ครบเครื่อง
ญ. อมตะ



ฮือฮา นาซาพบ ‘ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ’ 17 ดวง อาจมี ‘มหาสมุทร’

นาซา เผยผลศึกษาพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ จำนวน 17 ดวง อาจมีมหาสมุทรที่มีน้ำในรูปแบบของเหลว อยู่ใต้ชั้นเปลือกน้ำแข็ง

เมื่อ 17 ธันวาคม 2566 สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ผลการศึกษาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะของนาซา (NASA) พบว่า ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ จำนวน 17 ดวง อาจมีมหาสมุทรที่มีน้ำในรูปแบบของเหลว ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับสิ่งมีชีวิต อยู่ใต้ชั้นเปลือกน้ำแข็ง

นาซา ระบุว่า ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ เป็นโลกที่อยู่นอกระบบสุริยะของเรา น้ำจากมหาสมุทรเหล่านี้อาจปะทุผ่านชั้นเปลือกน้ำแข็งในรูปแบบไกเซอร์ (geysers) หรือปรากฏการณ์น้ำพุร้อนทางธรรมชาติเป็นครั้งคราว

ทีมวิทยาศาสตร์ได้คำนวณปริมาณกิจกรรมของน้ำพุร้อนไกเซอร์บนดาวเคราะห์ดังกล่าวเป็นครั้งแรก พร้อมระบุดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะสองดวงที่อยู่ใกล้เคียงมากพอในระดับที่ทำให้สามารถสังเกตสัญญาณการปะทุเหล่านี้ได้ด้วยกล้องโทรทรรศน์

ลินเนย์ ควิก ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์การบินอวกาศก็อดดาร์ดของนาซาในเมืองกรีนเบลท์ รัฐแมริแลนด์ เผยว่า การวิเคราะห์ของเราคาดว่าโลกทั้ง 17 ใบนี้อาจมีพื้นผิวที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง แต่ได้รับความร้อนภายในเพียงพอจากการสลายตัวของธาตุกัมมันตภาพรังสี และแรงไทดัล (tidal force) ซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้น-น้ำลงจากดาวฤกษ์แม่ เพื่อรักษามหาสมุทรภายในไว้

ลินเนย์ ควิก เสริมว่า ดาวเคราะห์ทุกดวงในการศึกษาของเราอาจยังแสดงการปะทุของภูเขาไฟน้ำแข็ง (cryovolcanic) ในรูปแบบของกลุ่มควันคล้ายน้ำพุร้อนไกเซอร์ เนื่องมาจากปริมาณความร้อนภายในที่พวกมันสัมผัส.

ขอบคุณข้อมูล-รูป : Xinhua


“อเมริกา” เตรียมคืน 2 โบราณวัตถุสำริดล้ำค่าให้ไทย พร้อมประสานงานเพิ่ม

พิพิธภัณฑ์ฯ สหรัฐอเมริกา เตรียมคืน 2 โบราณวัตถุล้ำค่า กลับคืนสู่ประเทศไทย กระทรวงวัฒนธรรม เผยข้อมูลโบราณวัตถุสำริดพุทธศตวรรษที่ 16 ถือเป็นประวัติศาสตร์สำคัญด้านโบราณคดี

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร รายงานเรื่องนายแมกซ์ ฮอลเลน ผู้อำนวยการและประธานกรรมการบริหารพิพิธภัณฑ์ศิลปะ เมโทรโปลิทัน (The Metropolitan Museum of Art หรือ The MET) ประเทศสหรัฐอเมริกา มอบหมายให้นายจอห์น กาย ภัณฑารักษ์แผนกเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นผู้แทนเข้าพบอธิบดีกรมศิลปากร ส่งมอบหนังสือแจ้งขอส่งคืนโบราณวัตถุจำนวน 2 รายการ ให้แก่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ที่ผ่านมา

การส่งคืนโบราณวัตถุในครั้งนี้ สืบเนื่องจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิทัน ทำการตรวจสอบรายการโบราณวัตถุที่มีประวัติการได้มาเกี่ยวข้องกับนายดักลาส แลตช์ฟอร์ด นายหน้าค้าโบราณวัตถุ ผู้ซึ่งถูกสำนักงานอัยการเขตนิวยอร์กใต้แจ้งดำเนินคดีค้าโบราณวัตถุโดยผิดกฎหมายเมื่อปี พ.ศ. 2562 แล้วพบว่ามีโบราณวัตถุประติมากรรมสำริดจากประเทศไทย คือประติมากรรมพระศิวะสำริด ที่รู้จักในชื่อ Golden Boy และยังพบโบราณวัตถุที่มีที่มาเกี่ยวพันกับนางดอรีส วีเนอร์ ซึ่งถูกสำนักงานอัยการเขตนิวยอร์กแจ้งดำเนินคดีค้าโบราณวัตถุโดยผิดกฎหมายเช่นกัน เมื่อปี พ.ศ. 2564 เป็นโบราณวัตถุประติมากรรมสตรีจำนวน 1 รายการ คณะกรรมการบริหารพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิทันจึงมีมติถอดโบราณวัตถุทั้ง 2 รายการ ออกจากบัญชีทะเบียนโบราณวัตถุของพิพิธภัณฑ์ และประสานแจ้งวัตถุประสงค์การส่งคืนแก่ประเทศไทยตามข้อตกลงกับสำนักงานอัยการเขตนิวยอร์กใต้ โดยจะประสานงานและทำพิธีส่งมอบอย่างเป็นทางการ ผ่านทางสถานกงสุลใหญ่ไทย ณ นครนิวยอร์กต่อไป

สำหรับโบราณวัตถุที่จะได้รับกลับคืนครั้งนี้ ประกอบด้วย ประติมากรรมพระศิวะ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นรูปพระศิวะสวมเครื่องทรงแบบบุคคลชั้นสูง ถือเป็นโบราณวัตถุชิ้นเยี่ยม ซึ่งพบไม่มากนัก ประติมากรรมนี้สูงถึง 129 เซนติเมตร มีเทคนิคการสร้างแบบพิเศษคือหล่อด้วยสำริดและกะไหล่ทอง ส่วนประติมากรรมสตรี อายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 เช่นกัน สูง 43 เซนติเมตร อยู่ในท่านั่งชันเข่าและยกมือไหว้เหนือศีรษะ แต่งกายแบบบุคคลชั้นสูง หล่อด้วยสำริด มีร่องรอยการประดับด้วยโลหะเงินและทอง

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช ยังได้กล่าวถึงการส่งคืนโบราณวัตถุแก่ประเทศไทยหลังจากตรวจสอบพบว่ามีที่มาจากผู้ครอบครองเดิมที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย ว่าเป็นการแสดงถึงจริยธรรมของพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิทัน ในการให้ความสำคัญกับการครอบครองโบราณวัตถุที่ถูกต้องตามกฎหมาย ประกอบกับความสัมพันธ์อันดีระหว่างกระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากรและพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิทัน ในการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการพิพิธภัณฑ์ ตลอดจนการจัดแสดงนิทรรศการโบราณวัตถุร่วมกันที่ผ่านมา ตนในนามของกระทรวงวัฒนธรรม ประเทศไทย จึงขอแสดงความชื่นชมและขอบคุณพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิทัน ในการแจ้งส่งมอบโบราณวัตถุกลับคืนสู่ประเทศไทยในครั้งนี้ และจะได้กราบเรียนนายกรัฐมนตรี เพื่อรับทราบข่าวดีดังกล่าวต่อไป

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช ยังได้กล่าวถึงนโยบายการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทยว่า เป็นภารกิจที่สำคัญ ที่ได้มอบหมายให้กรมศิลปากรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโบราณวัตถุจากเมืองโบราณศรีเทพ ที่อยู่ในขั้นตอนการประสานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานของสหรัฐอเมริกา ได้แก่ Homeland Security Investigations (HSI) กรุงเทพฯ โดยจะดำเนินการตามช่องทางทางการทูตอย่างถูกต้อง และเป็นไปด้วยความร่วมมือระหว่างมิตรภาพของสองประเทศ

จากข้อมูลระบุรายละเอียดโบราณวัตถุประกอบด้วย พระศิวะ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 หรือประมาณ 900-1,000 ปีมาแล้ว สูง 129 ซม. หล่อด้วยสำริดกะไหล่ทอง รูปแบบคล้ายประติมากรรมสำริดรูปพระศิวะ หรือทวารบาล จากปราสาทสระกำแพงใหญ่ จังหวัดศรีสะเกษ ที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย จังหวัดนครราชสีมา

สตรีนั่งชันเข่าพนมมือ สันนิษฐานว่าเป็นสตรีชั้นสูงในราชสำนัก อายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 หรือประมาณ 900-1,000 ปีมาแล้ว สูง 43 ซม. หล่อด้วยสำริด ประติมากรรมทั้งสองชิ้นนี้เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงว่า บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เป็นแหล่งผลิตงานศิลปกรรมสำริดที่มีคุณภาพ


“ประสาทหูเสื่อม” ภัยร้ายเสียงดังฟื้นฟูยากกว่าที่คิด!

“โรคประสาทหูเสื่อม” ภัยร้ายที่มาพร้อมเสียดัง ไม่ได้มีแค่คนอายุมาก แต่อายุน้อยก็เสี่ยง แถมฟื้นฟูยากกว่าที่คิด!...

ทุกวันนี้เราหันไปทางไหนก็เจอแต่คนใส่หูฟัง บางคนใส่นานติดต่อกันหลายชั่วโมงต่อวัน บางคนใส่แล้วเปิดเสียงดังจนคนข้าง ๆ ได้ยิน รู้ตัวอีกทีก็รู้สึกว่าการได้ยินผิดปกติไม่ชัดเหมือนเดิม ซึ่งอาจเป็นอาการของ ‘โรคประสาทหูเสื่อม’ หรือที่เรียกกันติดปากว่า ‘ภาวะหูตึง’ ที่ปกติมักจะพบได้ในผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันกลับพบเจอได้มากขึ้นในกลุ่มคนที่ยังอายุไม่เยอะ

วันนี้ ผศ.พญ.กวินญรัตน์ จิตรอรุณฑ์ โสต ศอ นาสิก (Otolaryngology) นาสิกวิทยาและโรคภูมิแพ้ ศูนย์หู คอ จมูก จะมาเล่าถึงอาการของโรคประสาทหูเสื่อม ผ่าน Healthy Clean ระบุว่า “โรคประสาทหูเสื่อม คือภาวะการสูญเสียการได้ยินเนื่องจากเซลล์ประสาทหูเสื่อมสภาพ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ“ เช่น อายุที่มากขึ้น การได้ยินเสียงดังบ่อย ๆ การอักเสบหรือติดเชื้อ เป็นต้น โดยเฉพาะช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป ร่างกายจะสร้างเซลล์ประสาทการได้ยินขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่ตายได้ไม่เท่าตอนอายุน้อย ทำให้การได้ยินเสื่อมลง เรียกว่าอาการประสาทหูเสื่อมตามธรรมชาติ อีกทั้งถ้ามีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ร่วมด้วย อาทิ กรรมพันธุ์ โรคเบาหวาน หรือโรคทางระบบประสาทอื่น ๆ ก็ยิ่งกระตุ้นให้การได้ยินเสื่อมเร็วขึ้นได้เช่นกัน

“เรื่องการใส่หูฟัง จริง ๆ ก็มีผลทำให้การได้ยินลดลงพอสมควร โดยเฉพาะหูฟังประเภทที่ใส่เข้าไปในรูหู พอเปิดเสียงดังมาก ๆ จะมีความดันเข้าไปในหู ทำให้เซลล์ประสาทหูทำงานหนัก ส่งผลให้สูญเสียการได้ยินก่อนวัยอันควร”

“วิธีการสังเกตว่าเราเริ่มมีอาการประสาทหูเสื่อมหรือยังนั้นทำได้ง่ายๆ โดยอาการที่เห็นได้ชัด คือ เปิดทีวีหรือลำโพงเสียงดังจนรบกวนคนอื่น ไม่ได้ยินเสียงคนข้าง ๆ พูด ในบางคนอาจมีปัญหาเสียงรบกวนในหู อาทิ เสียง วี๊ ๆ เหมือนเสียงลม หรือเสียงซ่า ๆ คล้ายเสียงทีวีเสีย ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบมาพบแพทย์”

โรคหูตึงเฉียบพลันภัยร้ายที่ไม่ทันตั้งตัว โรคประสาทหูเสื่อมโดยทั่วไปจะค่อย ๆ สูญเสียการได้ยิน ซึ่งมักเป็นไปตามวัย แต่มีอีกโรคหนึ่งที่มีผลกระทบต่อการได้ยินแบบฉับพลัน คือ ‘โรคหูตึงเฉียบพลัน’ ที่เกิดได้ในทุกช่วงวัย บางคนมีอาการตื่นมาตอนเช้าหูอื้อไปหนึ่งข้าง หรืออยู่ดีๆ ก็เวียนหัวและหูไม่ได้ยินขึ้นมา ซึ่งส่วนใหญ่เกิดโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่อาจมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ ประสาทหูบาดเจ็บจากการได้ยินเสียงดัง (Acoustic Trauma) อุบัติเหตุ เนื้องอกบริเวณฐานสมอง หรือโรคอื่นๆที่มีผลต่อระบบประสาท

วิธีรักษาโรคนี้นั้น “โรคประสาทหูเสื่อมเฉียบพลันยิ่งมารักษาเร็วก็ยิ่งมีโอกาสหายสูง ซึ่งสามารถรักษาได้หลายวิธี ได้แก่ การให้สเตียรอยด์แบบรับประทาน (high dose steroids) เป็นเวลา 5 – 7 วัน การฉีดสเตียรอยด์เข้าไปในหูชั้นกลางผ่านเยื่อแก้วหู (intratympnanic steroid injection) เพื่อช่วยลดการอักเสบของประสาทหู นอกจากนี้ ในปัจจุบันมีวิธีที่เรียกว่า Hyperbaric Oxygen Therapy ที่จะใช้ออกซิเจนความดันสูงช่วยในการรักษา จะช่วยเพิ่มโอกาสที่การได้ยินจะกลับมาดีขึ้น”

ประสาทหูเสื่อมฟื้นฟูยาก ป้องกันให้ดีก่อนเสียการได้ยินระยะยาว ปกติแล้วโรคประสาทหูเสื่อมถือว่าเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้ เพราะการฟื้นฟูประสาทการได้ยินนั้นทำได้ยาก จึงทำได้เพียงประคับประคองไม่ให้เสื่อมเร็ว เช่น หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่เสียงดัง หากเป็นโรคเบาหวานหรือโรคทางระบบประสาทอื่น ๆ ก็ยิ่งต้องควบคุมอาการให้ดีเพื่อไม่ให้ไปกระตุ้นอาการประสาทหูเสื่อม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโรคนี้จะไม่สามารถรักษาได้ แต่คนที่สูญเสียการได้ยินมาก ๆ ก็สามารถใส่เครื่องช่วยฟังได้เช่นกัน ซึ่งในปัจจุบันมีการพัฒนาจนมีขนาดกะทัดรัด และสามารถปรับระดับการได้ยินให้เหมาะสมกับแต่ละคน

“โรคประสาทหูเสื่อมถือเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติเมื่ออายุมากขึ้น แต่เมื่อในปัจจุบันเราเจอกับเสียงดังบ่อยขึ้นกว่าเดิมทั้งในและนอกบ้าน การเสื่อมของหูก่อนวัยอันควรอาจเกิดขึ้นกับหลาย ๆ คนได้ เราจึงควรป้องกันหูของเรา ด้วยการหลีกเลี่ยงเสียงดังที่ไม่จำเป็น เพื่อให้หูของเราได้ยินชัดตามวัยและไม่สูญเสียการได้ยินก่อนวัยอันควร” ผศ.พญ.กวินญรัตน์ จิตรอรุณฑ์ กล่าวทิ้งท้าย.....


ระวังให้ดี 'ฝุ่น PM2.5' ศัตรูตัวร้ายต่อ ระบบทางเดินหายใจ และ ผิวหนัง

'ฝุ่น PM2.5' ที่เพิ่มสูงขึ้นในทุกปีทำให้ท้องฟ้าในตอนเช้ากลายเป็นหมอกขาว ส่งผลกระทบต่อ ระบบทางเดินหายใจ และ ผิวหนัง

ในช่วงฤดูหนาวที่หลายคนรอคอยที่จะไปท่องเที่ยวตามเทศกาลต่างๆ กลับต้องเที่ยวอย่างไม่สนุกเหมือนทุกครั้งเพราะฤดูกาลนี้มักจะมาพร้อม ฝุ่น PM2.5 ที่เพิ่มสูงขึ้นในทุกปีจนทำให้ท้องฟ้าในตอนเช้ากลายเป็นหมอกขาวที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นมลพิษ ที่ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจและผิวหนัง

พญ.บุณยพัต ลิ้มทองกุล แพทย์ประจำศูนย์ผิวหนังและความงาม โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวว่า ฝุ่น PM2.5 คือ ฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือมีขนาดประมาณ 1 ใน 25 ของเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผมมนุษย์ ฝุ่นขนาดเล็กจิ๋วนี้ เกิดขึ้นจากกิจกรรมหลายชนิด เช่น การเผาไหม้ของเครื่องยนต์, การก่อสร้าง, โรงงานอุตสาหกรรม โดย ฝุ่น PM2.5 ที่เกินค่ามาตรฐานทั้งในกรุงเทพปริมณฑลและต่างจังหวัด ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจ หลอดเลือด และผิวหนัง

ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อผิวหนัง สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่

• ผลกระทบแบบเฉียบพลัน จะทำให้เกิดผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบบ นใบหน้า หรือตามร่างกายบริเวณที่สัมผัสกับฝุ่น, ทำให้เกิดสิว, กระตุ้นผื่นเดิมที่เคยเป็น ให้เป็นมากขึ้น เช่น ผื่นผิวหนังอักเสบ ลมพิษ สะเก็ดเงิน

• ผลกระทบแบบเรื้อรัง จะทำให้เซลล์ในผิวเสื่อมชราและเกิดริ้วรอยก่อนวัย เม็ดสี ฝ้า และกระเพิ่มขึ้น เนื่องจาก ฝุ่น PM2.5 มีผลให้เกิดสารก่ออนุมูลอิสระ

วิธีป้องกันผิวหนังจาก ฝุ่น PM2.5

• ควรใส่เสื้อผ้าปกคลุมร่างกายเมื่อออกนอกอาคาร เช่น ถ้าต้องไปที่ฝุ่นมาก ควรใส่หน้ากาก เลือกเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว

• หลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มีค่าฝุ่นสูงเป็นเวลานาน

• หลังจากสัมผัสฝุ่น ควรรีบอาบน้ำ ล้างหน้า ชำระล้างร่างกายทันที

• ควรทาครีมบำรุงผิวเป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้น สุภาพดี เป็นเกราะป้องกันผิว

• ในกลุ่มเสี่ยงเช่น เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัวทางผิวหนัง และผู้มีอาการภูมิแพ้ ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ หลีกเลี่ยงการสัมผัสฝุ่นและบริเวณที่มีค่าฝุ่นสูง

ทั้งนี้หากพบความผิดปกติในร่างกาย เช่น มีผื่น สิว หรือปัญหาโรคผิวหนังควรรีบพบแพทย์ทันที เพื่อจะได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและให้ผิวกลับมาสวยเหมือนเดิม


'บัวแก้ว'เผยของขวัญปีใหม่ พาสปอร์ตทันใจ ทำด่วนไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม-แปลเอกสารฟรี

‘บัวแก้ว’เผยของขวัญปีใหม่ -เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวถึงของขวัญปีใหม่ 2567 สำหรับประชาชน จากกระทรวงการต่างประเทศ ดังนี้

1) บริการการทำพาสปอร์ตทันใจ ทำเช้า-ได้บ่าย 100 คน / วัน (ทั้งจองคิวออนไลน์และ walk in) โดยจ่ายค่าบริการในอัตราปกติ (เล่ม 5 ปี 1,000 บาท และเล่ม 10 ปี 1,500 บาท) โดยไม่ต้องเสียค่าเล่มด่วน 2,000 บาท ระหว่างวันที่ 2-12 ม.ค. 2567 ในวันทำการ โดยยื่นคำร้องก่อน 11.30 น. ที่กรมการกงสุล ถ. แจ้งวัฒนะ หรือสำนักงานหนังสือเดินทางทุกแห่ง และรอรับเล่มวันเดียวกันเวลา 14.30 – 16.30 น. ที่อาคารกรมการกงสุล ถ. แจ้งวัฒนะ เท่านั้น

2) บริการทำพาสปอร์ตในวันเสาร์-อาทิตย์ ตลอดทั้งปี ที่สำนักงานหนังสือเดินทางปทุมวันที่ห้างสรรพสินค้าเอ็มบีเค เซนเตอร์ และสำนักงานหนังสือเดินทางบางใหญ่ ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวสต์เกต

3) บริการแปลเอกสารภาษาอังกฤษ ฟรี เพื่อทำนิติกรณ์เอกสาร (จำนวนคนละ 1 เอกสาร) ระหว่าง 2-12 ม.ค. 2567 ในวันทำการ ที่อาคารกรมการกงสุล และสำนักงานหนังสือเดินทางภูเก็ต เชียงใหม่ และพัทยา

4) บริการรถเคลื่อนที่ (Bangkok Mobile Service) โดยกรมการกงสุลร่วมกับกรุงเทพมหานคร ให้บริการทำบัตรประจำตัวประชาชนและบริการคัดสำเนาเอกสาร (ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ) ได้แก่ ทะเบียนบ้าน สูติบัตร และมรณบัตร ระหว่าง 15-26 ม.ค. 2567 ในวันทำการที่ลานจอดรถกรมการกงสุล แจ้งวัฒนะ

5) บริการกงสุลสัญจร เดือนละ 1 ครั้ง รวม 12 ครั้ง ตลอดทั้งปี ในพื้นที่ที่ไม่มีสำนักงานหนังสือเดินทางตั้งอยู่ โดยสามารถติดตามข่าวสารได้จากกรมการกงสุล

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศยังได้ประชาสัมพันธ์บริการพิเศษในขณะนี้และกงสุลสัญจรปลายเดือนนี้ ได้แก่ กรมการกงสุลเปิดรับทำพาสปอร์ต (ค่าธรรมเนียมตามปกติ) ที่งานกาชาด ที่สวนลุมพินีที่ซุ้มกระทรวงการต่างประเทศใกล้ประตู 3 จนถึงวันที่ 18 ธ.ค. 66 จำกัดจำนวน 70 คิว/วัน โดยเริ่มแจกบัตรคิวเวลา 12.00 น.

กรมการกงสุลจะให้บริการกงสุลสัญจร ที่ จ. มุกดาหาร ระหว่างวันที่ 21 – 25 ธ.ค. 2566 เวลา 08.30 -30 น. ที่ศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร จำนวน 1,000 คิว/วัน เพื่อจัดทำหนังสือเดินทางสำหรับบุคคลทั่วไป โดยมีค่าธรรมเนียมตามปกติ


สุดเสียดาย 'หินงวงช้าง' สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของไต้หวัน พังถล่มแล้ว

'หินงวงช้าง' ประติมากรรมธรรมชาติสุดอัศจรรย์ จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของไต้หวันพังถล่มลงสู่ทะเลแล้ว ทางการไต้หวันคาดโดนกระแสลมและคลื่นรุนแรงมากซัดจนถล่ม

สื่อต่างประเทศรายงาน ชาวไต้หวันและนักท่องเที่ยวแสนเสียดายโขดหินงวงช้าง (Elephant Trunk Rock) โขดหินชื่อดัง ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของไต้หวัน ประติมากรรมธรรมชาติสุดอัศจรรย์ จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของไต้หวัน ได้พังถล่มลงสู่ทะเลแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2566 เนื่องจากโดนคลื่นและกระแสลมแรงซัดกระแทก

หยาง เชิ่ง หมิน หัวหน้าสำนักงานเขตรุ่ยฟาง ในเมืองนิวไทเป เปิดเผยกับนักข่าว CNA ว่า ได้รับรายงานว่าบางส่วนของโขดหินงวงช้าง ได้พังถล่มลงสู่ทะเล เมื่อเวลาประมาณ 13.55 น. ของวันเสาร์ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น โดยตอนบ่ายของวันนั้น ทั้งลมและคลื่นรุนแรงจริงๆ จนทำให้บางส่วนของโขดหินงวงช้างพังลงมา

หลายปีที่ผ่านมา 'หินงวงช้าง' ได้รับความนิยมจากบรรดานักท่องเที่ยวที่มาเยือนไต้หวันเป็นอย่างมาก โดยตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา เพื่อเป็นการปกป้องภูมิทัศน์ของหินงวงช้าง ซึ่งมีลักษณะพิเศษทางกายภาพ ทำให้ ทางสำนักงานเขตรุ่ยฟาง ได้มากั้นบริเวณดังกล่าว เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวปีนขึ้นไปยังด้านบนของ หินงวงช้าง อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวก็ยังนิยมมาเยือนและถ่ายรูปเซลฟี่ กับหินที่มีลักษณะพิเศษก้อนนี้

หลังได้รับรายงานหินงวงช้างพังถล่มเมื่อบ่ายวันเสาร์ที่ผ่านมา ทางสำนักงานเขตรุ่ยฟาง ได้ปิดกั้นบริเวณโดยรอบหินงวงช้างแล้ว และเรียกร้องให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวไม่ควรเข้าใกล้บริเวณหินงวงช้าง เพื่อความปลอดภัย

ติดตามข่าวต่างประเทศได้ที่ : https://www.thairath.co.th/news/foreign

ขอบคุณภาพจาก : New Taipei City government

ที่มา:focustaiwan