สารพันวรรณนา

อ.ประภาศรี
สรุปความจากหนังสือ “คุณแม่สิริ กรินชัย”

สมเด็จพระเทพรัตราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชทานเพลิงศพ นางสิริ กรินชัย หรือ “คุณแม่สิริ กรินชัย” ผู้อบรมบ่มธรรมนำสติปัญญาบรรดาลูกโยคี ซึ่งมาชุมนุมร่วมในงานวันส่งท่านสู่สัมปรายภพ

บทประพันธ์ ลายมือของท่าน ลูกหลานจัดทำไว้หลังปกไพเราะลึกซึ้งถึงความหมายของการ “พบที่สุด” ไว้ดังนี้

ขอหมดหนี้ หมดสิน สิ้นชาติภพ
เพราะประสบ พบทาง สร้างสวรรค์
พบที่สุด หยุดความทุกข์ สุขอนันต์
พบอารมณ์ ปัจจุบัน ถึงนิพพาน
(ลงนาม) สิริ กรินชัย

ยังมีอีกหลายบทที่ “คุณแม่สิริ” ประพันธ์ไว้ กอปรด้วยอรรถรสงดงามในถ้อยคำและดื่มด่ำในความหมาย โดยเฉพาะบท “ด้วยกตัญญูกตเวทิตา”


ชีวิตนี้ เพื่อชาติ ศาสน์กษัตริย์
จะยืนหยัด เกื้อการ งานศาสนา
ทดแทนคุณ องค์สมเด็จ พระศาสดา
ทดแทนคุณ กษัตรา ทุกพระองค์
จะอบรม ปฏิบัติธรรม นำทางสุข
แก่ชนทุก หมู่เหล่า ที่ประสงค์
ด้วยธรรมะ วิเศษสุด ของพุทธองค์
ด้วยซื่อตรง ด้วยจงรัก ด้วยภักดี
สิริ กรินชัย

คุณแม่สิริ กรินชัย นามสกุลเดิม พจนสิทธิ์ เกิดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2460 บิดาคือหลวงสิทธิ์โยธา (สังวาล พจนสิทธิ์) มารดาชื่อ สาคร เป็นชาวจังหวัดนครราชสีมา มีพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่ 2 คนคืออาจารย์สุวรรณี อุตกฤษฏ์ และชัญญาภัค โสภาเวทย์ ซึ่งต่อมาเป็นวิทยากรสอนวิปัสสนากรรมฐานที่บ้านกรินชัย นครราชสีมา

คุณแม่สิริเคยติดตามบิดามารดาซึ่งเป็นคหบดีไปประกอบธุรกิจโรงสีข้าวจังหวัดบุรีรัมย์ ท่านเป็นนักเรียนชั้นหัวกระทิและมีความสามารถพิเศษในการขับร้องฟ้อนรำ ได้แสดงนาฏศิลป์เป็นพระลักษณ์ เป็นพระลอ เป็นพลายชุมพล ฯลฯ ขับทำนองเสนาะร้อยกรองทุกประเภท ด้วยเสียงที่ไพเราะอ่อนหวานเพิ่มอรรถรส ทั้งยังมีความสามารถในการประพันธ์ร้อยกรองและเล่นดนตรีหลายประเภท ที่ถนัดเป็นพิเศษคือซอด้วง ด้านฝีมือทางศิลปะ เคยชนะเลิศการประกวดปักจักรในระดับจังหวัดเป็นรูปหนุมานหาวเป็นดาวเดือน รูปพญานาคพ่นน้ำ รูปพระพรหม 4 หน้า ฯลฯ และเคยเรียนถ่ายภาพ ล้าง อัด ขยายได้เมื่อท่านอายุ 19 ปี บิดามารดาได้จัดสมรสให้กับคุณไชย กรินชัย บุตรหลวงพลภักดิ์พาณิชย์ เจ้าบ่าวสาวได้พบกันครั้งแรกในวันเข้าพิธีสมรส มีบุตรธิดา 4 คน คือคุณกาบแก้ว ภริยาพลเอกนิพนธ์ ไชยะบุรินทร์ คุณวีระเกียรติ คุณพันธ์เทพ (ถึงแก่กรรม) และคุณพรทิพย์ กรินชัย น้องนุชสุดท้อง จบการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เมื่อสมรสแล้ว ได้ย้ายไปทำธุรกิจที่อุบลราชธานี จากนั้นจึงย้ายกลับมาอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา หน้าอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี สร้างอาคารพาณิชย์ 6 ชั้น คืออาคารกรินชัยให้เช่าค้าขาย รวมทั้งมีธุรกิจในโคราชอื่นที่ถนนโพธิ์กลาง ตั้งโรงเรียนสอนดัดผมตัดเสื้อ ขายอุปกรณ์เสริมสวยตัดเย็บเสื้อผ้าครบวงจร ธุรกิจรุ่งเรืองจนท่านเข้าสู่วัยกลางคนได้ก่อสร้างอาคารหลวงสิทธิ์โยธา และเข้าสู่ทางธรรม ปล่อยให้บุตรธิดาดำเนินธุรกิจแทน ทั้งสองท่านเป็นคู่สร้างคู่บุญบารมี มีชีวิตที่รุ่งเรือง มีครอบครัวที่สมบูรณ์พูนสุขแต่ได้ช่วยงานพระพุทธศาสนาและสังคมสงเคราะห์นานัปการ ที่น่าสังเกตอีกคือคนในครอบครัวคือ ลูกหลานเขยสะใภ้ ล้วนเป็นคนดีงาม สนับสนุน ศรัทธา ช่วยดำเนินงานทั้งทางโลก ทางธรรม เพราะได้ผู้นำที่เป็นบุคคลหาได้ยากอย่างคุณพ่อไชย-คุณแม่สิริ นับเป็นครอบครัวของแบบอย่างพุทธศาสนิกชนที่สมบูรณ์ยิ่ง สืบทอดมรดกทางสายเลือดและวัฒนธรรมสืบมาถึงลูกหลาน รวมถึงลูกโยคีมากมายหลายแสน โดยคุณแม่เชิดชูบูชาครูบาอาจารย์ผู้สั่งสอนอบรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือพระเดชพระคุณพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชฎก) อดีตรองเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ ผู้สืบทอดสายการปฏิบัติกรรมฐานมาสู่พุทธศาสนิกชนอย่างต่อเนื่องยาวนานซึ่งพระวิเทศธรรมรังษี (หลวงตาชี) ได้นำภาพพระอาจารย์ประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถวัดไทยกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ให้ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายได้น้อมรำลึกกตัญญูบูชาโดยทั่วกัน

คุณแม่สิริในบทความ “งานธรรมทานของข้าพเจ้า” ซึ่งลูกของท่านเขียนบทความว่า “ความภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตคือการได้เกิดเป็นลูกของคุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย” ในหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพคุณแม่สิริ มีใจความบางตอน เป็นถ้อยคำที่เขียนโดยคุณแม่สิริ กรินชัย ดังนี้

“ขอแสดงความยินดีด้วย ที่ได้มีโอกาสทำกุศล วันนี้เสียเวลามารับปริญญากว่า 2 ชั่วโมง คงคิดถึงลูกโยคีแล้วนะ”

ที่ข้าพเจ้า (คุณแม่สิริ) อัญเชิญมาไว้ข้างบนนี้ คือตอนหนึ่งของพระราชดำรัสของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงมีกับข้าพเจ้าในโอกาสอันเป็นมหามงคล ที่ข้าพเจ้าได้เฝ้าอย่างใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท...... เนื่องจากการที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ได้รับปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาจิตวิทยา โดยมหาวิทยาลัยรามคำแหง และได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ของพระองค์ท่านในวันนั้น ซึ่งยังความปลาบปลื้มปีติแก่ข้าพเจ้าเป็นล้นพ้นในพระมหากรุณาธิคุณในครั้งนั้น และข้าพเจ้าขอตั้งกุศลเจตนารมณ์ ตั้งปณิธานไว้ว่า ข้าพเจ้าจะปฏิบัติงานของการเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปตราบนานเท่านาน..... ในส่วนตัวของข้าพเจ้าเองนั้น ข้าพเจ้าเจียมตัวอยู่เสมอว่าไม่มีความรู้ถึงขั้นเป็นมหาเปรียญ อาศัยที่ได้รับความรู้จากครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอนมาโดยลำดับคือ คุณยายชีพัฒน์ ดั่นประดิษฐ์ คุณแม่ชีแดง พจนสิทธิ์ ท่านพระธรรมธีรราชมหามุนี ท่านพระครูภาวนาวิสิฐ เจ้าอาวาสวัดแดนสงบอาสภาราม.... ในขั้นต้นก็คิดแต่เพียงจะปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของตนเอง แต่ด้วยอำนาจของธรรม อยากช่วยเหลือเกื้อกูลไปยังผู้อื่น ซึ่งนับเป็นการช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนาทางหนึ่งและในขณะเดียวกันก็เป็นการช่วยเหลือให้คนที่กำลังมีความทุกข์ให้พ้นจากทุกข์ และคนที่มีความสุขอยู่แล้วให้มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป ช่วยชี้แนะหนทางให้ปฏิบัติไปตามแนวทางของวิปัสนากรรมฐาน ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนทางประเสริฐสุดอันเป็นทางไปสู่มรรค ผล นิพพาน....

....อยากจะขอแทรกถึงคำว่า “ลูกโยคี” ไว้ในที่นี้สักเล็กน้อยเพราะคำนี้มีใช้กันบ่อย.... คำว่า “โยคี” นี้....ส่วนใหญ่จะนึกวาดภาพเห็นเป็นโยคีแบบอินเดีย คือไว้หนวดเครายาว แต่งตัวเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ ถือไม้เท้า ห้อยลูกประคำ.... แท้จริงแล้วคำว่าโยคีนี้เป็นภาษาบาลี ถ้าจะแปลเป็นไทยอย่างง่ายๆ ก็คือ ผู้เพียรเพ่งทำความดีหรือผู้เพียรเพ่งทำลายกิเลส ท่านพระธรรมธีรราชมหามุนี พระอาจารย์ของข้าพเจ้า ท่านชอบใช้เรียกผู้ปฏิบัติว่า “โยคี” ข้าพเจ้าก็เลยพลอยติดปากเรียกตามท่านไปด้วย และเมื่อเรามีความรักใคร่กันแบบแม่กับลูก ท่านที่มาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกับข้าพเจ้าจึงกลายเป็น “ลูกโยคี” ของข้าพเจ้าไปหมด ไม่ว่าท่านจะแก่เฒ่าอย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีใครถือสาหาความแต่อย่างใด.....

....การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น หลายๆ ท่าน พอได้ยินคำนี้ก็มักจะคิดว่าเป็นเรื่องยากยิ่ง ข้าพเจ้าจึงชอบที่จะเรียกว่า “การอบรมพัฒนาจิตใจให้เกิดปัญญาและสันติสุข”

....ข้าพเจ้าเว้นเสียมิได้ที่จะขอบคุณ คุณไชย กรินชัย สามีของข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้ร่วมแรงร่วมใจร่วมสร้างบารมีธรรมกับข้าพเจ้าตลอดเวลา คอยส่งเสริมช่วยเหลือและสนับสนุนเกื้อกูลงานธรรมทานของข้าพเจ้าทุกวิถีทาง เอาใจใส่ดูแลและช่วยอบรมสั่งสอนลูกโยคีที่มาปฏิบัติธรรมที่บ้านกรินชัย และเดินทางไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจแก่ข้าพเจ้าและลูกโยคีทุกหนแห่งที่ข้าพเจ้าเดินทางไป....

....นอกจากลูกโยคีบางท่านมีจิตศรัทธาแก่กล้า ได้ยกบ้านให้เป็น “บ้านวิปัสสนา” บางท่านลงทุนจัดสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมขึ้นใหม่ บางท่านรับเป็นเจ้าภาพจัดฝึกอบรมในสถานที่ต่างๆ จัดที่พัก อาหาร ความสะดวกอื่นๆ ตลอด 7 คืน 8 วันโดยไม่เรียกร้องค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น มีจิตมุ่งมั่นในมหากุศล ....ข้าพเจ้าได้วางกฎเกณฑ์ไว้อย่างกว้างๆ ว่าผู้ที่มาเข้ารับการอบรมควรจะมีเวลาอยู่ปฏิบัติให้ครบ 7 คืน 8 วัน การปฏิบัติจึงจะได้ผล และต้องสมัครจองล่วงหน้าไว้กับเจ้าของบ้าน หรือสถานที่อบรมประมาณ 2-3 เดือน มิฉะนั้นจะเต็มหมด.... ลูกโยคีของข้าพเจ้านั้น มีตั้งแต่ 6 ขวบ จนถึง 91 ปี ความรู้ตั้งแต่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ จนถึงปริญญาเอก ยากจนจนถึงมหาเศรษฐี หลายชาติ หลายภาษา หลายศาสนา เช่น ได้ไปสอนที่คณะเซนต์ปอล ฉะเชิงเทรา ศูนย์นักบวชหญิง นครปฐม ศูนย์บางนา สมุทรปราการ มีทั้งท่านบาทหลวง และซิสเตอร์ร่วมอยู่ รู้สึกว่าบรรดานักบวชเหล่านี้ปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดมากได้ผลดี.... เรื่องศาสนานั้นไม่เป็นสิ่งสำคัญ ....ทุกๆ ศาสนาต่างมีจุดมุ่งหมายปลายทางที่จะให้มนุษย์มีศีลธรรมอันดีงาม สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยสงบสุข ....สำหรับส่วนตัวของข้าพเจ้าและลูกโยคีฝ่ายคริสต์นั้น เมื่อมีจิตผูกพันให้การช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ... ในด้านวิธีการ อะไรที่เห็นว่าเป็นการขัดข้องทางลัทธิศาสนาของเขา ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ให้กระทำ เช่นการไหว้พระ สวดมนต์ เป็นต้น ส่วนศีลนั้น เขาก็มีการถือกันอยู่แล้ว การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก็ทำได้ง่ายขึ้น ข้าพเจ้าได้เน้นลงไปให้เห็นว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นเป็นการพัฒนาจิตอีกแบบหนึ่ง....

....ในระยะหลัง มีพระภิกษุสงฆ์มาขอรับการอบรมร่วมกับฆราวาสมากขึ้นเป็นลำดับ ท่านมาด้วยแรงศรัทธาจริงๆ โดยไม่รังเกียจหรือถือตัวว่าเป็นพระที่ควรจะรู้วิชาทางธรรมดีกว่าฆราวาส หรือคิดว่าข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง มิได้มีความรู้ด้านปริยัติมากมายอะไรนัก แต่ท่านเชื่อว่าข้าพเจ้าคงจะให้ความรู้ที่ท่านยังไม่รู้แก่ท่านได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านปฏิบัติ ที่ใดเป็นเป็นบ่อเกิดแห่งความรู้ ท่านก็ย่อมจะแสวงหาความรู้นั้นๆ สมดังที่ท่านเป็นบัณฑิต ....ท่านที่เป็นมหาเปรียญก็มี ....บางองค์ได้ถึงเปรียญ 8 ประโยคจากจังหวัดต่างๆ ....บางสถานที่ท่านกางกลดนอน เพราะสถานที่แออัดคับแคบ.... บางองค์ก็กลับไปเปิดสำนักวิปัสสนาขึ้นที่วัดของท่าน.... ทำให้พระพุทธศาสนาเผยแพร่ต่อไป

....สำหรับการไปให้การฝึกอบรมการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ในช่วงกรกฎาคมถึงกันยายน เป็นเวลา 3 เดือน ข้าพเจ้าได้เดินทางไปสอนตามคำเชิญของท่านกงสุลไทย คุณประทีป โสจิรัตน์ คุณเสาวพจน์ สีวลี คุณจินตนา นุชลออ และลูกโยคีอื่นๆ ...เมื่อไปถึงก็มีลูกโยคีมาให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ข้าพเจ้าเดินทางไปสอนในหลายรัฐ เช่น ลอสแอนเจลิส ซานฟรานซิสโก แมรีแลนด์ ชิคาโก ฮาวาย.....บ้านวิปัสสนาแต่ละบ้าน จะมีผู้เข้าอบรมครั้งละประมาณ 35-40 คน นับว่าค่อนข้างจะแออัด เพราะบ้านที่เมืองนอกจะเล็กกว่าบ้านในเมืองไทย ชาวอเมริกันและชาติเอเชียอื่นๆ เช่นลาว เขมร ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ เกาหลี โดยมีคนไทยที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นผู้ให้คำอธิบาย ซึ่งก็ดูเขาเข้าใจดีและปฏิบัติได้ถูกต้อง

คุณแม่สิริ กรินชัย ผู้บำเพ็ญคุณประโยชน์มหาศาลต่อพระพุทธศาสนา กราบถวายบังคมลาถึงแก่กรรม ณ โรงพยาบาลชลบุรี เมื่อวันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2554 เวลา 16.19 น. สิริอายุ 94 ปี

ก่อนจะมาเป็น “คุณแม่” ของลูกโยคี ท่านเล่าว่า...... “แม่ก็ไปวัดกับคุณพ่อ ผู้ใหญ่นอนวัดกันก็นอนด้วยกับคุณพ่อ เสื่อผืน หมอนใบ กลับก็กลับด้วย ถือศีล 8 หิวก็กินกล้วย ไม่ได้กินข้าว ผู้ใหญ่หัวเราะ แล้วล้อว่าคนรักษาศีลแปด กินกล้วย ศีล 8 น่ะ เลยเพลต้องไม่เคี้ยว ที่เรียกว่าคิลานเภสัชได้แก่ มะขามป้อม บอระเพ็ด พระสงฆ์ก็ขบเคี้ยวได้ ถือว่าเป็นยา นอกนั้นห้ามเคี้ยวแต่ดื่มได้ พอรู้แล้วก็ระวังเคร่งครัด ไม่ถือศีล 8 ถือแต่ศีล 5 แม่จึงพาลูกโยคีสมาทานอาชีวฏฐมกศีล คือคนไหนทานไม่ได้ก็จะได้ไม่ผิดศีล หิวก็รับประทานกล้วย ขนมปังได้ จะได้ไม่ให้เกิดทุกขเวทนามาก เป็นศีลของผู้ครองเรือน 13 ข้อ ....ก่อนแม่จะมาปฏิบัติ คุณพ่อปฏิบัติกับคุณแม่ชีพัฒน์ ดั่นประดิษฐ์ วันยังค่ำมีแต่ หนอ เราก็ขำ คุณพ่อจะตักข้าวยังไม่ทันว่าอะไร แม่ก็ “ตักหนอ” เจตนาจะล้อ คุณพ่อบอก “ถูก” แต่เขาพูดกันในใจนั่นคือการกำหนดรู้ปัจจุบัน ....อะไรก็หนอๆ เข้าหนอ ออกหนอ เดินจงกรมก็ย่างหนอๆ แค่นั้นเอง แต่สติรู้ตาม เดินช้าๆ ให้ได้ปัจจุบัน บ้วนปาก เดิน ยืน นั่ง นอน ....แม่ชีพัฒน์สอนว่าสร้างโบสถ์ 7 หลัง ยังไม่ได้บุญมากเท่าการปฏิบัติวิปัสสนา 7 วัน แม่อยากได้บุญ คิดว่าเราไม่ร่ำรวยเหมือนคุณพ่อ ไม่มีเงินสร้างโบสถ์ ถ้าอย่างนั้นเราปฏิบัติวิปัสสนา 7 วันดีกว่า ....แม่ปฏิบัติกับคุณชีพัฒน์ 6 ปี แล้วก็มาพบท่านเจ้าคุณอาจารย์ แม่ปฏิบัติทุกปี ปฏิบัติครบ 7 วัน ขังเดี่ยวในห้องในบ้าน ไม่ไปไหน ปิดประตูลงกลอน ไม่รับแขก ไม่พูดคุย มีคุณชีสอบอารมณ์ แม่จึงไปพูดกับคุณหญิงแม่คุณกนกซึ่งเป็นญาติกันว่า คุณพี่ช่วยไปนิมนต์ท่านพระมหาโชฎกมาสอบอารมณ์ให้หน่อย ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้กรุณามากับเลขาของท่าน สอบอารมณ์ให้ทุกวัน ก่อนเพลบ้าง หลังเพลบ้าง วันละครั้ง มีคนเล่าให้ฟังว่า ท่านเจ้าคุณว่า มาโคราชเที่ยวนี้ไม่เสียที มาได้อย่างนี้ไว้คนหนึ่ง มีคนถามว่าใคร ? ท่านตอบว่า คุณสิริ คนคนนี้ต่อไปจะทำประโยชน์ให้พระศาสนา คอยดูนะคนคนนี้จะสอนคน พอคนเขามาเล่าให้ฟัง แม่ก็หันหลังให้ บอกว่า “ไม่สอนใครหรอกยาก !” ไม่ทราบว่าเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปเอง.....

สรุปมาเล่าสู่กันฟังจากหนังสือแจกในงานพระราชทานเพลิง ได้หนังสือมาคนละ 1 กระเป๋าย่ามผ้า มีค่าเหลือคณานับ ทำให้จิตใจฟู สู่ความกตัญญูบูชา เห็นข้อสรุปส่วนตัวที่เกิดความเข้าใจว่า เส้นทางธรรมในพระพุทธศาสนานั้น ใครเดินใครได้ อยู่ที่การพัฒนาจิตของตนเอง บางคนบางรูปจ้องดูแต่ผู้อื่น สำนักโน้นก็ไม่ดี สำนักนี้ก็อย่างนั้นอย่างนี้ จิตถูกกวนให้ข้นไปด้วยอารมณ์ส่วนตัว อย่าเสียเวลากันอยู่เลย เวลาเป็นของมีค่าไหลเหมือนวารี ไหลแล้วไหลเลยจากที่สูงลงไปสู่ที่ต่ำ รีบรับน้ำไว้จากที่สูงใสๆ ไม่ปนปรุงขุ่นตะกอน ขอทุกท่านจงเจริญในธรรมที่ท่านกลั่นกรองรับไว้แล้วโดยทั่วกันเทอญ ขอเพียงอย่าลืมเผื่อแผ่สู่พระพุทธศาสนาส่วนรวม ไม่ยึดมั่นเฉพาะสำนักของตนจนปิดทางน้ำทางพุทธธรรม ภัยภายนอกต้องอาศัยสามัคคีธรรมของชาวพุทธด้วยกัน โปรดใช้เมตตาธรรมกันเถิด จะเกิดผล !


ผู้สรุป ประภาศรี สีหอำไพ