สารพันวรรณนา

อ.ประภาศรี
งานฉลองสัมพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปีพุทธ

ศัพท์ว่า “สัมพุทธชยันตี” นี้เป็นศัพท์ใหม่ที่ชาวพุทธคิดสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นชื่องานฉลองโอกาสพิเศษครบ ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในมหามงคลสมัยที่พระพุทธศาสนายืนยาวมาครบ ๒๕๐๐ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ก็มีการฉลองอันยิ่งใหญ่ไปบรรดาชาวพุทธทั่วโลก แต่ใช้คำศัพท์เป็นชื่อเฉพาะงานว่า “พุทธชยันตี” ไม่มีคำว่า “สัม” เนื่องจากว่านั่นเป็นการนับพุทธศักราช ซึ่งเริ่มนับตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อพระชนมายุ ๘๐ ปี ส่วนคำว่า “สัม” ที่เพิ่มเข้ามาเป็นความหมายพิเศษระบุเจาะจงถึงปีแห่งการตรัสรู้ ที่ให้เปลี่ยนจากพระฤษีสิทธัตถะเป็น “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” เพราะได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ หรือทรงค้นคว้าแสวงหาจนพบสัจธรรม ในการจัดงานฉลองครั้งนี้เราจึงอาจเรียกขานให้ตรงว่า “งานฉลองสัมพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปีการตรัสรู้” และใช้ภาษาอังกฤษแบบสั้นๆ ได้ว่า SAMBUDDHAJAYANTI ANNIVERSARY

คำว่า “ชยันตี” แปลความหมายตรงๆ ว่า “เกิด” ซึ่งมีความหมายตรงกับคำว่า ชนยันตี ชเนตตีอุปปาทะ อุปปัชชนะ อุปปัตติ ซึ่งทุกคำแปลว่าเกิด แต่เนื่องจากทางประเทศศรีลังกาและอินเดียเขาเริ่มใช้เป็นชื่องานฉลองโอกาสพิเศษแห่งพระพุทธศาสนามาก่อนและเขานิยมใช้คำว่า “ชยันตี” ไทยเราจึงใช้ตามเขาเพื่อแสดงความเป็นเอกภาพและง่ายในการประชาสัมพันธ์ด้วย ในคราวประชุมหมาเถรสมาคมเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ศกนี้ จึงมีมติเห็นชอบให้ใช้ชื่องานฉลองพระพุทธศาสนาอุบัติขึ้นในโลกครบ ๒๖๐๐ ปีครั้งนี้ว่า “งานฉลอง สัมพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า”

คำว่า “สัมพุทธ” หรือ “สัมมาสัมพุทธะ” เกิดมีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพระฤษีโพธิสัตว์สิทธัตถะได้ ตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์เองแล้วเท่านั้น นั่นคือหลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะได้ทอดพระ เนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บป่วย คนตาย ทรงเป็นว่าเป็นปัญหาและทรงสรุปเบื้องต้นเป็นสมมติฐานทางการวิจัยว่าสภาพเช่นนั้น “เป็นความทุกข์” จะต้องมีสิ่งที่แก้กันคือ “ความสุข” ครั้นทรงพบเห็นสมณะก็มีพระดำริว่าน่าจะเป็นทางค้นหาให้พบความสุขได้ จึงตัดสินพระทัยออกทำงานวิจัยค้นหาความสุขเพื่อแก้ความทุกข์ให้ได้ ทรงใช้เวลาทำการวิจัยลองผิดลองถูกมาถึง ๖ ปี จากพระชนมายุ ๒๙ ถึงพระชนมายุ ๓๕ จึงวิจัยสำเร็จสมบูรณ์คือได้รู้ชัดว่าอะไรคือความทุกข์ อะไรคือสาเหตุแห่งความทุกข์ อะไรคือความดับลงอย่างเด็ดขาดแห่งความทุกข์ และอะไรคืออุบายวิธีให้ถึงความดับทุกข์อย่างเด็ดขาด เมื่อได้พบแล้วพระองค์จึงทรงประกาศว่า “เราได้รู้แล้ว” แต่การรู้ของพระองค์ไม่ใช่รู้เพียงเท่านั้น หากแต่ได้รู้สิ่งทั้งปวงตามเป็นจริงด้วย รู้ไปถึงเรื่องของจักรวาล พระองค์จึงได้พระนามอีกว่า “พระสัพพัญญู” แปลว่าผู้รู้สิ่งทั้งปวง และว่า “โลกวิทู” ผู้รู้โลกทั้งปวงเป็นต้น

ศัพท์ว่า “สัมมาสัมพุทธะ” ที่แปลว่า “ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ หรือ ผู้ตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์เอง” หมายความว่าค้นพบเองโดยการค้นคว้าวิจัยเอง โดยไม่มีอาจารย์สอน บางครั้งก็มีผู้สงสัยว่า พระพุทธองค์ตรัสรู้เองโดยไม่มีอาจารย์ได้อย่างไร ในเมื่อที่ผ่านมาก็เข้าไปศึกษาจากอาจารย์มากมาย ข้อนี้ก็เหมือนนักศึกษาที่ศึกษาจบหลักสูตรได้รับปริญญาเป็นบัณฑิต ได้ ความรู้จากอาจารย์มา แต่ความรู้นั้นยังไม่อำนวยให้รู้สิ่งที่ต้องการรู้ได้ ต่อเมื่อจบการศึกษารับปริญญาเป็นบัณฑิตแล้วไปทำงานวิจัยต่อ เป็นนักวิจัยอิสระ ลองผิดลองถูกไปอย่างมุ่งมั่น ในที่สุดก็พบสิ่งที่ต้องการรู้เองด้วยความเป็นนักวิจัยอิสระของตนเอง ข้อนี้ฉันใดพระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้เองโดยไม่มีอาจารย์ฉันนั้น

ว่าถึงการวิจัย เราสามารถกล่าวได้ว่าพระพุทธองค์เป็นนักวิจัยคนแรกของโลก ถือว่าพระพุทธองค์ทรงเป็นพระบิดาแห่งการวิจัย ระบบค้นคว้าแสวงหาความรู้ที่ทรงคิดค้นได้มาเป็นระบบที่สมบูรณ์ และสามารถใช้ประโยชน์ในการทำงานวิจัยค้นคว้าแสวงหาความรู้ได้อย่างดีเยี่ยมแม้กระทั่งปัจจุบัน นั่นคือ ๑) มีขั้นตอนฐานความคิด (การสังเกต) ๒) มีสมมติฐาน (มีความทุกข์ต้องมีความสุข) ๓) มีปัญหาทางการวิจัย (แก่-เจ็บป่วย–ตาย) ๔) มีการประมวลความรู้เบื้องต้น (การออกบวช-สำนักอาจารย์ต่างๆ) ๔) กระบวนการทดลองภาคสนาม (เข้าไปศึกษา-ทดลองด้วยตนเองในสำนักต่างๆ) ๕) การวิเคราะห์ข้อมูล (ประมวลจากความรู้ที่ได้จากการทดลองในสำนักต่างๆ) ๖) แสวงหาความรู้ใหม่เมื่อยังตอบโจทย์ (อะไรคือความทุกข์) ยังไม่ได้ ด้วยการลองผิดลองถูกด้วยตนเอง (อดกลั้นลมหายใจ-เอาลิ้นกดเพดาน-อดอาหาร) ๗) เมื่อตอบโจทย์วิจัยได้ว่าอะไรคือความทุกข์เป็นต้น (เกิดสัมโพธิญาณ) จึงมั่นพระทัยประกาศ ยืนยันว่า “เราได้รู้แล้ว” ๘) ทบทวนผลงานตั้งแต่ฐานความคิดถึงบรรลุพระสัมโพธิญาณ (๔๙ วันที่สัตตมหาสถาน) ๙) วางกรอบรูปแบบแนวปฏิบัติเพื่อเข้าถึงสัจจะที่ทรงค้นพบ (สร้างโมเดลแนว-ขั้นตอนและวิธีปฏิบัติ (ไตรสิกขาหรืออริยมรรคมีองค์แปด) ๑๐) เสนอผลการวิจัยสู่สาธารณชน (ประกาศธรรมโดยพิจารณาผู้รับที่เหมาะสม)

องค์ความรู้ที่ทรงใช้เพื่อการวิจัย ๗ ประการที่ทรงใช้ เป็นแบบมาตรฐานที่สามารถให้ความเที่ยงตรง ไม่ให้ความรู้หรือสิ่งที่ค้นพบคลาดเคลื่อนจากความจริงคือ

๑. ทบทวนวรรณกรรมทั้งปวงที่สามารถทบทวนได้ (สติ ความระลึกรู้)

๒. คัดเลือก คัดสรรแนวที่มีความถูกต้องหรือใกล้เคียงความถูกต้องที่สุด (ธัมมวิจัย)

๓. สร้างความกล้าหาญ มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจลงมือทำงานวิจัย (วิริยะ)

๔. สร้างความพึงพอใจในการได้ลงมือทำงานวิจัยมีความสุขกับการได้ทำสิ่งนั้น (ปีติ)

๕. เตรียมกายเตรียมใจและเวลาให้พร้อมเพื่อความมุ่งมั่นทำงาน (ปัสสัทธิ)

๖. มีความหนักแน่น ไม่โลเล ไม่ท้อแท้ ไม่ให้อุปสรรคต่างๆ มาทำลายความตั้งใจ มีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวไม่พบสิ่งต้องการรู้ไม่หยุดค้นคว้า (สมาธิ)

๗. ทบทวน สังเกต ตรวจสอบ ให้ได้ค่าความเชื่อมั่น (อุเบกขา) อุเบกขาในที่นี้ไม่ได้แปลว่า “วางเฉย” อุปะ แปลว่า “มั่น” อิกขะ แปลว่า “ดู, เห็น, ตรวจสอบ” เมื่อรวมเข้ากันเป็นคำเดียวจึงต้องแปลว่า “ตรวจสอบให้มั่นใจ”

ทั้ง ๗ ข้อนี้ ทรงชี้ว่าเป็นองค์ความรู้ (โพชฌงค์ องค์แห่งการตรัสรู้ แปลเป็นภาษาวิชาการทั่วไปว่า “องค์แห่งความรู้” อันหมายความว่าเมื่อทำงานวิจัยแสวงหาความรู้ใดๆ ด้วยการใช้องค์แห่งความรู้ทั้ง ๗ ประการนี้เป็นบรรทัดฐาน ความรู้ที่ได้จากการวิจัยชิ้นนั้น จะเป็นความรู้ที่เที่ยงตรง มีค่าความเชื่อมั่นเต็มร้อย สามารถตอบโจทย์วิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ในทุกยุคทุกสมัย เป็นองค์ความรู้ที่ยั่งยืนเป็นอกาลิกะ (not depend upon space and time)

พระพุทธองค์ประสบความสำเร็จในการวิจัยแล้วได้ทรงอาศัยพระมหากรุณาคุณ มุ่งมั่น ท่องเที่ยวไปเสนอผลงานวิจัยต่อสาธารณชนเป็นเวลา ๔๕ ปีพร้อมกับภาระให้แก่พระสาวกสาวิกาช่วยทำงานเป็นประโยคที่สำคัญว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราได้พ้นแล้วจากบ่วงทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ แม้ท่านทั้งหลายก็เหมือนกัน ท่านทั้งหลายจงเที่ยวไปในชนบท เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนเป็นอันมาก แต่อย่าไปรวมกัน ๒ รูปโดยทางเดียวกัน จงแสดงธรรมมีคุณงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลางและงามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ อันบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง สัตว์ทั้งหลายที่มีกิเลสบังปัญญาดุจธุลีในจักษุน้อยเป็นปกติมีอยู่ เพราะโทษที่ไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อมจากคุณที่จะพึงได้พึงถึง ผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักมีอยู่ แม้เราก็จะไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคมเพื่อจะแสดงธรรม” สรุปสั้นๆ ว่า “เธอทั้งหลายจงไปแสดงธรรมเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่พหุชน เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก”

สิ่งสำคัญที่พระพุทธองค์ทรงย้ำเน้นไว้ในธัมมจักกัปปวัตนสูตร (พระไตรปิฎกเล่ม ๔) คืออุบายวิธีเข้าถึงความรู้หรือความจริง และตรัสไว้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์เส้นเดียวที่ให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้แน่นอนคืออริยมรรคมีองค์แปดนั่นเอง และทางนี้ถือว่าเป็นทางที่สร้างไว้สำเร็จสมบูรณ์แล้ว เป็นเส้นทางที่ประกอบด้วย ๑ ยุทธศาสตร์เพื่อความสุขถาวร เส้นทางนี้มี ๘ มาตรฐานการดำเนินงาน และ ๒๖ ดรรชนีชี้วัด (One Way, 8 Standards, 26 Indicators) ซึ่งได้แก่

มาตรฐานที่ ๑ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่เรียกว่าถูกต้อง ต้องประกอบด้วย ๔ ดรรชนีชี้วัดได้แก่

๑) ทุกฺเข ญาณํ หยั่งรู้หยั่งเห็นว่าความทุกข์ทั้งปวงที่ทรงแสดงไว้แล้วนั้นมีอยู่จริง

๒) ทุกฺขสมุทเย ญาณํ หยั่งรู้หยั่งเห็นว่าตัณหาเป็นสาเหตุให้เกิดความทุกข์ทั้งปวงจริง

๓) ทุกฺขนิโรเธ ญาณํ หยั่งรู้หยั่งเห็นว่าเมื่อดับสาเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวงได้ก็เป็นการดับความทุกข์ทั้งปวงได้จริง

๔) ทุกฺขนิโรธคามินีปฏิปทาย ญาณํ หยั่งรู้หยั่งเห็นในปฏิปทาอันให้ถึงความดับลงอย่างเด็ดขาดแห่งความทุกข์ สามารถเป็นไปได้จริง

นี้คือดรรชนีชี้วัด “ความเห็นชอบ” เห็นอย่างอื่นไม่ชื่อว่าเห็นชอบตามข้อว่า สัมมาทิฏฐิ นี้ ข้อนี้ทำให้ได้ความชัดว่าเห็นอย่างไรเรียกว่าเห็นชอบ

มาตรฐานที่ ๒ สัมมาสังกัปปะ ความคิดหรือความดำริที่ถูกต้อง มีดรรชนีชี้วัดความถูกต้อง ๓ อย่างคือ

๑) เนกฺขมฺมสงฺกปฺโป ความคิดออกจากกาม หรือความคิดออกห่างจากความมัวเมาเพลิดเพลินในกาม อันรวมไปถึงเรื่องบริโภคนิยม (บริโภคทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) มีความรู้จักประมาณ รู้จักพอเพียง

๒) อพฺยาปาทสงฺกปฺโป ความคิดความดำริ ลด ละ เลิก ความอาฆาตพยาบาทผู้อื่น (มีแต่เมตตา ปรารถนาให้ผู้อื่นอยู่เย็นเป็นสุขด้วยกัน)

๓) อวิหิงฺสาสังกปฺโป ความคิดคามดำริ ลด ละ เลิก ความเบียดเบียนทำลายล้างชีวิตและทรัพย์สินของกันและกัน (มีความเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน)

มาตรฐานที่ ๓ สัมมาวาจา การกล่าววาจาที่ถูกต้องชอบธรรม มีตัวดรรชนีชี้วัดคำว่า “สัมมา” ๔ ข้อคือ

๑) มุสาวาทา เวรมณี กล่าววาจามีเจตนาเว้นจากคำพูดเท็จ คำที่ไม่ตรงกับความจริง คลาดเคลื่อนจากความจริง (มีสัจวาจา)

๒) ปิสุณวาจา เวรมณี กล่าววาจามีเจตนาเว้นจากคำยุยงส่งเสริมให้เกิดความขัดแย้งหรือเกิดแตกแยก หรือทำลายสามัคคี (มีวาจาเสริมสร้างสามัคคี)

๓) ผรุสวาจา เวรมณี กล่าววาจามีเจตนาเว้นจากคำพูดหยาบคายเช่นคำด่า คำลบหลู่ดูหมิ่น คำพูดแดกดันกดขี่ (มีปิยวาจา)

๔) สัมผัปปลาปา เวรมณี กล่าววาจามีเจตนาเว้นจากคำพูดเพ้อเจ้อไร้สาระ-ไร้ประโยชน์ ผิดกาลเทศะ (มีอัตถวาจา)

มาตรฐานที่ ๔ สัมมากัมมันตะ การทำงานที่เป็นไปโดยชอบโดยถูกต้อง มีดรรชนีชี้วัดความถูกต้อง ๓ อย่างคือ

๑) ปาณาติปาตา เวรมณี ทำงานด้วยมีเจตนางดเว้นจากการฆ่า การทำลายล้างกัน มีความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์โลก เคารพในการมีชีวิตอยู่ของกันและกัน

๒) อทินนาทานา เวรมณี ทำงานด้วยมีเจตนางดเว้นจากการลักฉ้อ ทุจริตคอร์รัปชั่น มีสัมมาอาชีพ เคารพรพในสิทธิแห่งการครอบครองทรัพย์สินของกันและกัน

๓) กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี การทำงานที่มีเจตนางดเว้นจากความประพฤติผิดในกามทุกชนิดเช่น ประกอบการค้ากาม ประกอบการบริการกาม ประกอบการบริโภคกาม อันเป็นการทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ต้องยกย่องให้เกียรติศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกันและกัน เคารพรักษาประเพณีอันดีงามของมนุษย์ด้วยกัน

มาตรฐานที่ ๕ สัมมาอาชีวะ การประกอบอาชีพถูกต้อง สุจริต ชอบธรรม มีดรรชนีชี้วัดเป็นหลักกว้างๆ ๒ อย่างคือ

๑) เจตนาเว้นงานที่ผิดกฎหมาย ผิดจารีตประเพณี ผิดศีลธรรมจรรยา และ งานที่เป็นบาปอกุศล งานที่มีโทษ งานที่อากูล งานที่เป็นทางแห่วงอบายมุข

๒) เจตนาทำงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย จารีตประเพณี ถูกต้องตามหลักศีลธรรมจรรยา งานที่ก่อให้เกิดบุญกุศล งานที่ส่งเสริมแนวทางสวรรค์และนิพพาน

มาตรฐานที่ ๖ สัมมาวายามะ ความเพียรพยายามที่หนักแน่นเป็นประธานในการทำงาน มีดรรชนีชี้วัดตัวความเพียรนี้ ๔ อย่างคือ

๑) สังวรปธาน ความเพียรพยายามป้องกันกิเลสหรือภัยพิบัติต่างๆ อย่างรอบคอบไม่ปล่อยให้ภัยพิบัติเกิดก่อนแล้วตามแก้

๒) ปหานปธาน ความเพียรพยายามกำจัดทำลายกิเลสหรือภัยพิบัติที่เกิดขึ้นแล้ว มีขึ้นแล้วให้หมดสิ้นไปเสียแต่โดยเร็ว

๓) ภาวนาปธาน ความเพียรพยายามสร้างคุณความดี สร้างทางเจริญอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดยั้ง ไม่เปิดโอกาสให้ภัยพิบัติได้โอกาสเกิดหรือเติบโต

๔) อนุรักขนาปธาน ความเพียรพยายามรักษาคุณความดี รักษามาตรฐานความดีให้มีความมั่นคงยั่งยืนตราบเท่าที่ยังมีชีวิต

ทั้ง ๔ ข้อนี้ ยังถือได้ว่าเป็นกลยุทธ์ในการแก้ปัญหาได้ทุกอย่างตั้งแต่ปัญหาเล็กๆ จนถึงปัญหาระดับชาติและระดับโลก

มาตรฐานที่ ๗ สัมมาสติ ความมีสตีระลึกชอบ มีตัวดรรชนีชี้วัดความ “ชอบ” ของสติ ๔ ประการคือ

๑) กายานุปัสสนาสติ ระลึกรู้ตรวจสอบกาย (ระลึกรู้สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ)

๒) เวทนานุปัสสนาสติ ระลึกรู้ตรวจสอบอารมณ์ความรู้สึก สุข ทุกข์ ไม่ทุกข์ไม่สุข

๓) จิตตานุปัสสนาสติ ระลึกรู้ตรวจสอบสภาพจิตของตนให้กระจ่างชัด

๔) ธัมมานุปัสสนาสติ ระลึกรู้ตรวจสอบธรรมในภายในตนให้มีความรู้แจ้งชัดว่ามีอะไรบ้างในตน

มาตรฐานที่ ๘ สัมมาสมาธิ ความตั้งจิตมั่นคง ไม่หวั่นไหวไปตามกระโลกกระแสธรรมใดๆ มีดรรชนีชี้วัดความมั่นคงหลักๆ ๒ ระดับคือ

๑) ความสงบหนักแน่นมั่นคงแห่งจิต (สมถะหรือสมาธิ)

๒) ความรู้แจ้งเจ้าใจชัดในสภาวธรรม (วิปัสสนา-ปัญญา)

ว่ากันโดยย่นย่อ หนึ่งเส้นทางยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย แปดมาตรฐานและ ยี่สิบหกดรรชนีชี้วัดของแต่ละมาตรฐาน เมื่อดำเนินการตามกระบวนการครบถ้วน ทุกอย่างก็ย่อมถึงความสำเร็จได้ จะเห็นว่าหลักการและวิธีการเพื่อความเข้าถึงสัจจะของพระพุทธเจ้ามีความสมบูรณ์ ความทันสมัยอย่างน่าประหลาดใจจริงๆ

จากวันที่ได้ตรัสรู้มาถึงวันวิสาขบูชา พุทธศักราช ๒๕๕๕ (ตรงกับวันจันทร์ที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๕) จะครบ ๒๖๐๐ ปี ชาวพุทธทั้งที่เป็นคนไทยและชนชาติอื่นๆ จึงเห็นตรงกันว่าเป็นโอกาสสำคัญ ที่ควรจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองตามแบบวิถีพุทธ และคณะ อนุกรรมาธิการ กิจการพระพุทธศาสนา วุฒิสภา จึงมีดำริร่วมกันให้มีส่วนร่วมในงานฉลองมหามงคลครั้งนี้ และได้จัดทำเอกสารนี้ขึ้นเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์อีกส่วนหนึ่ง


พระเทพวิสุทธิกวี (เกษม)
ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการกิจการพระพุทธศาสนา วุฒิสภา