณ 539,000 ราย เสียชีวิต 17,000 ศพ แต่ธุรกิจหลายอย่างต้องเดินหน้า เหมือนอย่างงาน จาการ์ตา แฟชั่น วีก (Jakarta Fashion Week หรือ JFW 2021) ที่จัดขึ้นวันที่ 26-29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้มีการปรับรูปแบบจากเดิม คือการโชว์คอลเลกชันใหม่ๆ จากดีไซเนอร์ทางออนไลน์ และจัดระยะเวลาสั้นลงเหลือ 4 วัน จากปกตินานประมาณ 7 วัน

นเวย์นี้มีดีไซเนอร์ร่วมส่งคอลเลกชันมาโชว์จำนวนกว่า 60 คน ใช้สถานที่ถ่ายทำคือที่ห้าง เซนายัน ซิตี้ ถ่ายทอดสดผ่านเว็บไซต์ และ TikTok ด้วย ซึ่งนอกจากมีดีไซเนอร์ชื่อดังแล้ว ยังมีดีไซเนอร์หน้าใหม่ที่ผ่านการประกวดมาด้วย โดยก่อนหน้านี้ผู้จัดงานได้เผยแพร่ภาพบางคอลเลกชันที่มีการถ่ายทำไว้ล่วงหน้าด้วย

ภาพ : AFP


คลื่นลมแรงหาดชลาทัศน์สงขลา ชายทะเลถมทรายเริ่มหายไปอีกครั้ง

ชายทะเลหาดชลาทัศน์ อ.เมือง จ.สงขลา ตลอดแนว 3-5 กิโลเมตรซึ่งเป็น สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม กำลังได้รับการทดสอบความแข็งแรงทนทานจากการถูกกระแสคลื่นลมซัดกระหน่ำอีกครั้ง

หลังได้รับการเติมเต็มโดยกรมเจ้าท่าได้ทำการดูดทรายจากทะเลมาถมแทนที่ แม้จากเพิ่มพื้นที่ชายหายที่หายไปได้กลับมาดังเดิม แต่ช่วงนี้ภาคใต้อยู่ในหน้ามรสุมฝนตกหนักเกือบทุกวัน ซ้ำคลื่นลมกลางทะเลกำลังแรงซัดเข้าหาฝั่ง ทำให้ชายหาดถูกกัดเซาะไปมาก ชาวบ้านในพื้นที่เกิดความกังวลว่าทรายที่นำมาถม จะทนความโหดร้ายของธรรมชาติได้นานแค่ไหน


“ผาโสก” โลกสวรรค์บนปลายผา จากุซซี่ธรรมชาติริมผาสุดน่าทึ่ง

อุทยานแห่งชาติผาแต้ม จ. อุบลราชธานี เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีขอบเขตอุทยานฯด้านตะวันออก ที่เป็นแนวหน้าผาทั้งหมด แล้วเป็นแนวหน้าผาที่คู่ขนานไปกับแม่น้ำโขง ไม่ว่าจะไปฝั่งไหน ด้านใดก็จะเห็นวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำโขงจากบนหน้าผาสูงอยู่ตลอดเวลา

การเกิดหน้าผาสูงตลอดแนวแม่น้ำโขงนี้มาจากการที่แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่มาเบียด ชนกันทำให้หินทรายที่ตกตะกอนจนหินเป็นชั้นต่าง ๆ (ซึ่งจะเห็นชัดเจนตามแนวตัดของหน้าผาต่าง ๆว่าชั้นมันไม่เหมือนกัน) ถูกยกตัวขึ้นมาด้วย พอหินทรายมันถูกเบียด ถูกดัน ก็มีรอยแตก สายน้ำโขงที่ไหลมาก็ค่อยๆไหลเข้ามาตามรอยแตก กัดเซาะหินทรายและพัดพาเอาหินที่แตกหักออกไป เป็นแบบนี้อยู่นับแสนนับล้านปีจนกัดเซาะหน้าผาสองฝั่ง จนกลายเป็นแม่น้ำโขง

ในขณะเดียวกันสายน้ำก็รวมไหลจากที่สูงผ่านลานหินไหลรวมกันตกลงจากหน้าผาสู่แม่น้ำโขง ในระหว่างที่ไหลผ่านลานหิน หินทรายตรงไหนที่มีความทนทานด้วยธาตุต่าง ๆ ที่เสริมความแข็งแกร่งกว่าก็ไม่ถูกกัดเซาะคงทนสภาพ แต่ตรงไหนที่รวมตัวกันหลวมๆ ก็ถูกกัดเซาะได้ง่าย

และนี่เป็นเหตุผลปรากฏการณ์ทางธรณีบนหนทรายทั้งปวง ทั้งหินสมอง บ่อน้ำหิน หรือลักษณะแบบหินปุ่ม ตามแนวหน้าผา ก็จะเห็นร่องน้ำขนาดใหญ่ ที่สายน้ำกัดเซาะหินทรายจนเป็นร่องน้ำ อย่างเช่นระหว่างผากำปั่นกับผาชะนะได หรือบริเวณน้ำตกสร้อยสวรรค์ก็เช่นกัน แม้กระทั่งบริเวณที่เรียกว่า “ผาโสก” หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวมาแรงแห่งปี 2563 นี้ก็เช่นกัน

ผาโสก เป็นร่องน้ำลึก ที่เกิดจากสายน้ำที่กัดเซาะลานหินทราย จนเป็นร่องลึกลงไปจากลานหินเดิมตั้งแต่ 1-5 เมตร ยิ่งไปใกล้หน้าผาก็ยิ่งลึก ก่อนจะตกลงจากหน้าผาสูงร่วม 50 เมตร ลงสู่เบื้องล่างแล้วจึงไหลลงแม่น้ำโขง อยู่ระหว่างน้ำตกสร้อยสวรรค์และผาเจ๊ก ด้านล่างคือหมู่บ้านท่าล้ง ด้านเหนือของบริเวณผาแต้ม

ภาพที่ปรากฏออกสู่สายตาภายนอกคือ แอ่งหินที่มีแนวยาวไปตามร่องน้ำไหลลงจากหน้าผาสูงที่มีฉากหลังเป็นทิวทัศน์แม่น้ำโขง แล้วคนลงไปแช่น้ำ เลยเรียกกันว่า “อ่างจากุชชี่ธรรมชาติ” จนเป็นที่ฮือฮาของนักท่องเทียวสายรักธรรมชาติทั้งหลาย มาวันนี้เราจะได้ไปเยือนผาโลกกัน

ผาโสกก็เหมือนกับน้ำตกบนลานหินทั่วไปที่พอฝนไม่ตก สายน้ำก็จะเริ่มหาย แม้ป่าของอุทยานแห่งชาติจะยังเป็นป่าสมบูรณ์ยังไม่ถูกบุกรุก แต่ก็เป็นป่าเต็งรังสลับลานหิน น้ำไม่สามารถซึมลงไปในดินได้ ฝนที่ตกลงมาบนลานหินก็ไม่ต่างอะไรจากที่ตกลงบนหลังคาบ้าน ฝนตกลงมาก็ไหลมารวมกันลงสู่ที่ต่ำสายน้ำจึงได้กัดเซาะลานหินทรายจนเป็นรูปร่างต่าง ๆ

ด้วยเหตุนี้ผาโสกจึงมีความสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจ และน่าไปนอนแช่อ่างจากุชชี่หินริมหน้าผาเฉพาะในช่วงหน้าฝน ส่วนในหน้าแล้งเมื่อน้ำเหือดแห้งก็จะกลายเป็นเพียงแอ่งหินแห้งขอดธรรมดา ซึ่งทาง อช.ผาแต้ม จะเปิดผาโสกให้เที่ยวเฉพาะช่วงหน้าฝนที่มีน้ำราว กรกฎาคม-ตุลาคมหรือพฤศจิกายน ส่วนพอถึงหน้าแล้งก็จะปิดเนื่องจากไม่มีน้ำ และให้ธรรมชาติฟื้นตัว

ผาโสกมีทางขึ้นหลัก 2 ทาง หนึ่งคือเดินเท้าจากบ้านท่าล้ง ขึ้นมาบนหน้าผา ระยะเดินเท้าราว 3 กิโลเมตร อีกทางหนึ่งคือใช้รถยนต์เข้ามาตามทางลำลองที่ทางค่อนข้างสมบุกสมบัน เข้าไปเป็นระยะทางราว 6 กิโลเมตร แล้วเดินเท้าราว 300 เมตร

นอกจากนี้ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งกลุ่มนักเดินป่านิยมกัน คือ การเดินเท้าจากหน่วยฯน้ำตกสร้อยสวรรค์ ผ่านผาต่าง ๆ ไปจนถึงผาโลก แล้วลงสู่บ้านท่าล้ง หรือ จะเดินเลียบผามาผ่านผาเจ๊ก ผาเมย ไปจนถึงผาแต้มก็ได้เช่นกัน ซึ่งนักท่องเที่ยวแนวเดินป่าจะชอบเพราะไม่มีเดินขึ้นเขาชัน เดินไปบนลานหนสลับป่าและเจอจุดชมวิวไปตลอดทาง

อย่างไรก็ดีเส้นทางนี้อาจจะต้องค้างคืน 1-2 คืน ก็แล้วแต่จะกำหนดเอาตามสะดวก แต่สำหรับคนที่ตั้งใจมาน้ำตกผาโสก มักจะมาพักแรม อย่างน้อยก็หนึ่งคืน

สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะมาพักแรมหรือมาเที่ยวที่ผาโสก เมื่อติดต่ออุทยานแห่งชาติผาแต้มและแจ้งการเดินทางแล้วว่าจะไปแบบใด ทางอุทยานฯจะจัดคนนำทางให้ เช่น ถ้าขึ้นจากบ้านท่าล้งจะมีมัคคุเทศก์ที่ผ่านการอบรมกับอุทยานฯนำขึ้นมา หรือถ้าเข้าทางรถยนต์ก็จะมีมัคคุเทศก์ท้องถิ่นอีกกลุ่มหนึ่งนำข้ามา แต่ถ้าเป็นการเดินป่าจากหน่วยฯสร้อยสวรรค์ มักจะเป็นเจ้าหน้าที่อุทยานฯนำทาง

โดยบริเวณผาโสกนั้น นอกจากจะมีร่องหินลึกแล้ว ด้านบนจะมีสระน้ำเล็ก ๆ น้ำใสแจ๋ว มีสาหร่ายหัวไม้ขีดออกดอกสวยงาม รอบข้างเป็นลานหินกว้าง และลานหินชมวิวแม่น้ำโขง ใกล้กันจะเป็นหน้าผาสูง ที่มีแผ่นหินยื่นออกไปยังไม่มีการตั้งชื่อหน้าผา ส่วนลานหินด้านบนจะเป็นลานหินกว้าง มีบรรดาดอกไม้ดินออกดอกกันในช่วงตุลาคม-พฤศจิกายนและที่น่าในใจคือ จะมีก้อนหินที่เป็นศิลาแลงกระจัดกระจายในพื้นที่อย่างมาก ซึ่งไม่ค่อยเห็นที่ใดที่มีศิลาแลงอยู่ปะปนกับหินทรายบ่อยนัก

อย่างไรก็ดีหินทรายนั้นก็เป็นหินตะกอนที่มันสะสมตัวกันในทางน้ำไหลหรืออะไรในแนวนี้มาก่อน ศิลาแลงก็เช่นกันเป็นการสะสมตัวในขณะที่หินทรายยังมีน้ำมาเป็นปัจจัยหลักแล้วมีระดับน้ำที่ขึ้นลงเป็นระยะ ๆ เมื่อหินทรายถูกยกตัวขึ้นก็นำพาเอาศิลาแลงพวกนี้ขึ้นมาด้วย ศิลาแลงที่พบเห็นที่ผาโสกจึงเป็นศิลาแลงรุ่นเก่า

สำหรับผาโสกที่เป็นอ่างเพราะมีการเอาปูนมากั้นปากทางที่ไหลลงหน้าผาไว้ เพื่อกักเก็บน้ำไว้ให้นานที่สุดเป็น เราจึงเห็นมันกลายเป็นอ่างน้ำนั่นเองและนี่ก็คือมนต์เสน่ห์ของผาโสกที่จะสวยงามน่าแช่น้ำในช่วงหน้าฝน และจะแห้งขอดในช่วงหน้าแล้ง ซึ่งวันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวน้องใหม่มาแรงแห่งปี 2563 ซึ่งวันนี้ พื้นที่ของอุทยานแห่งชาติต่าง ๆ มักมีการค้นพบและนำออกมาสู่สาธารณะบ่อยขึ้นมากขึ้น คนก็จะเห็นถึงความสวยงามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มากขึ้น ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวผู้มาเยือนก็ต้องช่วยกันดูแลอนุรักษ์ธรรมชาติ เพื่อส่งต่อไปยังรุ่นต่อไป ๆ ไว้ให้นานเท่านาน

หมายเหตุ : สำหรับฤดูกาลท่องเที่ยวผาโสกในปี 2563 นี้ ได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยอุทยานแห่งชาติผาแต้ม ได้ประกาศปิดฤดูการท่องเที่ยวผาโสก ในวันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้เนื่องจาก แหล่งท่องเที่ยวดังกล่าว มีลักษณะเป็นแหล่งท่องเที่ยวตามฤดูกาล สามารถทำการท่องเที่ยวได้ในช่วงเวลาหน้าน้ำ ประมาณเดือน กรกฎาคม – พฤศจิกายน (ตามที่ได้กล่าวมาในบทความ)

ปัจจุบันแหล่งน้ำบริเวณผาโสก แห้งขอด ไม่มีการไหลของน้ำ สภาพน้ำไม่เหมาะสมแก่การเล่นเป็นอย่างยิ่ง อาจเป็นอันตรายแก่นักท่องเที่ยวได้ อีกทั้งเป็นการปิดพื้นที่เพื่อให้ธรรมชาติได้มีการพักฟื้นฟูตัวเอง จึงแจ้งมาเพื่อโปรดทราบ และประชาสัมพันธ์ให้ทราบโดยทั่วกัน ส่วนการท่องเที่ยวผาโสกในฤดูกาลปี 2564 ทางอุทยานแห่งชาติผาแต้ม จะประกาศให้ทราบภายหลังในปีหน้า

ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ อุทยานแห่งชาติผาแต้ม 0-4525-2581