คอลัมน์ “บนเส้นทางธุรกิจ” ฉบับพิเศษประจำเสาร์ที่ 21 ธันวาคม 2567 นี้ทีมงาม “นสพ.ไทยแอลเอ.” ขอนำบทสัมภาษณ์นี้ซึ่งเคยตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยแอลเอ.เมื่อประมาณสิบปีที่ผ่านมา ทางกองบรรณาธิการได้นำมาลงให้ได้อ่านกันอีกครั้ง เพื่อเป็นการน้อมรำลึกและไว้อาลัยให้กับการจากไปครบ 100 วัน ของศิลปินแห่งชาติ ชรินทร์ นันทนาคร……..
***********************
ตำนานรักที่ยิ่งใหญ่
ของ...ชรินทร์ นันทนาคร
โดย...วัลลภา ดิเรกวัฒนะ
สมัยวัยรุ่น ข่าวดังทั่วประเทศ ลูกสาวมหาเศรษฐีกับนักร้องหนุ่ม ถูกขัดขวางทุกทาง แต่ไม่มีอำนาจใดห้ามความรักได้สำเร็จ ทั้งสองครองคู่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขระยะหนึ่ง แล้วก็ต้องเลิกร้างกันไปกลายเป็นรักขม...
ห้าปีต่อมา นักร้องหนุ่มคนเดิมพิชิตใจนางเอกภาพยนตร์ที่ดังที่สุดในประเทศ คุณเพชรา เชาวราษฎร์ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า...นักร้องตกถังข้าวสาร...
หลังจากครองรักกันได้สิบห้าปี คุณเพชราก็สูญเสียสายตา ทิ้งเครื่องหมายคำถามไว้ว่า แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตรักของเจ้าของฉายา...นัยน์ตาหวานปานน้ำผึ้ง…
...ถึงแม้วันเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานจากอดีตถึงปัจจุบัน แฟนภาพยนตร์จำนวนมากก็ยังคงติดตามข่าวคราวของเธอด้วยความรักและห่วงใย...
ผู้เขียนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งจะได้รับทราบถึงความรู้สึกที่ลึกซึ้งของผู้สร้างสองตำนานรักที่ยิ่งใหญ่...คุณชรินทร์ นันทนาคร...
เกือบสามชั่วโมง คุณชรินทร์ถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตจนถึงปัจจุบัน...รักหนึ่งคือความทระนงที่อยู่เหนือความรัก กับอีกหนึ่งความรักที่ต้องต่อสู้กับอุปสรรคนานัปการ...
…ผมเรียนชั้นอนุบาลที่โรงเรียนดาราวิทยาลัย เชียงใหม่ เวลาเล่นกับเพื่อนๆ จะส่งเสียงดัง ทางภาคเหนือตอนนั้นพวกมิสชันนารีเข้าไปบุกเบิกศาสนาคริสเตียน เขาต้องการเด็กที่มีเสียงแหลมหนึ่งคนร้องเพลงวันคริสมาสต์ คงเห็นว่าผมเสียงดัง ก็เอาไปฝึก ร้องในโบสถ์ครั้งหนึ่งก็จะได้เสื้อแขนสั้นสีตุ่นๆ น่ารักดีเป็นรางวัล ผมอยากได้เสื้อก็ไปร้องบ่อยๆ คริสมาสต์ครั้งหนึ่งมีสี่ห้าวัน ก็ได้เสื้อสี่ห้าตัว...
ตั้งแต่เล็กๆ ผมไม่ชอบร้องเพลง อยากเล่นมากกว่า แต่ความที่อยากได้เสื้อก็ไปร้อง พอขึ้นชั้นประถมไปเรียนที่มงฟอร์ด ก็เป็นอีกศาสนาหนึ่ง คริสตัง ที่ดาราวิทยาลัยเป็นโปรแตสเตนท์ มงฟอร์ดเป็นแคธอลิค แต่ผมนับถือศาสนาพุทธ โรงเรียนของมิสชันนารีช่วยเหลือเด็กทั่วไป ไม่ถือศาสนา แล้วแต่สมัครใจ
ผมได้รับเลือกให้ร้องเพลงอีก ป้วนเปี้ยนอยู่กับเพลง โรงเรียนมีคะแนนหน้าที่พลเมือง จะให้ 100 คะแนน ถ้าไปช่วยร้องเพลงประสานเสียงกับผู้ใหญ่ ได้เรียนโน้ตบ้าง เรียนการลากเสียงให้ยาวบ้าง การหยุดลมหายใจ นับจังหวะ ผมไม่จริงจัง แต่เพราะแรงจูงใจจากเสื้อกับคะแนน และเวลาอยู่บ้านที่อยู่ริมน้ำปิง ต้องสูบน้ำขึ้นไปบนแทงค์ให้คนงานอาบ ฝั่งตรงข้ามเป็นโรงหนังเปิดเพลง ผมก็ร้องตามไปเรื่อยๆ
ชั้น ม.6 เรียนต่อที่ปรินส์รอยัล คอลเลจ เป็นคริสเตียนแบบโรงเรียนดารา จบแล้วเข้าไปเรียนกรุงเทพฯ ที่อัสสัมชัญคอมเมิร์ส เซ็นส์หลุยส์ แผนกบริหารธุรกิจ บัญชี มีช็อทแฮนด์ พิมพ์ดีด พอปี 3 ถูกส่งไปฝึกงานตามร้านค้า ปลายปีเขียนรายงานก็ผ่านการทดสอบแล้ว โรงเรียนนี้เป็นคริสตัง ผมก็วุ่นวายอยู่กับสองศาสนา
ต่อมา ครูไสล ไกรเลิศ ไปที่โรงเรียน ผมกำลังทดลองไมโครโฟนด้วยเพลงศาสนาบ้าง จำจากวิทยุบ้าง ครูไสลฟังว่าใช้ได้ หายใจได้ยาวและเสียงใสดี ครูชวนไปฝึกร้องเพลงเป็นปีๆ ระยะหลังเป็นเหมือนเทปเคลื่อนที่ให้ครู เวลาครูไปขายเพลงให้กับบริษัทแผ่นเสียง ผมมีหน้าที่ยืนร้องให้ฟัง 10-15 เพลง เขาจะกำหนดไว้เลยว่า เพลงนี้จะต้องเป็น บุญช่วย หิรัญสุนทร, เพลงนั้นต้องเป็นสุรสิทธิ์ สัตยวงศ์ เพลงโน้นต้องเป็นของ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ผมร้องเป็นตัวอย่างให้เขาฟังเฉยๆ แล้วเจ้าของแผ่นเสียงจะเลือกเอาเอง
ตอนหลังครูบอกให้เอาผมร้องด้วยคน ก็เลยได้ร้องเพลงแรกคือ ดวงใจในฝัน ผู้อำนวยการสร้างชอบเพลงเดียวดายของครู ครูบอกว่าเพลงนี้ไม่เอาเงิน แต่ขอให้ผมได้ร้องสลับฉากละคร นางไพร กับคุณสุวัฒน์ วรดิลก
ช่วงนั้นยังเรียนประจำที่อัสสัมชัญ อายุ 16-17 ปี ต้องแหวกรั้วหนีโรงเรียนออกไปร้องตอนกลางคืน ตีหนึ่งตีสองถึงกลับ ถูกจับได้ครูจะไล่ออก แม่ต้องลงมาจากเชียงใหม่ต่อรองว่าต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว แต่ละครยังไม่หมดโปรแกรม ขอไปร้องอีกสามวัน แล้วรับรองว่าผมจะไม่ไปอีก ครูบอกว่าได้ แต่ต้องเอาเงินบำรุงโรงเรียน แม่ยอมก็เลยได้เรียนจนจบ
จบแล้วก็ไปกับครูไสล คลุกคลีกับวงการเพลง เริ่มมีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ดังเปรี้ยงปร้าง เพราะรุ่นผู้ใหญ่ยังอยู่ พี่บุญช่วย พี่ปรีชา บุญยเกียรติ พี่วินัย จุลบุษปะ สถาพร มุกดาปกรณ์ ฉลอง สิมะเสถียร เป็นเบอร์หนึ่ง ผมยังเด็กขึ้นไปไม่ได้ พวกพี่ๆ ยิ่งใหญ่มาก ร้องดีกันทุกคน
ผมร้องเพลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพบรักกับ คุณสปัน เธียรประสิทธิ์ นักเรียนนอกจบดีไซน์จากอังกฤษ สวยมาก ขนาดลงหน้าปกเดลิเมล์วันจันทร์ คนทั้งประเทศฮือฮาว่าผู้หญิงคนนี้มาจากไหน เครือญาติกับโอสถสภา ตระกูลกมลสุโกศลแตกหน่อมาจากเธียรประสิทธิ์ คุณพ่อของสปันเป็นมหาเศรษฐี สปันชอบผมร้องเพลง โรงหนังจัดรอบปฐมทัศน์มีวงดนตรี ผมไปร้องเพลง เขาก็ซื้อตั๋วไปดู
ขณะนั้นผมทำงานที่บริษัทกมล สุโกศล คุณพ่อของสปันมีหุ้นส่วนอยู่ในนั้นด้วย เขาก็มาที่ห้าง พบกันก็คุยกัน เป็นความรักที่เป็นไปไม่ได้เพราะจะมีคนมาหมั้นสปัน สมัยนั้นยังอยู่ในลักษณะคลุมถุงชน แล้วอาชีพผมก็เต้นกินรำกิน ผู้ใหญ่ไม่ชอบ
ผมไม่ได้รักเขาตรงความสวย แต่เขาเป็นคนมีความรู้เกี่ยวกับบทเพลงพอสมควร ชอบฟังเพลงคลาสสิคที่ผมไปไม่ถึง ฟังยากแต่เพราะ ก็ชวนคุยเรื่องเพลงถูกคอ ผมไม่เคยฟังจึงสนใจตรงกัน จนกลายเป็นความรัก พอมีคนจะมาหมั้น เราก็เลยต้องหนีไปด้วยกัน
ข่าวออกมาว่าผมพาสปันหนี ที่จริงต้องเปลี่ยนว่าเขาพาผมหนี เขาเป็นคนตัดสินใจ ตอนแรกผมจะไปขอกับพ่อแม่ ทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย ผมเป็นลูกผู้ชาย ยอมตาย แต่สปันบอกว่า...แค่เธอเดินเข้าไป ยังไม่ทันขอ เขาก็ยิงเธอแล้ว...
ตอนแรกคิดหนีไปต่างประเทศใกล้ๆ ผมไปถามเพื่อนว่าต้องไปจดทะเบียนกันที่ไหน เป็นเพื่อนรักที่เรียนอัสสัมชัญด้วยกัน ชื่อ อนันต์ เหล่าพานิช เป็นคนคิดพืชชนิดหนึ่งของเมืองไทยรักษาโรคกระเพาะไปจดทะเบียนโลก ตอนนี้เป็นมหาเศรษฐีไปแล้ว มันไม่รู้เรื่องแล้วไปถามใครก็ไม่รู้ กลับมาบอกให้ไปจดที่ภูมิลำเนาเดิมของเจ้าบ่าว ต้องขึ้นไปเชียงใหม่ก็เลยถูกดักจับที่พิษณุโลก
สมัยนั้นมีรถไฟอย่างเดียว รถยนต์ไปได้แต่ทุลักทุเล เรือบินก็แพง รถไฟง่ายดี ตอนที่โดนตำรวจจับหนีไปได้แค่ 3 วัน เข้าข่ายตรงข้อหาปล้นเพชร ผมพกปืน สปันพกเครื่องเพชรติดตัวไปด้วย ตำรวจจับเข้าห้องขังแยกสปันออกไป กว่าจะมีคนมาประกันว่าตำรวจแจ้งข้อหาผิด เพราะถ้าปล้นต้องมีสามคน
ติดคุกอยู่ 6-7 วัน รู้สึกสับสนว่ามันยังไงกัน ไม่รู้เรื่องกฎหมายเลย เรียนพวกค้าขาย แต่ก็ไม่กลัว แปลกใจที่ว่าตำรวจบังคับได้ขนาดนั้นเชียวหรือ มีคนจำหน้าได้อุตส่าห์เอาเสื้อ เอาผ้าห่มมาให้เพราะอากาศหนาว ขออนุญาตตำรวจๆ ไม่ยอม
ตระกูลสปันเป็นตระกูลใหญ่ ครอบครัวสนิทกับจอมพลเผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ พวกตำรวจชั้นผู้น้อยก็กลัว พากันเคี่ยวเข็ญผมสาหัสสากรรจ์ไปหน่อย
พอออกจากคุก ช่วงนี้เกี่ยวข้องกับคนมีชื่อเสียงหลายคนที่แอบช่วยพาสปันหนียังมีชีวิตอยู่ คนที่ชอบผมก็มี ไม่ชอบก็มี ต้องเสี่ยงลูกปืน ตอนที่ถูกพรากจากกันมันทุรนทุราย ทำให้มีการพาหนีภาคสอง หลังจากที่เขาแอบเขียนมาถึงผม 2 บรรทัด บอกว่า...เขาอยู่ใกล้มาก ใกล้แทบจะเดินไปหากันได้ เขาหนีไม่ได้แต่จะพยายาม ขอให้เธอสบายใจว่า ฉันเป็นของเธอคนเดียว...ต่อมาถึงได้มีเพลงชื่อ ของเธอคนเดียว เขียนโดยครูสง่า อารัมภีร
ได้รับจดหมายแล้วรู้สึกอบอุ่นขึ้น เขาออกมาได้แล้วแต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน นึกถึงตอนที่นั่งรถไฟไปด้วยกันมีความสุขมาก พอจากกันไม่ได้เห็นหน้า มันทรมานทั้งสองคน เวลาผ่านไปอีก 2-3 เดือนมีจดหมายมาหาอีกใบหนึ่ง บอกว่าต้องรีบส่ง ซองยู่ยี่กว่าจดหมายจะถึงมือ พอรู้ว่าจดหมายมาจากไหน ผมก็ตามรอยจดหมายแล้วไปชิงชัยเอาตัวมาอยู่ด้วยกันจนได้
ผมอยากให้เขาใช้ชีวิตแบบครอบครัวธรรมดา แต่คนเคยใส่เพชรใส่พลอย ไปไหนก็มีรถยนต์มีคนขับ กลับต้องมาอยู่กับคนที่ไม่มีฐานะ เขาเก่งที่เปิดร้านเย็บผ้า สอนนักเรียนด้วย มีรายได้ค่อนข้างดีก็ใช้วิชาชีพนี้ช่วยกันสร้างครอบครัวได้
อยู่ด้วยกัน 4-5 ปี มีลูกสองคน ก็ถึงคราวที่ต้องเลิกร้าง ทั้งที่รักกันมากๆ มันเกิดขึ้นยังไงไม่ทราบ ทั้งที่ตอนแรกกัดก้อนเกลือกินกันได้ แต่ตอนหลังความเห็นไม่ค่อยตรงกันเพราะเคยชินในการใช้ชีวิตที่แตกต่างของทั้งสองคน
ที่ผมไม่พอใจอย่างหนึ่งคือ สปันชอบยืมเครื่องเพชรของพี่สาวมาแต่งเวลาไปงาน ผมไม่ชอบ ครอบครัวของเราต้องอยู่ได้โดยไม่ต้องมีเครื่องเพชร
ผมถือว่าวาจาเป็นเครื่องประดับชนิดหนึ่ง กิริยามารยาทก็เป็นเครื่องประดับกายชนิดหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องใส่เพชร ถ้ามีเงินซื้อของเราเองก็โอเค แหม...เราก็จน เขาใส่เพชรตั้งสองสามล้าน ตอนนั้นจนๆๆๆ ต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถยนต์ เพลงก็ไม่ได้ร้อง เงินเดือนมากพอที่จะอยู่ได้
พอเกิดขึ้นหลายครั้ง หลายข้อเข้าก็ต้องพลัดพรากกันไป ผมว่าเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่ผมเสียใจมากคิดว่าน่าจะไปกันได้ เสียใจอยู่สองปี แล้วกลับมากู้ชีวิตต่อไป ส่วนสปันกลับไปอยู่บ้านที่มีทุกสิ่งทุกอย่าง
ผมมีความอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง นั่นคือความรู้สึกของปุถุชนคนธรรมดา แต่ก็ต้องทำมาหากิน หมายถึงผมหยุดร้องเพลงเป็นปีๆ ในช่วงวิกฤติ ตอนอยู่ด้วยกันผมทำงานเป็นเลขานุการที่ยูซ่อม เป็นองค์การช่วยเหลือจากสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา ตำแหน่งดีแต่ผมหันไปดื่มเหล้าจากความเจ็บช้ำในชีวิตครอบครัวเพื่อปลอบใจตัวเอง
นายผมชื่อ มิสเตอร์สแตนเล่ย์ เอ็กโนแว็ค เป็นเจ้าหน้าที่อเมริกันระดับสูงก็ไม่ไล่ออก ผมเมาขนาดท้านายว่า...เมื่อไรยูจะไล่ฉันออกเสียที...แต่เขาเห็นใจผม เป็นนายที่ดีมากๆ
เวลาผมมาร้องที่วอชิงตัน ดีซี ก็ไปเยี่ยม ตอนนี้อายุ 82 ปี เกษียณแล้ว ที่องค์การพูดภาษาอังกฤษตลอด ผมเรียนอัสสัมชัญต้องพูดภาษาอังกฤษ ก้าวเข้าไปในโรงเรียนก้าวแรกต้อง สปีค อิงลิช อย่างเดียว ถ้าพูดภาษาไทยหรือภาษาอื่นเสียห้าบาท ผมเป็นแชมเปี้ยนพิมพ์ดีด เชาวเลข ช็อทแฮนด์ สมัยก่อนไม่มีเทปต้องเขียน
พอมากระตุกเรื่องครอบครัวก็ไม่อยากทำงาน กินเหล้าเมายา เลอะเทอะ เลิกกันได้ห้าปี ก็พบกับเพชรา เขาเพิ่งเข้าวงการ เห็นว่าหน้าตาดี สวยธรรมชาติ ทาแค่แป้งกระป๋อง ถ่ายหนังเรื่องบันทึกรักพิมพ์ฉวี กับดอกแก้ว เป็นดาราคนเดียวที่มาถ่ายหนังวันละสองเรื่อง
เราเริ่มสนใจกันเมื่อผมช่วยดอกดินสร้างหนังเรื่อง แพนน้อย ได้ทำบทเพลงและแสดงด้วย ได้พูดกันบ้างแต่ก็ยังไม่สนิทนัก ผมไม่ใช่ผู้ชายประเภทเห็นคนสวยปุ๊บก็ชอบปั๊บ ต้องคุยไปในทางเดียวกันให้ถูกคอเสียก่อน
ผมชอบผู้หญิงแบบผู้ชาย เป็นทอมนิดหน่อยแต่อย่าเยอะ คล่อง ตัดสินใจเด็ดขาด เอาเป็นเอา สู้เป็นสู้ เฮี้ยวๆ หน่อย แต่ผู้หญิงลักษณะนี้ส่วนใหญ่เป็นคนสวย ทั้งเท่แล้วก็เก๋ สปันก็ลักษณะเดียวกัน
เมื่อปี 2508 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรณ์มงคลการ พระบิดาของท่านมุ้ย สร้างเรื่อง เงิน เงิน เงิน เป็นโปรดักชั่นใหญ่และดีมากๆ เพราะมาจากก้นบึ้งของพระองค์ท่านซึ่งเป็นยอดศิลปินคนหนึ่ง คือสร้างหนังไม่เอาเปรียบคนดู จะทุ่มเทใส่หมด ทุนท่านเยอะ ก็ต้องไปยืมเงินคนมาเยอะ ดอกเบี้ยมันแพงท่านก็เลยคิดจะแต่งเพลงต่อว่า จึงทำเรื่อง เงิน เงิน เงิน
แนวของเรื่องเกี่ยวกับลูกหนี้เจ้าหนี้ หัวใจคือคนยากจน ครูเพลงหลงรักสาว ท่านเป็นคนคิดให้มีเพลงชื่อหยาดเพชร ทั้งครูชาลี อินทรวิจิตร และ ครูสมาน กาญจนผลิน แต่งยังไงก็ไม่สบพระทัยเสียที ต้องดีกว่านี้
ครูทั้งสองเขียนไม่ออก เขียนตั้งนานเป็นวัน ครูชาลีบอกว่าเขียนให้ผมจีบเพชราดีกว่า...เปรียบเธอเพชรงามน้ำหนึ่ง คือเพชรา หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า ก็คือตาหวาน ตอนนั้นผมกับคุณเพชรากำลังจีบกันอยู่
ตอนที่เริ่มชอบกัน ต้องหลบซ่อนจะให้ใครรู้ไม่ได้ เขาได้หยุดวันหนึ่ง วันที่ฟลุกมีคนบอกงดหนังหรือมีปัจจัยอื่นที่ไม่อาจถ่ายได้ เพชราทำสัญญาณบอกผมว่า วันนี้ว่าง ส่วนใหญ่เรานัดกันที่ถนนราชดำเนิน เลยธนาคารออมสินไปหน่อย ตรงนั้นมืด เพชรานั่งแท็กซี่ไป ไม่แต่งหน้า ในมือถือถุงไว้คอยบังหน้า ผมก็จอดรถคอย
เขาลงรถแท็กซี่ทำเป็นเดินไปเดินมา ผมก็ถอยรถไปรับ เขาขึ้นนั่งที่เบาะหลังแล้วคุยกัน พอเข้าในที่สว่างๆ คุณเธอก็ลงนอนคุย ทำอย่างนี้อยู่หลายปี เรามีกติกาสัญญากันว่าไม่เกินสี่ทุ่ม ต้องส่งกลับบ้านที่ซอยนาคราช ถนนดำรงรักษ์ เป็นบ้านเล็กๆ อยู่กับพี่สาว
เจอกันประมาณหนึ่งทุ่ม สามชั่วโมงขับวนไปวนมา บ่อยครั้งที่น้ำมันหมด ต้องจอดรถลงไปซื้อน้ำมันใส่แกลลอน ที่ไม่เข้าไปเติมในปั๊มเพราะกลัวคนเห็น
กว่าจะได้เห็นหน้า กว่าจะได้คุยกัน ผมว่ามันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของความรัก ทำให้เราทิ้งกันไม่ได้ กับสปันก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่พบกับความบอบช้ำมาก อารมณ์จึงเข้าถึงเพลงได้ เหตุการณ์จากชีวิตจริงกับความเสียใจช่วยได้เยอะ เป็นรีแอ็คชั่น ขว้างไปแรงก็กลับมาแรง
มีความรักกับเขาเราก็ใส่เต็มที่ อย่างเพลงทาสเทวี ตอนหลังมี ดอกฟ้าในมือโจร สั่งฟ้าฝากดิน ทั้งรักทั้งเจ็บปวด เริ่มต้นด้วยความรัก พระเจ้ารู้มีหลัง บางรัก (บ้านเขาอยู่บางรัก) เพลงนี้ร้องให้สปันเลย
ผมกับเพชราอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวตั้งแต่ปี 2512 หลังจากชอบกัน 3-4 ปี เพชราเป็นตัวของตัวเอง ผมชอบนิสัยแบบนั้น ถ้าเยสก็เยส ถ้าโนก็โนไปตลอด
ที่มีเรื่องฟ้องร้องก็เพราะเพชราบอกว่า ไม่ใช่ ฉันไม่ไป เขาพูดคำขาด ไม่มีที่จะพูดว่าขอคิดดูก่อน...หรือไม่ก็สะบัดหน้าได้เสียไปเลย ชีวิตก็เลยบาดเจ็บปวดร้าว
เรื่องเด็ดขาดผมชอบ ไม่ต้องพูดกันมากว่า ฉันรักเธอ แล้วเธอล่ะรักฉันหรือเปล่า ชอบก็คือชอบ รักก็คือรัก เรื่องจีบกันแล้วจับมือถือแขน มันไม่ใช่ชรินทร์...
เมื่ออยู่ด้วยกันไม่ต้องแอบซ่อน ก็เป็นเรื่องครอบครัว ต้องระมัดระวังคอยดูแล อีกอย่างเขาเป็นนางเอกมีชื่อเสียง มีคนพูดกันว่า...ชรินทร์ตกถังข้าวสาร เพราะเพชรารายได้ดี...
...อู้ฮู อยากให้คนพูดมาตกแทน เพชราไม่มีเงิน เล่นหนังเยอะจัง แต่ก็ได้ครบบ้าง
ไม่ครบบ้าง นี่คือหนังไทย มันฟ้องตูมเดียว กล้องถ่ายหนัง เลนส์ ของในบ้านเอาไปจำนำหมด ฝ่าฟันกันมา แล้วเราก็หัวร่อกันว่า...แหม เธอรวยเหลือเกิน ฉันต้องเอาเลนส์ถ่ายหนังไปจำนำ...
ช่วงที่โดนรุมจนลำบากที่สุด เชิด ทรงศรีเคยเขียนถึงผมว่า คนไม่แพ้ ผมไม่ยอมแพ้ และชรินทร์ไม่ใช่คนเกาะเมียกิน เพชราอยู่กับชรินทร์ไม่ได้มาอย่างเศรษฐี เพชรามาอย่างคนมีหนี้สินกับสรรพกรร่วมสิบล้าน...โอยตายเลยกู เอาวะ...สู้กับมัน
ผมไม่เคยท้อกับอะไรที่รุมเข้ามา เป็นการพิสูจน์ว่าเราเป็นตัวจริงหรือตัวสำรอง หรือเป็นแค่ตัวประกอบ ต้องพิสูจน์และยืนให้ได้ไม่ว่าในลักษณะไหนที่จะมาถมทับชีวิตของเรา
ตอนที่คุณเพชราเริ่มจะมองไม่เห็น ตาของเขามันเปิดๆ ปิดๆ เดี๋ยวก็หาย ไม่เห็นสักพักแล้วกลับมาเห็นใหม่ อีกห้าหกเดือนก็มืดไปอีก สัญญาณเตือนเป็นระยะๆ ตอนหลังเริ่มถี่ขึ้นๆ
วันสุดท้ายยืนอยู่ข้างก้อนหิน แล้วเซจากบนเนินที่บ้านลงมาจะล้มอยู่แล้ว เขาตกใจเรียกผมว่า...เธอๆ ตาฉันไม่เห็นแล้ว...ผมบอกว่าไม่เป็นไร อีกประเดี๋ยวก็เห็น เป็นอย่างนี้มาหลายปีแล้ว แต่วันนั้นผิดสังเกตเพราะตัวเขาสั่นมาก
เพชรารู้เลยว่า...นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะมองไม่เห็นอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าม่านตาทุกครั้งที่ผ่านมาจะเป็นสีแดงๆ ไม่ได้ตาบอด ตายังเหมือนเรา แต่มีแพรสีแดงมาบัง วันที่ผมเข้าไปกอดเอาไว้ เป็นม่านสีเทาแก่ๆ
เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียใจมากทั้งที่เป็นคนใจเด็ด ผมบอกเพชราว่า...ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นขอให้จำไว้อย่างเดียว ว่าฉันจะไม่ทิ้งเธอ...เขาก็ค่อยๆ ดีขึ้น
กว่าจะทำใจได้ใช้เวลามาก แรกๆ จะฆ่าตัวตาย จะกระโดดน้ำ ต้องเอามีดไปซ่อน ต้องคอยดูว่าเดินผ่านแล้วจะคิดอะไรหรือเปล่า เก็บเชือกหมด ปลอบใจกันไปประมาณสองปี คอยเอาใจใส่ปลอบโยน แต่โชคดีที่เป็นคนใจแข็ง เมื่อถึงจุดหนึ่ง เขาบอกว่า...สู้...แล้วก็ยอมรับในที่สุดว่าคือคนพิการ
มีรางวัลหนึ่งที่สำคัญของชาติ มีการเสนอให้เพชรา แต่มีคนแย้งว่า การแสดงของเพชราจนถึงทุกวันนี้ไม่ต่อเนื่อง มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งคัดค้านว่าเพชราตาไม่เห็น จะต่อเนื่องได้ยังไง ควรพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ แล้วเขาก็ข้ามเพชราไป
แต่ไม่เป็นไรเพราะชีวิตไม่ได้อยู่ที่รางวัล ชีวิตของศิลปินอยู่ที่ประชาชน การปฏิบัติตัว ในการทำงานศิลปะ ซื่อสัตย์ต่อตัวเองและต่อผลงาน ต่อพี่น้องประชาชน ถ้าทำมาตลอด ประชาชนไม่ทอดทิ้งและพระเจ้าก็ไม่ทอดทิ้งเรา
ผมกับเพชราพยายามทุกทาง เข้าเจ้าเข้าทรงเมื่อรักษาทางวิทยาศาสตร์ช่วยไม่ได้ เคยส่งประวัติเพชรามาที่โรงพยาบาลมีชื่อเสียงที่สุดในสหรัฐฯ แต่ทางนี้ก็ตอบดีว่า...เขายังไม่มีเครื่องมือดีพอที่จะรักษา ถ้ามีใครบอกว่ารักษาได้ ข้อสำคัญข้อแรกคืออย่าเพิ่งเชื่อ แต่อย่าตกใจ วิทยาการมันก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ต้องมั่นใจว่าวันหนึ่งเราจะมีเครื่องมือที่ดีรักษาได้...
จริงๆ แล้ว เพชราประสาทตาฝ่อ โดนแสงมาก ต้องใช้กำลังบังคับประสาทตาให้มอง เพราะเล่นหนังเป็นเวลาเกือบสามสิบปี ทั้งกลางวันกลางคืน สมัยก่อนเป็นหนังสิบหกมิลลิเมตร ต้องใช้แสงรีเฟล็กซ์แรงมาก เอากระดาษสะท้อนแสงจากพระอาทิตย์ซัดเข้าไปที่หน้า
คัทหนึ่งอย่างน้อยๆ ต้องมี 10-15 แผ่น ภาพถึงจะคม แผ่นเดียวคนก็จะเป็นลมแล้ว เพราะความไวของฟิล์มที่จะจับภาพ สมัยนั้น 64 สมัยนี้สูงถึง 400 จุดไม้ขีดก้านเดียวในที่มืดก็ถ่ายได้ เมื่อบังคับให้มองเห็นมากๆ ตอนหลังก็ล้าลง ต้องใส่แว่นช่วย ใส่คอนแท็กเลนส์หนาขึ้น ก็ทรมานจนหมดฤทธิ์
ตอนที่ตาเริ่มมองไม่เห็น อยู่ด้วยกันประมาณสิบห้าปี ผมอายุยังไม่มาก สี่สิบกว่าๆ มีคนวิจารณ์ว่า นักร้องดังจะต้องมีผู้หญิงชอบเยอะ...ผมไม่มีวันทิ้ง...เพชราค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวผม อยู่กันมาจนรู้ใจ ตามองไม่เห็นแต่มองเหมือนคนตาปกติ
ที่บ้านเป็นเนินมีบันไดขึ้นสี่ขั้น มีกิ่งต้นโมกแยงออกมา ผมไม่อยากตัดเพราะเห็นว่าสวยดี เวลาเดินขึ้นบ้าน ได้กลิ่นหอมดอกโมก เวลาเพชราเดินขึ้นบันได ขั้นที่สองเขาก้มหัวลอดกิ่งไม้ เพื่อนบอกว่า...ไอ้บ้า ไหนว่าเมียตาไม่เห็น เมื่อกี้เห็นก้มหลบกิ่งไม้...
ผมบอกว่าเขาเคยชิน ในบ้านจะรู้หมด ต้นไม้อ้วนผอม เอาไม้เขี่ยดูก็รู้ หมา 3 ตัวคอยวิ่งตาม แมว 2 ตัวแก่ตายไปหมดแล้ว อยู่กันมาสิบเจ็ดปี แก่เฒ่า เดินไม่ได้ ต้องป้อนข้าวป้อนน้ำ นกก็อยู่จนแก่ตาย สิบเจ็ดปีเหมือนกัน พวกแมวพวกนกอายุไม่ควรเกินสิบห้า แต่เพชราเอาใจใส่ นกเอี้ยงพูดได้...พ่อจ๋า พ่อจ๋า...
ผมโทรศัพท์จากอเมริกา ได้ยินเสียงผมก็เรียก พ่อจ๋า พ่อจ๋า ตอนหลังบินไม่ได้ เดินก็ไม่ได้ นอนในเบาะ กินกับนอน อยู่ได้อีกสองสามปี ก็ผอมแห้งไปเลย ก็ที่สุดของเขาแล้ว
บางครั้งเวลาผมกับเพชราขัดใจกัน เขาท้าหย่า เป็นนักบู๊เหมือนผู้ชาย...เอางี้ดีกว่า หย่ากันเลย...ผมถามว่าแล้วจะไปอำเภอถูกเหรอ เขาบอกว่าถูก พระโขนงแค่นี้เอง ผมบอกว่า...อำเภอย้ายไปแล้ว...บางทีก็ล้อเล่น บางทีก็เอาจริง แต่ก็รู้ว่าอยู่ระดับไหน
พอเขามาแรงเราก็อ่อน...ครับๆๆๆ แล้วผมจะจัดแท็กซี่มาให้คุณนาย แต่อย่าไปอำเภอพระโขนงนะ เขาเปลี่ยนแล้ว เป็นอำเภอสวนหลวง...เขาถามว่า...มันอยู่ไหนวะ ฉันไปไม่ถูก...ก็เลยไม่ได้หย่า
มีคนเข้าใจว่าผมเจ้าชู้ เพราะเป็นนักร้องดัง ผู้หญิงชอบ ผมเป็นผู้ชายก็มองผู้หญิงบ้าง แต่ไม่ใช่ผู้ชายประเภทเห็นใครก็จีบหมด รู้ตัวเองว่าอยู่สถานะไหน คนเขาก็ชอบว่าร้องเพลงดี เขามีเมตตา มีน้ำใจกับเรา ผมไม่เคยทำให้แฟนเพลงผิดหวัง ไม่เคยหลงตัวเอง ถ้าหลงตัวเองคงไม่อยู่ถึงขนาดนี้ เพราะผมจะประณีต พิถีพิถันกับผลงาน
ผมร้องเพลงไม่มากนัก แต่ก็มีพันกว่าเพลง ผมเป็นคนเลือก ส่งมาสิบเพลงจะร้องห้าหกเพลง นักร้องจะรู้ว่าร้องเอาเงินหรือเอาชื่อเสียง ถ้าได้ทั้งเงินและชื่อก็จะดี ถ้าร้องเอาเงิน เพลงอะไรก็ร้องได้ทั้งนั้น ผมไม่ฝืนใจทำในลักษณะนั้น ไม่ใช่อวดตัวเองว่าเป็นคนวิเศษ ไม่ชอบหรือไม่ถูกใจก็ขอข้ามไป
มีคนท้วงติงว่าผมจู้จี้ แต่ต้องทำ เพราะคนที่มาซื้อเพลง เท่ากับเป็นลูกค้าของเรา อย่างน้อยคิดว่าซื่อตรงดีกว่า คือไม่ร้องถ้าไม่ชอบ บางเพลงก็มีที่ร้องด้วยความเกรงใจ แต่น้อยมาก เพลงที่โดนใจมีหลายเพลง ที่ไม่ค่อยดังก็มี
บางเพลงไม่เคยคิดว่ามันจะดังเท่าไร กลับดังมากๆ บางครั้งตอนร้องใส่อารมณ์ได้ดีเต็มที่แล้ว เพลงนี้น่าจะเปรี้ยงปร้างแน่นอน แต่เฉยๆ บางเพลงยังติดว่า แหม...จะนั่นจะนี่ไปหรือเปล่า โอ้โฮ คนบอกว่ามีเสน่ห์ ร้องตรงนั้นได้ดีมาก
ส่วนใหญ่จะเป็นที่ชื่นชอบของเรากว่าจะผ่านไปถึงคนฟัง ถือว่าผู้ฟังคือผู้มีอุปการะคุณ มีความสำคัญ จึงต้องประณีตในผลงาน ทุกเพลงผมร้องด้วยชีวิตจริงๆ
มาถึงวันนี้ได้เพราะความรักที่มีกับการร้องเพลง และแฟนเพลงอุดหนุน มาดูทุกครั้ง ให้ความเมตตากรุณาและชื่นชอบผมว่าเสียงถูกใจ อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง ในด้านการวางตัวของเราก็คือเรา
ชรินทร์ตัวจริงเป็นอย่างนี้ ชอบผู้หญิงเฮี้ยวๆ หน่อย อย่างสปันเป็นลูกเศรษฐี สวยบาดตาบาดใจ ผมไม่ได้รักตรงนั้น ผมรักตรงที่เขาเท่ห์ ชวนหนีไปด้วยกัน สู้น่าดู เพชราก็เหมือนกัน ในบทหวานปานน้ำผึ้ง แต่ตัวจริงเป็นคนดุเดือด ถ้าเขาบอกว่าไม่ ก็คือไม่ มีคนมาจีบเขาเยอะ รวยมาก คนที่ทำเวรกรรมให้กับชีวิตเรา ฟ้องผมกับเพชราล้มละลาย เพราะจีบเพชราแล้วเพชราไม่เลือก ผมต้องหาเงินใช้หนี้ร่วมสิบล้าน
ผมไม่รู้ว่าเพชราชอบผมตรงไหน อาจชอบที่เสียง เพชราชอบร้องเพลงมาก แต่ร้องไม่เป็น จะฮัมตาม เพลงอะไรรู้หมด เพลงลูกทุ่งนี่กรี๊ดกร๊าดเลย เป็นแฟนต่าย อรทัย ศิริพร อำไพพงษ์ ก็อต จักรพันธ์ ไมค์ ภิรมย์พร...กรี๊ดมาก เป็นดวงใจของเพชราทั้งหมด
พี่เบิร์ดก็อยู่ในใจเขา ทุกวันนี้เพชราอยู่ได้เพราะเพลง เขาชอบฟังเพลงที่ผมร้อง เพลงลูกทุ่ง ลูกกรุง รู้หมดว่าเสียงของใครเป็นยังไง
แต่เพชราไม่ได้เกิดเป็นนักร้อง ร้องเพลงไม่ได้ เป็นคนเฮ้วๆ ไม่ชอบอะไรก็บอกตรงๆ ถึงได้มีเรื่อง ชีวิตต้องลำบาก...เดี๋ยวบ้านถูกเลหลัง ไอ้นั่นไอ้นี่ ชีวิตยับเยินเลย มันเอาธงตราหมากรุกมาปักไว้หน้าบ้าน ประกาศขายเลหลัง เรื่องภาษีขาดส่งเป็นปี เผอิญโชคดีไม่มีคนซื้อ
ที่อยู่กันมาจนถึงวันนี้ เราขาดกันไม่ได้ ต้องพูดคุยกันตลอด ให้กำลังใจกัน อยู่กันเหมือนเพื่อน เหมือนญาติ อยู่ด้วยความเห็นอกเห็นใจ หัวใจต้องเชื่อมต่อกันตลอด เขาเป็นคนที่เรารัก เราก็เป็นคนที่เขารัก มันต้องไปด้วยกัน ถ้าเราทิ้งไป เขาจะอยู่ยังไงก็ลำบาก
ผมไม่เคยมีความรู้สึกเบื่อหน่ายเลยสักครั้งเดียว แต่เขาเป็นคนขี้หึง ต้องอธิบายเยอะแยะ บางทีบอกว่าไม่อธิบายแล้วนะ ฉันจะนอนก่อนละ เวลามีคนโทรฯ มาหยอกเย้า เขาจะแอบฟัง พอวางหูปุ๊บก็ถามเลยว่าใคร เป็นธรรมดาที่ผู้หญิงหึงหวง แต่เพชรามากไปหน่อย
ผมให้ความมั่นใจกับเขาตรงการกระทำ ส่วนดีของคุณเพชราที่ทำให้อยู่ด้วยกันมานาน เขาเป็นคนตัดสินใจเร็ว เด็ดขาด ไม่มีการเอาอกเอาใจหรือหวานกันมาก ไม่ใช่ว่าวันวาเลนไทน์ต้องเอากุหลาบมาให้
ผมเป็นคนห้ามไม่ให้เขาซื้อเพชร เขามีเพชรอยู่เม็ดนิดเดียว เป็นแหวนที่แม่ผมทำหาย ไปค้นที่ไหนก็ไม่เจอ ตอนทำครัวแม่ชอบไปนั่งที่โต๊ะเตี้ยๆ ตำน้ำพริก
พอแม่เสียเมื่ออายุ 90 ปี เวลาผ่านไปตั้งหลายปี เด็กคนใช้ย้ายโต๊ะตัวนั้น ก็เห็นแหวนวงเล็กๆ มีเพชรเม็ดหนึ่งเหลือให้ลูกสะใภ้ เพชราบอกว่า...ฟลุกที่หลุดมาหาเรา...
ผมไม่ได้สมบัติจากแม่แม้แต่ชิ้นเดียว แม่เป็นเศรษฐีมีสตางค์ เพื่อนๆ ไปเชียงใหม่ โทรมาถามว่า...เฮ้ย ชรินทร์ แม่รวยขนาดไหนวะ ชี้ไปทางไหนคนบอกว่าเป็นที่ดินของแม่ทั้งนั้นเลย...
ผมมีพี่น้องสองคน พี่ชายห่างกับผม 14 ปี แม่เสียอายุ 90 ปี ทำพินัยกรรมเอาไว้ พี่ชายให้ไปดู พอไปถึงเขาบอกว่า...แม่ยกให้กู...ทั้งหมดตั้งยี่สิบกว่าแปลง เอาไปหมดเลย ขายกินสิบชาติก็ยังไม่หมด
ผมมองหน้าแล้วถามคำสุดท้ายว่า...เอายังงี้เหรอ...เขาบอกว่า...แม่ให้กู...ก็ขาดกันตรงนั้นเลย ผมชี้ไปที่ป้ายเขียนว่า นันทนาคร ผมให้เอาออก ไม่หันหลังกลับไปมองอีก ผมก็เป็นคนคำเดียวและไม่ใยดี
มีคนให้ฟ้อง ผมไม่ฟ้อง เพชราบอกว่า...ดี อย่าไปเอา...ผมบอกลูกสาวคนโต ปัญญ์ชลี ว่าพ่อขึ้นไปแล้ว ไม่ได้อะไรเลย ลูกสาวบอกว่า...ไม่ต้องไปยุ่ง จบเลยพ่อ...ลูกสาวก็คำเดียวเหมือนกัน
ปัญญ์ชลีเป็นคนสวย แต่คนละแบบกับแม่ สปันสวยคม ลูกก็ได้แต่ค่อนข้างมาทางผม ก็เลยสวยน้อยกว่าแม่หน่อยหนึ่ง คนเล็กไม่ไปทางแม่นัก จะมีก็แต่แหวน หลานสาวที่กำลังดังอยู่ตอนนี้ ไปทางยาย พูดจาก็เหมือน ประเภทหมัดเดียวจอด
ความรักที่มีต่อลูกถือว่าดี ตอนที่จะเลิกจากกัน สปันเป็นคนชอบเอาชนะ เขาบอกว่าเลี้ยงลูกได้ เรามีข้อแม้ว่าลูกต้องอยู่กับผมหมด ทีนี้เขามาขโมยไปทีละคน พอคนที่สองถูกขโมย ผมบุกถึงเมืองแปร ขับรถไปฉุดมาเลย สปันหลอกผมเข้าไป บอกว่าชรินทร์เป็นคนใจร้อน พอผมไปรับที่โรงเรียนไม่พบ ก็ตรงรี่เข้าไปที่บ้าน เปิดประตูปุ๊บก็ฉุดลูกออกมา...
นักข่าวถ่ายรูปกันวูบวาบไปหมด รุ่งเช้าพาดหัวข่าว ลูกสาวบอกว่า...หนูเกลียดพ่อ...ตอนหลังเขาบอกว่า...ที่พูดไปวันนั้น แม่เอามือหยิกอยู่ข้างหลัง...ลูกพูดตอน 5 ขวบ บอกความจริงอายุ 16ปี
ตอนที่ผมได้ยินไม่เสียใจ รู้ว่าจะต้องมีอะไรบังคับบัญชา เพราะเวลาพูดมีพิรุธ ตัวแข็ง แสดงว่ามีคนอยู่เบื้องหลัง ตั้งแต่วันนั้นผมไม่ได้พบกับลูกอีกเลย ทั้งที่อยู่ใกล้กัน ในเมื่อเกลียดก็ไม่ต้องมา
ตอนที่ลูกสาวคนโตอยู่ชั้น ม.6 เด็กที่บ้านบอกว่ามีนักเรียนมาหา ผมบอกว่านักเรียนมาได้ยังไง ค่ำมืด แม้กระทั่งเด็กที่เคยเลี้ยงลูกผมตั้งแต่เด็ก ยังจำไม่ได้ บอกว่า...คุณคะ เขาจะพบให้ได้...
ผมบอกว่า แล้วรถเราน้ำมันมีหรือเปล่า เดี๋ยวไปส่ง ปรากฏว่าเด็กเข้ามาข้างในแล้ววิ่งเข้ามากอดผมแล้วเรียกพ่อ ก็ได้คุยกัน ลูกสาวขอใช้นามสกุล นันทนาคร เพราะแม่จะบังคับให้เปลี่ยนเป็น คันธวงศ์ เขาจะไปเปลี่ยนที่อำเภอเองไม่ได้ ต้องรอให้อายุ 17 ตอนนั้นลูกสาวคนเล็กยังไม่ค่อยรู้เรื่อง
ทุกวันเสาร์ ปัญญ์ชลี จะจัดเลี้ยงรวมญาติ สปันก็มา หลานสาวสองคน แหวน หวาย เรียนโรงเรียนนานาชาติ ยายเป็นคนส่งเรียน พวกเขารวมกันอยู่ที่สนาม ผมจอดรถเดินเข้าไป หลานสองคนวิ่งเข้ามากอด...ตามาแล้วๆๆ...
พอเข้าไปนั่ง สปันพูดทันที...อะไรกัน ดูสิวะ ทั้งไอ้หวาย ไอ้แหวน เห็นเธอมาก็วิ่งเริ่ดไปหา ฉันมามันไม่เห็นกรี๊ดกร๊าดเลย...เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง สปันก็บ่นทุกทีอีกเหมือนกัน
กว่าผมกับสปันจะดีกันใช้เวลานาน เขาไปมีสามีอีกสองคนจนเลิกหมดแล้ว ตอนนี้อยู่คนเดียว เขาโทรไปคุยกับเพชราบ่อย เฮฮากันดี ผมก็อุ่นใจ เมื่อก่อนที่เคยบอบช้ำถึงวันนี้กลับกลายเป็นเพื่อนกัน
วันเสาร์ถ้าผมว่างก็ไปกินข้าวที่บ้านเขา มาอเมริกาลูกสาวคนโตโทรมาสองหน คนเล็กหายต๋อม เปิดร้านอาหารที่ภูเก็ต โทรไปแล้วสัญญาณไม่ดี เสียงขาดๆ ผมก็บอกว่าไม่เป็นไรลูก รู้ว่าไอเลิฟยู ยูเลิฟมี ก็แล้วกัน
หลานสาวสองคนผูกพันกับคุณตา สปันเขาน้อยใจว่า...ไอ้ตัวเล็กนี่นะ เธอรู้ไหม ค่าเทอมปีหนึ่งเกือบสองล้าน อยู่โรงเรียนนานาชาติ...ผมบอกว่าก็เสียให้หลาน ในเมื่อเธอมีเป็นพันๆ ล้าน แค่ดอกเบี้ยก็ได้แล้ว จะเอาเงินไปไหนกัน
สปันตอบว่า...ไม่รู้ เรื่องของฉัน เธออย่ายุ่ง...หลานคนเล็กพูดภาษาอังกฤษเป็นไฟ เขาจะสอนผมด้วย มาที่นี่ต้องท่องคาถา วันแรกจะอือๆอาๆ ติดขัด พูดกับฝรั่งมัวแต่เอ้อๆ สามปีได้พูดที เวลาผ่านไปสักอาทิตย์ค่อยเป็นผู้เป็นคนหน่อย ถึงเดือนก็ถามดะไปหมดจากหัวถึงท้าย
อย่างที่แอตแลนต้า กว่าจะไปเอากระเป๋าได้ ต้องนั่งรถแช็ตเติลหลายสถานี ผมก็ลงแล้วลงอีก ไม่ใช่สักที ต้องขึ้นใหม่ จนกระทั่งสถานีสุดท้าย ถึงได้ประกาศว่า เป็นจุดรับกระเป๋า ผมร้องเป็นภาษาไทยว่า ...ไอ้บ้าเอ๊ย ทำไมไม่บอกแต่แรก...
แล้วก็ไม่ใช่ชาวต่างชาติอย่างผมคนเดียว แม้แต่อเมริกันที่นั่งข้างๆ ก็ร้อง...โอ มายก็อด...ถามผมว่ารับกระเป๋าเหมือนกันใช่ไหม แล้วเราก็หัวเราะไปด้วยกัน
ในชีวิตของผม นอกจากสปันกับเพชรา ไม่เคยมีคนอื่นอีก แม้บางทีมีสาวๆ กรี๊ดกันเยอะ ก็ไม่ได้ตัดไมตรี มีอะไรให้ช่วยก็ช่วย ถ้าติดขัดก็ขอความร่วมมือ เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ในเมื่อจิตใจเราคงมั่น
แต่ผมก็ไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ บางทีโกหก ไปกินเหล้าบ้านเพื่อนที่เป็นเหมือนสโมสร เพชราไม่ชอบให้ไปบ้านนี้ ก็ต้องบอกว่าจะไปตัดผม กลัวเขาไม่สบายใจ เพื่อนคนนี้ก็ขาดเราไม่ค่อยได้ จะจิ้มโทรศัพท์ตาม คนอื่นขาดมันไม่บ่น
ผมไม่ใช่คนดีเลิศนักหนา เวลาทำงานปากจัด เป็นตั้งแต่หนุ่มๆ ทำหนังก็เป็นอย่างนี้ อะไรไม่ถูกใจก็จะจี้อยู่นั่นแหละ คอนเสิร์ตถึงดี แต่ก็จะขาดเพื่อนเพราะไปด่าเขา ผมแก้นิสัยนี้ไม่ได้ เวลาซ้อมดี แต่พอเอาจริงทำไม่ได้ บางคนกลัว บางคนก็บ่น แต่พอผลงานออกมาดีก็ถือว่าคุ้ม งานต้องสมบูรณ์แบบ
มาเล่นคอนเสิร์ตที่นี่ โทรคุยกับเพชราทุกวัน ทุกครั้งที่มา เพชราฝากไว้อย่างหนึ่งว่า...เธอไปเล่นที่ไหนก็แล้วแต่ ขอให้พูดชื่อฉันหน่อย ว่าแฟนภาพยนตร์ยังจำเพชราได้ไหม...ผมพูดทุกแห่ง ทุกคนบอกว่าจำได้ๆๆ ได้ยินแล้วชื่นใจ ต้องกลับไปเล่าให้ฟัง
เขาจะต้องถามจุดนี้ก่อนว่า...เอ่ยชื่อฉันแล้วเป็นยังไงบ้าง...ก็บอกเขาว่า...ได้รับการปรบมือทุกครั้ง...ผมเล่าว่าเพชราชอบแทงหวย มีคนฝากเงินไปให้ บางแห่งตั้ง 200-300 เหรียญ แต่ผมจะไม่บอกว่าฝากไปแทงหวย ถ้ารู้ว่ามีเงินมากจะแทงมาก
ถึงเวลาก็โทรศัพท์ไปแทงเอง สิบปีแล้วไม่เคยถูก เจ้ามือก็ใจดีเหลือเกิน...คุณเพชราขา รางวัลที่หนึ่งยังไม่ออกก็ว่าไปเรื่อยๆ นะคะ...เป็นลูกค้าคนเดียวที่เจ้ามือเอาใจช่วย แต่ไม่เคยถูกเสียที ทุกวันมีแต่ฟังเพลงกับแทงหวย
คอนเสิร์ตในอเมริกาทุกครั้ง ผมโทรศัพท์รายงานเพชราตลอดว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ความรักที่เรามีต่อกันนานมาก เป็นความห่วงใยซึ่งกันและกัน เราห่วงเขา เขาก็ห่วงเรา อยู่จนเป็นเพื่อน เป็นญาติที่ทิ้งกันไม่ได้
นิสัยผมเป็นคนชอบบินเดี่ยว ชอบไต่เส้นลวด นักร้องคนเดียวทำคอนเสิร์ตปีละหนึ่งครั้ง 10 ปีติดกัน ใหญ่ขึ้นทุกปี ผมได้เป็นศิลปินแห่งชาติเมื่อปี 2541 มีนักดนตรีแค่สี่คน คอรัสสองคน แสดงโชว์เมื่อปี 2542 สมเด็จพระเทพฯ เสด็จมาชม เป็นปีที่ศิลปินแห่งชาติดีใจกันมาก คือจุดกำเนิดของ ชรินทร์ อิน คอนเสิร์ต
จัดครั้งแรกใช้งบหนึ่งหมื่นแปดพันบาท ตอนนี้มีนักดนตรี 70 คน ซิมโฟนี่ ออเคสตร้า 100 ชีวิต คอรัส 50 ชีวิต ใช้เงินสามล้านสี่แสนบาทต่อรอบ เป็นมหกรรมหนึ่งทศวรรษ ชรินทร์ อิน คอนเสิร์ต...
นั่นคือความฝันอันยิ่งใหญ่ของผม ในชีวิตจะต้องมีนักดนตรี 100 คน เป็นผลสำเร็จ แล้วจะเพิ่มไปเรื่อยๆ จนถึงสองร้อยกว่า สิ่งที่ทำให้ยืนยงขนาดนี้ หนึ่ง คือความมุ่งมั่น สอง ชีวิตของผมมันยับเยิน ต้องอยู่กับเพลง การร้องเพลงเป็นความสุขอย่างหนึ่ง
คนที่ซื้อบัตรเข้ามาดูก็มีความสุข จึงเป็นความสุขด้วยกัน ผมไม่ได้ทำคอนเสิร์ตเพื่อหาเงิน ผมได้เงินจากคอนเสิร์ตรอบหนึ่งสามล้านกว่าบาท แต่ค่าใช้จ่ายก็สามล้านกว่า
คราวหน้าวันที่ 14-15-16 มีนาคม 2551 ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จะขายบัตรวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ตอนนี้ก็มีคนมาขอซื้อแล้ว
มาอเมริกาครั้งนี้ จัดคอนเสิร์ต 17 แห่ง ได้รับการต้อนรับอย่างดีที่สุด ประทับใจทุกแห่ง น่าปลื้มใจที่ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของการเป็นนักร้องจนถึงวันนี้ ยังได้รับการต้อนรับเหมือนเดิม เป็นแรงใจอย่างหนึ่งทำให้ผมยืนอยู่บนเวทีนี้ได้
ขอขอบคุณแฟนเพลงทุกท่าน ทั้งนี้ทั้งนั้นจะเป็นเพราะผมคนเดียวไม่ได้ ดูเหมือนว่าเพชราก็มีส่วน ลึกๆ ผมยอมรับ เพราะคนเขาอยากทราบเรื่องราวของเพชรา ผมก็เล่าให้แฟนๆ ฟัง อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีเพชราอีกคนที่คนไทยทางนี้ไม่เคยลืม ยังแสดงถึงความเป็นห่วง และเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้มีคนมาฟังเพลงจำนวนมาก
คำถามสุดท้ายที่ว่า...ถ้ามองย้อนกลับไป หากผมยังอยู่กับสปันจนถึงปัจจุบัน ก็ต้องสบายมากๆ
บอกตามตรง ผมไม่เคยนึกถึงจุดนี้และไม่เคยคิด แต่ชีวิตของผมขณะนี้น่าสัมผัสมากกว่าชีวิตที่เกิดมาสุขสบาย ถ้าเป็นอย่างนั้น ป่านนี้ผมก็ต้องเฮ้วๆ...ขี่รถสปอร์ตไปตีกอล์ฟ ใส่เสื้อผ้า รองเท้าอย่างดี
...คิดแว่บๆ ก็ค่อนข้างจะดีเหมือนกันนะ แปลกดี แต่มันไม่ใช่ชีวิตของเรา ถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงไม่ต้องทำชรินทร์ อิน คอนเสิร์ต ถึงสิบหน แล้วก็ไม่ต้องเริ่มต้นที่หนึ่งหมื่นแปดพันบาท.
“วัลลภา ดิเรกวัฒนะ”